“ใครกันที่งดงามพลิ้วไหว” องค์ชายห้าเข้ามาสมทบ ดวงหน้าเรียบเฉยหากดวงตาเคลือบแคลงสงสัย“พี่ห้า”“ใครกันเป็นตั่วเจ้ พี่สาวใหญ่ของหอคณิกา” น้ำเสียงสรรพยอกแต่แววตาจริงจังองค์ชายสิบสามและชงไฉ่หันมามองผู้มาใหม่“น้องสิบสี่ เปรียบองค์ชายใหญ่เป็นดังหญิงงามผาดโผนในหอคณิกา” จิวซินกลั่นหัวเราะแทบตาย“หากไม่มีจิตอกุศลเคลือบแฝง ก็นับว่าสายตาเจ้าเฉียบคมเจ้าสิบสี่แล้วเจ้าทั้งสองเล่าเจ้าสิบสามกับน้องสิบสอง” หันไปถามทั้งสอง จิวซินไม่ยี่หระยกถ้วยน้ำชาตรงหน้าฮุ่ยโม๋“พี่ห้าคิดเห็นเช่นใด ในที่นี้มีใครบ้างไม่รู้ ว่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอใบหน้าคมคาย...งดงามเยี่ยงอิสตรี” ชงไฉ่พูดตามที่คิด“หากแต่ก็มิใช่อิสตรี” ฮุ่ยโม๋พูดแทรกขึ้น จิวซินเหลือบตามองเพียงแวบเดียว“คงไม่มีการเคลือบแคลงสงสัยอันใดในเมื่อข้าฮุ่ยเจินเคยได้ยินมาว่าพี่จิ่นเกอรูปงามหาบุรุษใดเทียบเคียง”“คนผู้หนึ่งหากเชื่อถือยึดมั่นในเรื่องใดแล้ว หากเมื่อพบว่าหลงเข้าใจผิดถูกหลอกลวงตลอดมาจะรู้สึกเช่นใด” จิวซินหลบตาต่ำ“พี่ห้าหมายความว่า”“ข้าเพียงแต่คิดว่าคนเราอยู่ได้ด้วยความเคลือบแคลงดีกว่าอยู่กับความจริงที่โหดร้าย ไม่เช่นนั้นคงจะยากที่จะรับมือ”“เราเสวนากัน
บุรุษเช่นเจ้าหากข้าไม่รู้ที่มาที่ไปคงคิดว่ามีจิตวิปริต มีความเป็นชายครึ่งหญิง พูดไปก็เหมือนกับว่าตัวเองชงไฉ่เองก็แอบสงสัยตัวเขาเองไม่น้อย ลุกขึ้นทันทีออกแรงฉุดให้จิวซินลุกขึ้น คราวนี้เองที่จิ่นฉินตามมาพอดี“องค์ชายเกิดอะไรขึ้น”“องค์ชายใหญ่นายของเจ้ารู้สึกว่าจะได้รับบาดเจ็บที่ขา” จิ่นฉินถลาเข้ามาดูด้วยความตกใจ“องค์ชาย” จิวซินทำหน้าเหยเก“ไม่เป็นอะไรมากเพียงแค่รู้สึกปวดที่ขา”“ให้ข้าพยุงท่านกลับตำหนักเถิด” จิ่นฉินนึกอะไรขึ้นมาได้“องค์ชายท่านรออยู่ที่นี่ข้าตามหมิงหลินให้ท่านไม่อยากแตะต้องตัวจิวซินด้วยกลัวว่าจะทำให้ใจสั่นไหวและทำให้จิวซินเสื่อมเสีย จิวซินพยักหน้าจิ่นฉินรีบรุดกลับไปยังตำหนักบูรพา ชงไฉ่มองจิ่นฉินอย่างไม่เข้าใจนัก“องครักษ์ขององค์ชายใหญ่ไฉนปล่อยท่านทิ้งไว้จะว่าไม่ห่วงก็แสนห่วงแต่บางครั้งการกระทำเหมือนมีอะไรภายใน” ตั้งข้อสังเกต“เขาเพียงแค่ หาคนมาช่วย”“หมิงหลินร่างบางอ้อนแอ้นจะพยุงท่านอย่างไรไหว ไม่สู้ให้ข้าพยุงกลับไปดีกว่า”จิวซินพยักหน้า เจ็บจนกัดฟัน ชงไฉ่มองใบหน้าซีดเผือดด้วยความสงสารพยุงจิวซินลุกขึ้นสอดมือรวบเอวกิ่วจากทางด้านหลังความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้าสู่หัวใจจิวซ
จิวซินนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงข้อเท้าที่บวมทำให้รู้สึกเจ็บ แต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนนั้น หลายวันมานี้เจ็บตัวตลอด แต่ก็แต่ไหนแต่ไรมาแล้วจิวซินมักจะโลดโผนเพื่อให้เหมือนจิ่นเกอทำให้ได้เท่าจิ่นเกอพี่ใหญ่ด้วยความเป้นหญิงจึงเจ็บตัวเพราะไม่ได้แข็งแกร่งเช่นบุรุษทั่วไปนั่นเอง“หมิงหลิน” เรียกหาหมิงหลินเสียงลั่น“ไหลหล่า ไหลหล่า” (มาแล้วๆ) หมิงหลินขานมาแต่ไกล“จิ่นฉิน อยู่ไหน” จิวซินถามหาอีกคน“ท่านองครักษ์อยู่ด้านนอก คอยอารักขานายหญิงมีสิ่งใดจะบอกกล่าว” หมิงหลินเลิกคิ้วสูง“ข้าเพียงแต่ พักนี้ไม่เห็นเขาคอยมาวุ่นวายตักเตือนว่ากล่าวข้าเหมือนเช่นเคย”“ข้าน้อยก็เห็นว่าเดี๋ยวนี้ท่านองครักษ์ มักออกไปนอกวังบ่อยครั้ง หรือว่า แอบไปเที่ยวหอคณิกา” หมิงหลินออกความเห็น จิวซินอดขำไม่ได้“ในโลกนี้มีกี่ผู้คนที่รู้จักเสพสุขเยี่ยงนี้ จิ่นฉินหาใช้บุรุษเช่นนั้นไม่” หมิงหลินพยักหน้าเห็นด้วยจิวซินคิดว่าต้องมีเหตุอันใดเป็นแน่ที่ทำให้จิ่นฉินออกไปนอกวังสักวันคงต้องสะกดรอยตามไปจวนอ๋องห้า“กงกง เหตุอันใดนำท่านมาถึงจวนอ๋อง” ฮุ่ยโม๋กล่าวทักทาย ขันทีเฒ่า“ท่านอ๋อง ข้าเพียงแต่แวะเวียนมา คารวะท่าน” ฮุ่ยโม๋เพียงแต่ยิ้มบางๆ“เห็
องค์หญิง14นั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างเบื้องหน้านั้นดอกเหมยร่วงหล่นลงสู่พื้นดินยามสามลมพัดหวีดหวิว“องค์หญิงเป็นอะไรไป” สาวใช้คนสนิทอดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ ใบหน้าสวยหันกลับมามองสาวเพียงแวบเดียวแล้วก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตามเดิมเจ้าเคยสบตาบุรุษใดแล้วใจสั่นไหวหรือไม่” สาวใช้ตาโต“องค์หญิงคงหมายถึงองค์ชายใหญ่จิ่นเกอ ทำไมไม่ไปที่ตำหนักบูรพา” ใบหน้าสวยย่นจมูก“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอเจ้าคิดเช่นนั้นหรือ” สายตาดุเข้มจ้องมองสาวใช้“ข้าน้อยมิกล้า องค์หญิงคิดเช่นไรข้าน้อยมิบังอาจ”“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอ องอาจผึ่งผายสมกับเป็นบุรุษตัวข้าเองถึงจะรู้สึกต้องชะตาแต่ยามอยู่ใกล้ใจข้าไม่เคยสั่นไหวและเมื่อจากไกลไม่เคยถวิลหาเช่นบุรุษหนุ่มผู้นั้น” สาวใช้ปิดปากเบิกตากว้างกว่าเดิม“องค์หญิงอย่าทรงแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหากเรื่องถึงหูฝ่าบาทจะทรงกริ้วแค่ไหน”“ข้ารู้ดีไม่ใช่เด็กๆ ข้าเพียงแต่อยากพบหน้าเขาอีกสักครั้งก็เท่านั้น”“องค์หญิงโปรดใคร่ครวญให้ดีตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่ข้องแวะไม่ผูกพันย่อมไม่มีความถวิลหา”“ตบปาก” การที่เป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวในวังหลวงจึงมักถูกตามใจมาตลอดทำให้เป็นคนเอาแต่ใจ ชาวใช้ยกมือขึ้นตบปากตัวเอ
“ข้าจิ่นฉินไม่บังอาจ” ก้มหน้าลงด้วยความสำรวม“นายเจ้ายังไม่ทันเอ่ยคำใดไยเจ้าถึงหวาดกลัวเช่นนั้น”“หากเมามายเสียหมดแล้วจะมีผู้ใดดูแลใครได้” ฮุยโม๋ยิ้มจิ่นฉินคืออุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่เดียว“คุณชายขาเข้าไปไม่ได้นะค่ะแขกคนสำคัญห้ามใครรบกวน” เสียงดังอื้ออึงภายนอก เพียงครู่เดียวชงไฉ่ ก็เข้ามาข้างใน“อ้าวน้องสิบสองเชิญเจ้าด้วย” บุรุษที่เป็นเหมือนคนคุ้มกันถอยห่างออกไปเมื่อได้ยินองค์ชายห้ากล่าวทักทายผู้มาใหม่ชงไฉ่ทรุดกายลงข้างๆ จิวซิน“พี่ห้าหาโอกาสร่ำสุราเคล้านารีทำไมไม่ชวนข้าชงไฉ่” ตำหนิทีเล่นทีจริง“ข้าบังเอิญผ่านไปตำหนักบุรพาองค์ชายใหญ่จิ่นเกอยังมิเคยได้ลิ้มลองสุราของที่นี่จึงมิไยที่ข้าต้องนำเสนอ”“เป็นเพราะมี สหายร่วมดื่มคนใหม่พี่ห้าถึง ไม่ชวนข้า ว่าแต่องค์ชายใหญ่จิ่นเกอท่านคิดว่าสุราที่นี่รสชาติเป็นเช่นใด” หันไปทางจิวซินซึ่งบัดนี้ดวงตาสุกสกาวแต่ทว่าแก้มกับแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์ของสุราแก้มสุกปลั่งน่าดอมดม“รสชาติดีอย่างไม่อาจปฏิเสธข้ายอมรับว่าหลงใหลสุราหมักชนิดนี้” ลูบคลำถ้วยเหล้าในมือเหมือนกับเป็นของล้ำค่า“พี่ห้านับว่าท่านเดาใจองค์ชายใหญ่ได้ถูกต้องว่าชอบสุราหมักชนิดใด”“สุราชนิดนี้มีเฉพ
ชงไฉ่อาจมิใช่บุรุษที่เพรียบพร้อมหากแต่มีน้ำใจเป็นเลิศ แม้ต่สุราหนึ่งจอกก็อาจแบ่งบันแก่สหายคนละครึ่งจอกได้ไม่มีบิดพลิ้วแต่กระนั้นเขาเองมิใช่ผู้ที่ทานทนต่อความอดกลั้นได้นานหากถูกปองร้ายก็พร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่ด้วยกระบี่คู่กายใบหน้าของเขาแม้หล่อเหลาหาผู้เทียบเคียงแต่มธุรสวาจากลับหวานหาผู้เทียบเคียงไม่มีได้ ในยามที่ปักใจหลงใหลแก่หญิงงามคำหวานข้างหูที่อยากจะเบือนหน้าหนีหากแต่ไม่อาจทำเพราะทอดตัวลงด้วยความอ่อนหวานที่เขาปลุกปลอบบุรุษผู้ที่ไม่อาจให้หญิงงามโดนรังแกแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักนางมาก่อนชงไฉ่เมื่อบังเกิความรักแท้กลับคิดว่าอนุภาพของความรักน่าสะพรึงกลัวดวงหน้าของหญิงอันเป้นที่รักกลับโยกคลอนจิตใจของบุรุษให้สั่นไหวความรักของชงไฉ่แม้ไม่ต้องการยึดครองหากขอเพียงได้ตื่นลืมตามายามเช้าพร้อมกันในทุกวันเมื่อดวงตะวันทอแสงที่ขอบฟ้านั่นขอเพียงมีเจ้าอยู่ในอ้อมแขนพัวพันหงส์ซอนน้ำตา“นายของข้าเมาจนหลับไปแล้วเห็นที่ข้าต้องพากลับตำหนักบูรพาเสียทีไม่รบกวนองค์ชายทั้งสอง”“ข้านำเกี้ยวมาจากในวังเชิญเจ้าพานายของเจ้ากลับไปกับเกี้ยวที่ข้านำมาเถิด” องค์ชายสิบสองคล้ายจะเตรียมการมาอย่างดี จิ่นฉินไม่กล้ากอดประค
“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอโอกาสอันดีนี้ ข้าคงไม่อาจเพิกเฉย” พึมพำด้วยความกระหายในราคะ ถอดชุดขันทีออกเหลือเพียงหน้าอกเปลือยเปล่ากางเกงลำลองบางเบา ตาเป็นประกายจ้องมองมายังจิวซินตาไม่กะพริบ เอื้อมมืออันหยาบกระด้างจับไหลบางของจิวซินหมายจะ มองใบหน้าของจิวซินที่เจ้าขันทีเฒ่าคิดว่าเป็นบุรุษหนุ่มหน้าหวานท่าทางอ้อนแอ้นเหมือนที่ตนเคย ชอบลิ้มลองมานักต่อนักไม่ว่าจะเป็นบรรดาขันทีวัยหนุ่มหลายคนที่ต้องเป็นเหยื่อราคะเพื่อสังเวยให้แก่ขันเฒ่าผู้มากด้วยตัณหา รอยยิ้มน่าเกลียดบนริมฝีปากที่เต็มไปด้วยหนวดเคราแม้อายุจะย่างเข้าสู่วัยชราแล้วหากแต่ยังเต็มไปด้วยความอยากไม่รู้จักจบจักสิ้น ปลดสายคาดเอวของจิวซินออกด้วยมืออันสั่นเทา“โครม” เสียงประตูห้องใหญ่พังลงอย่างง่ายดายด้วยแรงถีบมหาศาล“เอามือโสมมของเจ้าออกจากตัวขององค์ชายใหญ่เดี๋ยวนี้” ชงไฉ่ชักกระบี่เหยียดตรงเข้าใส่ขันทีเฒ่า ด้วยความโมโหสุดระงับยับยั้งขันทีเฒ่า ที่ปากคอสั่นด้วยความกลัว คุกเข่าลงกับพื้นดวงตาเหลือกลาน“องค์รัชทายาทโปรดอภัย ข้ามิบังอาจเพียงแต่องค์ชายใหญ่เมามายข้าเพียงจะช่วย”“เจ้านี่ช่างแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ข้าสั่งเกี้ยวไปยังตำหนักบูรพาแต่เจ้ากับสับเปลี่ยนคนห
“องค์ชายใหญ่”“องค์ชายใหญ่ราชบุตรเขยนะหรือ”“ใช่”“แล้วทำไมคนของข้าบอกว่าเป็นหญิงงาม” เยว่ฉีพยายามมองพิศใบหน้าของจิวซิน“หากข้าไม่เคยได้ยินคำล่ำลือ คงไม่อาจจะเชื่อได้ว่าเป็นองค์ชายใหญ่ ที่กล่าวกันว่าใบหน้างดงามปานอิสตรี”“เจ้ากล่าวมาไม่ผิด” ชงไฉ่พยายามปกปิดความผิดปกติทางน้ำเสียง“องค์ชายใหญ่ของเหอตงหยวนคนนี้ ช่างต่างจากบุรุษทั่วไปตามสายตาข้า”“เช่นไร” ชงแตกใจกับคำกล่าวของเยว่ฉี“ใบหน้าชดช้อย ไม่มีหนวดเคราอีกทั้งทรวดทรงต่างออกไป แม้แต่....” ด้วยเยว่ฉีคลุกคลีกับขันทีเฒ่าพ่อบุญธรรมจึงมักพบเจอกับเด็กที่เป็น ของเล่นของขันทีเฒ่าที่มักมีร่างกายเป็นชายแต่จริตเป็นหญิง“เจ้าหมายความว่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอมีจริตเป็นหญิงเช่นนั้นหรือ” ชงไฉ่รู้สึกสับสนไม่เข้าใจว่าเขาจะเสียใจทำไมหรือเป็นเพราะหวังอยากให้องค์ชายใหญ่เป็นหญิงแท้ๆ แต่ไม่ใช่แค่มีจริตเป็นหญิงซึ่งเขาไม่ชอบใจนัก“ข้าต้องได้พูดคุยกับองค์ชายใหญ่เสียก่อน” “ข้าต้องได้พูดคุยกับองค์ชายใหญ่เสียก่อน” ชงไฉ่ช่างรู้สึกว่าเยว่ฉีจะมีประโยชน์ก็ตอนนี้นี่เอง“เช่นนั้นเจ้าออกไปเถิดหากองค์ชายใหญ่ได้สติเจ้าคงต้องได้พูดคุย” เยว่ฉีเขม้นมองจิวซิน หากเป็นชายไยน่าตา
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”
“วางใจเถิดสหาย ข้าเลี่ยงเฟิ่งไม่ทำให้ฝ่าบาทพี่ชายสุดที่รักของเจ้าต้อง ป่วยไข้เพราะอากหารที่ข้าทำแน่นอนแม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าฮ่องเต้ผู้หน้าตาดีแต่ท่าทางโอหังก็ตาม” ฮุยเจินยกมือเรียวปิดปากเลี่ยงเฟิ่งก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำกลัวใครมาได้ยิน“ฮะแฮ่ม..” เสียงกระแอมดังๆ จากด้านหลังชงไฉ่กับชิงซาที่ยืนทำหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น ฮุยเจินเอามือออกจากปากบางของเลี่ยงเฟิ่งแต่กับลืมวงแขนที่กอดรัดเอวบางอยู่“ห้องเครื่องของเจ้าคนนี้ท่าทางจะพิเศษไม่น้อย ฮุยเจินถึงกับให้ความสนิทสนมขนาดนี้”“ฮุยเจินกับเลี่ยงเฟิ่งผ่านทุกข์ยาก ลำเข็ญ สนิทสนมกันเพราะความเคยชินหาใช่อย่างอื่นความรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้องร่วมอุทร” ฮุยเจินรีบแก้ตัวชงไฉ่ยิ้ม“เจ้าเองก็ยัง ไม่มีชายาข้าไม่น่าละเลยเจ้าเลยฮุยเจินอายุเจ้าก็สมควรจะมีคู่ครองได้แล้ว” ฮุยเจินคุกเข่าทันที“ฝ่าบาททรงไตร่ตรอง” ฮุยเจินละล่ำละลักบอกชงไฉ่เลิกคิ้วสูง“ข้าเลี่ยงเฟิ่งมิใช่คนของไห่ตงหยวน ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาบงการชีวิต” เลี่ยงเฟิ่งชิงพูดขึ้นก่อน และนี้เองคือสิ่งที่ฮุยเจินกลัวที่สุดชงไฉ่เดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งช้าๆ มองอย่างสำรวจมือบางขาวจับคางสวย บิดไ
เยว่ฉีส่งตะเกียบสีเงินให้กับชงไฉ่ หมูสามชั้นที่แดง ขาวชิ้นพอดีคำ ราดด้วยน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยวถูกส่งเข้าปาก ความเผ็ดจากพริกหอมภูเขา รสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ปลายลิ้นจากผลส้ม และกลิ่นหอมจากสุรา ที่ฉุนขึ้นจมูก ที่ผสมกันอย่างลงตัวทำเอาชงไฉ่ถึงกับเผลอคีบหมูสามชั้นชิ้นต่อไปส่งเข้าปากอย่างลืมตัว ฮุยเจินหันไปอมยิ้มสบตากับชิงซาที่ยืนคอยสังเกตท่าทีของชงไฉ่ข้างๆ“รสชาติจัดจ้านไม่เหมือนอาหารของวังหลวงของไห่ตงหยวน กลิ่นสุราที่หอมหวนซึมซับเข้าไปข้างในชวนให้อยากลิ้มลอง นับว่าแปลกประหลาดไม่น้อย ““ฝ่าบาทลองชิมพร้อมกับเครื่องเคียงทั้งสามอย่างดูเถิด” ฮุยเจินออกปากเชิญชวน กลายเป็นเยว่ฉีที่คีบเอากวางตุ้ง สาหร่าย หัวไซเท้าหั่นวางบนจานคีบเอาเนื้อเป็ดส่งเข้าปากบ้าง รสชาติอาหารทำเอาเยว่ฉีถึงกับอึ้งชงไฉ่ คีบเครื่องเคียงมาวางที่จานบ้าง“สาหร่ายทะเลใช่ไหม เจ้านำมันมาจากเหอตงหยวนด้วยใช่ไหม” ส่งเข้าปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย“ต้องยกความดีให้นางวัตถุดิบทุกอย่างเลี่ยงเฟิ่ง นางคัดสรรด้วยความพิถีพิถัน” ชงไฉ่พยักหน้าตั้งหน้าตั้งตาคีบนู่นนี่มาลองลิ้มรสดู“ปูชนิดนี้รสชาติดีเหลือเกิน เพคะฝ่าบาท” เยว่ฉีออกปากชม“พระชายาคงยังไ
“ข้าเพียงอยากทดสอบยาลืมทุกข์ของกงกงเฒ่าว่าจะสามารถทำให้ฝ่าบาทลืมเลือน จิวซินได้จริงหรือไม่”“องค์ชายสิบสามจึงพานางมาด้วยเช่นนั้นหรือ”“ถูกต้อง ความรักความผูกพันหรือความรักจริงใจต่อกันไม่อาจมีสิ่งใดขว้างกั้นได้ ข้าเชื่อเช่นนั้น”“ข้าเอาใจช่วยให้ ความคิดของท่านถูกต้อง”“ข้าจะพานาง เข้าไปอยู่ในตำหนักของฝ่าบาทในฐานะนางในห้องเครื่อง เสวยของฝ่าบาทและต้องเป็นนางในที่ยกเครื่องเสวยด้วย”“หากให้นางไปคัดเลือกเป็นนางในเกรงว่าด้วยฐานันดรของนางสูงส่งและทุกอย่างที่เคยเป็นของเลี่ยงเฟิ่งอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับใคร เพียงแค่ให้ฝ่าบาทออกโรงปกป้องนางด้วยตัวฝ่าบาทเองเพราะตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นถึงฮ่องเต้สูงสุดในแผ่นดินแล้ว หากอยู่ในฐานะสนมย่อมไม่รอดพ้นสายตาของชายาอย่างเยว่ฉี”“ท่านมั่นใจเช่นนั้นหรือ”“เลี่ยงเฟิ่งคนนี้นางชื่นชอบการทำอาหารไม่ว่าจะเป็นพี่ห้าหรือข้าฮุยเจินมักจะต้องกลายเป็นผู้ที่ต้องติชมรสมือนางไปแล้วทั้งสิ้น นับว่าฝีมือการทำอาหารของเลี่ยงเฟิ่งหาผู้เปรียบเปรยได้ยากข้าจึงคิดว่า ฝ่าบาท จะต้องตรึงใจในรสมือของนางไม่น้อย”จิ่นเกอทำไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ปกตินางไม่เคยเข้าใกล้ห้องเครื่องมาก
“เช่นนั้นรึ อย่างนั้นไม่สู้เจ้ารีบไปเยี่ยมองค์ชายน้อยเถิด เหลือเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังไม่เห็นหน้าองค์ชายน้อยมาก่อน”“เช่นนั้นข้าและเลี่ยงเฟิ่งขอลา” ฮุ่ยเจินกระตุกแขนเลี่ยงเฟิ่งให้คุกเข่าก่อนจะบ่ายหน้ายังตำหนักบูรพาที่ซึ่งบัดนี้องค์ชายใหญ่จิ่นเกอและเจียวซือเป็นผู้ครอบครอง ชงไฉ่มองตามฮุ่ยเจินและเลี่ยงเฟิ่งจนลับสายตาเบื้องหน้าตำหนักบูรพา จิ่นฉินตะลึงมองเลี่ยงเฟิ่ง ด้วยแววตาปีติ เช่นนั้นคำพูดหาหลุดออกมาจากปากไม่ ฮุ่ยเจิน เพียงแต่โคลงศรีษะไปมา พร้อมกับรอยยิ้มด้วยความสุนทรีย์หากไม่ได้แสดงอาการว่าอยากพูดอะไรเช่นกัน จิ่นฉินยกมือประสานกันเบื้องหน้าคารวะ องค์ชายสิบสาม“องค์ชายใหญ่กับเจียวซืออยู่ข้างในใช่ไหม” จิ่นฉินเหลือบตามองเลี่ยงเฟิ่ง แต่เจรจากับฮุยเจิน“องค์หญิงและองค์ชายใหญ่จิ่นเกอกำลัง หยอกล้อกับองค์ชายน้อยอยู่ข้างใน เชิญท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปบอกให้รุ้ว่าท่านทั้งสองมา”ฮุยเจินโบกมือ ห้ามถือวิสาสะเดินนำเลี่ยงเฟิ่งเข้าไปข้างในเบื้องหน้านั้นองค์ชายน้อย กำลังแย้มพระสรวลดวงตาใสซื่อจิ่นเกอยืนหันหลังเจียวซือนั่งยองๆ ข้างองค์ชายน้อยเสียงสาวใช้สองสามคน ทำความเคารพองค์ชายสิบสาม เลี่ยงเ