“ข้ามาแลกของรางวัล”“ต้องการแลกอะไรบ้างเจ้าคะ แก่นอสูรระดับต่ำสามารถแลกของได้ตามรายการนี้ แก่นอสูรระดับกลางแลกของได้ตามรายการนี้ ส่วนแก่นอสูรระดับสูง...”หญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกจ้างวานมาเพื่องานครั้งนี้เป็นการชั่วคราวแนะนำผู้เข้ามาเยือนแต่ละคนด้วยประโยคเดียวกัน ตรงหน้ามีกระดาษอยู่สามแผ่น ในนั้นเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า รางวัลชิ้นไหนต้องใช้อะไรแลกบ้างหากต้องการใช้สมุนไพรแลกรายละเอียดก็อยู่ในแผ่นเดียวกัน ฉินหลิวซีแลกของที่จำเป็นต้องใช้มาหลายอย่าง ส่วนมากเป็นของที่นางไม่มีหรือหาซื้อไม่ได้ในเมืองนี้ส่วนการที่จะนำไปแลกโอสถนางไม่สนใจ เพราะไม่ว่ายาใดอาจารย์หมอเทวดาของนางก็ปรุงเองได้ บางอย่างในรายการพวกนี้นางก็ปรุงจนช่ำชองแล้วด้วยซ้ำ กระทั่งมาสะดุดตาเข้ากับรายการหนึ่ง อาวุธวิเศษระดับกลางต้องใช้แก่นปราณอสูรระดับจักรพรรดิแลกเจ้านี่น่าสนใจ ดีจริงที่บังเอิญพบอยู่หนึ่งชิ้น“ข้าต้องการแลกสิ่งนี้” นางยื่นม้วนกระดาษกลับไปให้เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น และถูกมองกลับมาด้วยแววตาประหลาดใจ“ธนูทะลวงกาย รอสักครู่นะเจ้าคะ” นางผู้นั้นไม่ถามให้มากกว่า แต่ไปนำของที่ห้องข้างหลังมามอบให้หลังจากนางเข้ามาได้สักพักหนึ
เมื่อมีแผนจะลงไปที่เมืองพร้อมกับอาจารย์ใน เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินซือหยวนก็ถูกพี่สาวซ้อมมือให้อย่างหนักหน่วงชนิดที่ว่าเห็นสมุนไพรก็ทำหน้าขยาด“ข้าจำเป็นต้องจำด้วยหรือ อย่างไรท่านพี่ก็จะบอกข้าอยู่ดี”“ฝึกไว้ก็ไม่เสียหายสักหน่อย จะเป็นผู้ช่วยข้า หากถึงคราวที่ข้าละมือไม่ได้ แต่มีคนรอตรวจอีกมากมายก็จะไม่ช่วยทุ่นแรงกันหน่อยหรือ”“แต่มันเยอะมากเลยนะ...” เขามองสมุนไพรต่างชนิดกันที่วางเรียงรายอยู่แล้วก็รู้สึกมวนท้องขึ้นมา“ค่อย ๆ จำไปเดี๋ยวก็จำได้เอง ข้าไม่ถึงกับจะบีบคั้นให้เจ้าจำได้วันนี้พรุ่งนี้เสียเมื่อไหร่”ก่อนหน้านี้เขาจำได้แต่สมุนไพรพื้นฐานที่พวกจอมยุทธ์ใช้รักษาแผลกันอย่างฉุกเฉิน เป็นพืชที่หาได้ทั่วไปตามป่าเขา ตอนนี้ต้องจำเพิ่มแล้ว รู้สึกเหมือนมีกองตำราอย่างหนาราวสิบเล่มมากองตรงหน้าก็ไม่ปานระหว่างน้องชายกำลังจดบันทึกสมุนไพรแต่ละชนิดลงสมุดพกส่วนตัว ฉินหลิวซีก็มาเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรให้โตทันใช้ และนำไปขายได้ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้บางส่วนนำไปปลูกในมิติลับของนางที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณ ส่วนที่เคยโล่งของนางตอนนี้เต็มไปด้วยสมุนไพรแทบทุกระดับทั้งต่ำ กลาง สูง และพวกที่มีอายุหลายร้
เมื่อได้ยินว่าจะได้กลับบ้าน ฉินหลิวซีก็คิดรายการของฝากเตรียมเอาไว้หลายอย่าง แต่ต้องเดินทางสักระยะหนึ่งจึงจะเวียนไปถึงเมืองนั้น แต่แค่ได้รู้ว่าจะได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ทั้งสองคนก็ดีใจมากแล้ว ต่างเฝ้ารอให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆสองพี่น้องสะพายย่ามคนละใบพร้อมกับเป้ใส่ของอีกคนละอัน ของในเป้ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ทำกินของอาจารย์ซึ่งศิษย์ทั้งสองก็มีหน้าที่ตามรับใช้ เรื่องแบกของให้เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ทั้งสองคนฝึกตนมาหลายขั้นแล้วมันจึงไม่ได้ให้ความรู้สึกหนักอะไร“ท่านพี่ ท่านว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะจำเราได้หรือเปล่า” พอระหว่างเดินทางข้ามเมืองไม่มีอะไรทำ ทั้งสองคนก็หาเรื่องไร้สาระมาคุยกัน ส่งเสียงเจื้อยแจ้วแข่งกับฝูงนก“ผ่านมาไม่เท่าไรเอง พวกท่านต้องจำได้อยู่แล้วสิ”“ข้าคิดถึงพวกท่านมากเลย ไม่รู้จะยังสุขสบายดีหรือไม่”“พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนก่อนเราจะออกเดินทางแล้ว เรื่องสุขภาพไม่น่าห่วงหรอก”“จริงของท่านพี่ ข้ามีเรื่องจะเล่าให้พวกท่านฟังเยอะแยะเต็มไปหมด”“เจ้าพูดแบบนี้ สงสัยพวกท่านจะไม่ได้นอนตลอดสองวันเป็นแน่” นางคิดภาพออกเลยว่า น้องชายตัวดีคงเล่าเรื่องผจญภัยของตัวเองทั้งวันทั้งคืน พวกเขาเดินทางข้ามเมืองจนม
“เพราะเขาจะมองเราเป็นเด็กน่ะสิ เสียงข้าแม้จะเล็กเหมือนกัน แต่ก็พอจะดัดให้ดูโตขึ้นกว่าอายุได้ ถึงแม้เจ้าจะตัวเล็กกว่าข้า แต่สวมผ้าคลุมไว้เช่นนี้และไม่พูดอะไรเลยก็จะเป็นบุคคลปริศนา พวกเขาเดาไม่ออกหรอกว่าอาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่อายุยืนนานหรือเปล่า”ถึงแม้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็ทำตามที่พี่สาวต้องการ ที่โลกนี้เองก็มีเผ่าพันธุ์อื่น เพียงแต่หาได้น้อยจนแทบไม่มีบันทึกปรากฏว่าพบเจอในช่วงร้อยปีมานี้เลย หากเป็นเช่นนี้การที่นางนำท้อมรกตมาฝากประมูลก็จะดูสมเหตุสมผลขึ้นมา“ติดต่อเรื่องใดเจ้าคะ” สตรีนางหนึ่งประจำการอยู่ที่ด้านหลังอาคาร ซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะของคนที่จะมาติดต่อฝากบางอย่างร่วมประมูล หรือแม้แต่รับสินค้าที่ประมูลไปแล้ว“ข้าต้องการฝากสิ่งหนึ่งร่วมประมูล กำหนดการเร็วที่สุดที่จะถึงคือวันไหน”“เราจะมีการประมูลในตอนเย็นของวันพรุ่งนี้พอดี หากไม่แล้วท่านก็สามารถนำของสิ่งนั้นร่วมประมูลได้ในอีกห้าวันหลังจากนี้”“เข้าใจแล้ว ข้าขอร่วมลงประมูลเย็นพรุ่งนี้”“สิ่งของที่ท่านนำมา หากพิจารณาแล้วว่าสามารถนำมาร่วมได้จะมีการหักส่วนแบ่งให้กับทางเราครึ่งหนึ่ง เงื่อนไขนี้ยินยอมหรือไม่เจ้าคะ”“ยินยอม”เงื่อนไขนี้ไม่ว่าอ
การประมูลเริ่มในช่วงหัวค่ำพวกเขาจึงมารับบัตรตั้งแต่ก่อนยามโหย่ว วนเวียนอยู่แถวนั้นจนกว่าโรงประมูลจะเปิดประตูพอน้องชายจะเบื่อ นางจึงพาเขามาเดินที่ตลาดใกล้ ๆ เพื่อซื้อของว่างกินฆ่าเวลา ใด ๆ แล้วก็ยังซื้อวัตถุดิบบางอย่างเพิ่มเพื่อนำกลับไปทำอาหารในวันหลังด้วย นางเก็บของพวกนั้นไว้ในมิติมันจึงไม่เสียต่อให้เป็นของสด อยู่โรงประมูลสักสองชั่วยามของที่ซื้อมาก็ไม่เสียหายกระทั่งถึงเวลาเหมาะสม ประตูบานใหญ่เปิดอ้าต้อนรับ ผู้คนทยอยกันเดินเข้าไป ฉินหลิวซีจับมือน้องชายเอาไว้แน่น ทั้งสองคนเลือกที่นั่งด้านหลังสุด การประมูลเปิดม่านขึ้นแล้วผลท้อมรกตถูกนำออกมาเป็นรายการที่เจ็ด นางค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะนี่คือสิ่งที่นางนำมา แต่ละครั้งที่มีคนเสนอราคาทำให้นางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มีคนยื้อแย่งที่จะได้มันมาครอง“สี่พันตำลึงทอง!”“สี่พันตำลึงทองขอรับ! สี่พันตำลึงทองครั้งที่หนึ่ง สี่พันตำลึงทองครั้งที่สอง สี่พันตำลึงทองครั้งที่สาม! ขาย!”ฉินซือหยวนถึงกับผุดลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินจำนวนเงินนั้น และนั่นคือราคาต่อหนึ่งผลเท่านั้น การประมูลท้อมรกตผ่านพ้นไปน้องชายของนางก็ยังรู้สึกทึ่งไม่หาย เจ้าของสินค้าชิ
“ได้ข่าวสมุนไพรวิญญาณระดับสูงว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่น่ะ ข้าจำเป็นต้องใช้งานมัน เราจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า”“ไปนานหรือไม่เจ้าคะ” หากไม่ต้องอยู่ข้างนอกข้ามวัน นางก็จะได้ทำโจ๊กเอาไว้ กลับมาก็อุ่นกินได้เลย“ไม่แน่ใจน่ะสิ อาจจะเจออุปสรรคระหว่างทาง”“เช่นนั้นข้าจะจัดของใส่ย่ามไว้นะเจ้า”“อืม ไม่มีอะไรแล้วพวกเจ้ารีบเข้านอนเถอะ”สองพี่น้องราตรีสวัสดิ์ผู้อาวุโสก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนพึ่งพูดไปอยู่ไม่กี่วันว่าจะอยู่หนึ่งเดือน นี่ต้องเดินทางอีกแล้ว เรื่องกำหนดระยะเวลาเชื่อใจอาจารย์ไม่ได้เลยจริง ๆ เฮ้อ…“มีคนนำผลท้อมรกตมาขายหรือ?”“ขอรับ นายน้อยอยากได้หรือ” หากนายท่านได้รู้และแจ้งมาก่อนหน้านี้ เขาก็คงไปร่วมประมูลเพื่อเอามาให้แล้ว แต่คนที่นำมานั้นก็ใจร้อน อาจจะมีเรื่องฉุกเฉินต้องการเงินซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ แต่ที่คนผู้นั้นรีบลงประมูลก็เป็นความจริง“ไม่ ไม่ใช่ คนที่นำมาเป็นใคร ใครเป็นคนรับหน้าไปตามมาเดี๋ยวนี้”ทั่วทั้งหอชิงขุยวุ่นวายขึ้นมาทันทีเมื่อนายน้อยรู้รายละเอียดเรื่องนี้อย่างมาก แต่เดิมทีก็ไม่มีใครสนใจเรื่องของผู้ที่นำสินค้ามา นอกจากว่ามันจะเป็นของหายากระดับตำนาน ผ
โอสถทะลวงลมปราณ ฉินหลิวซีเคยคิดจะใช้มันให้พ่อแม่ได้กลายเป็นผู้ฝึกตน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านอายุทำให้นางต้องล้มเลิกที่จะใช้ยาตัวนี้ไป โอสถทะลวงลมปราณหนึ่งเม็ดราคาเป็นหมื่นตำลึงทอง หายากยิ่งกว่าตัวยาที่นางเคยให้อาจารย์ช่วยปรุง สมุนไพรที่ต้องใช้ก็มีหลายชนิดมาก ๆ จนยาห้ามเลือดของนางยังต้องอายหลังจากเช็ดคราบเลือดออกจากกระบี่อ่อนนางก็จัดการลากชายผู้นั้นไปทิ้งไว้มุมถ้ำ ส่วนตัวเองก็มาจัดการกับสมุนไพรที่เหลือ สมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้มีถึงเก้าสิบเก้าชนิด ตอนนี้นางได้ชนิดที่เจ็ดสิบสองในรายการมาแล้ว ตั้งแต่ได้เรียนรู้ และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดานางก็เก็บสมุนไพรสะสมไว้มาโดยตลอดตำรับตำราเกี่ยวกับยาเป็นของอาจารย์นางที่เขียนขึ้นเอง นางได้เรียนรู้มันตั้งแต่ตอนที่พึ่งเจอเขาเหตุแห่งความบังเอิญที่นำพามาพบกัน ทำให้ปัจจุบันนางลงเอยที่ฝากตัวเป็นศิษย์เขา และเพราะตำราที่เขียนขึ้นเองไม่ใช่ของที่ใครจะได้รับอนุญาตให้เปิดอ่านก็ได้ ในนั้นมีทั้งข้อมูลที่เป็นทั้งคุณและโทษ หากถูกคนเจตนาไม่ดีนำไปใช้งานอาจกลายเป็นความโกลาหล ฉินหลิวซีจึงไม่เคยวางใจให้ผู้อื่นปรุง“เท่านี้พอแล้วหรือไม่เจ้าคะ”ซุนเป่ยฉีเหลือบมองในย่ามน
ฉินซือหยวนวิ่งหนีจนเหนื่อย เขาไม่ชอบการต่อสู้ ชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง ไม่รู้ทำไมพี่สาวต้องบังคับขู่เข็ญให้เขาออกแรงขนาดนี้ด้วย การใช้กำลังต่อสู้ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ แต่นางเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว มองจากสีหน้าก็รู้ หากเขาไม่ลงมือทำอะไรเสียที นางคงกวาดหุ่นไม้พวกนี้ทิ้งแล้วลงสนามเองเป็นแน่ไม่ ๆ แบบนั้นน่ากลัวกว่าเดิมอีก!นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเคี่ยวเข็ญให้เอาชนะด้านพละกำลัง แต่ไม่ว่าจะถูกสั่งให้ทำแบบนี้กี่ครั้ง เขาก็ยังไม่ชินอยู่ดี แต่เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็จำใจต้องตอบโต้ แม้ใจจะไม่ชอบ แต่เขาก็เข้าใจว่าพี่สาวปรารถนาดีต่อตน เพียงแต่วิธีการของนางบางครั้งก็หนักมือเสียเหลือเกิน“เอาละ ๆ ข้ายอมแล้ว”ฉินซือหยวนหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับหุ่นไม้ทั้งห้าตนอย่างไรเสียเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินก็ห่างไกลจากเด็กบ้านนอกธรรมดามาไกลแล้ว อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาไม่อยากจะคิด คิดไปก็เท่านั้นทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาก็รู้สึกชอบมันไม่น้อย และที่ทำอยู่ก็เพื่อให้สามารถปกป้องตนเองได้แม้ว่าฉินซือหยวนจะอิดออดและเอาแต่วิ่งหนีท่าเดียวมาหลายชั่วยาม แต่ตอนนี้
มิติทับซ้อนของสำนักอุดมสมบูรณ์มากเพราะเปิดใช้งานเพียงสิบปีครั้ง อีกทั้งยังไม่เปิดให้ใครเข้ามาระหว่างนั้น สมุนไพรและพืชผลเติบโตได้อย่างเต็มที่ สิบปีที่ไม่มีใครบุกรุกนี้คงมีแต่แมลงที่จะรบกวนพวกมันได้"ข้าขอไปดูทางนั้นสักครู่เผื่อว่ามีสมุนไพรอื่นอีก" ฉินหลิวซีขอแยกตัวออกมาหลังจากพักร่างกายเสร็จแล้ว เพราะนางไม่ได้ออกมาไกลมาก ยังอยู่ในระยะที่พวกเขาเห็นได้หลี่เจิ้นหัวจึงไม่ได้ว่าอะไรฉินหลิวซีเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มเพื่อนำสมุนไพรบางส่วนเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง สมุนไพรที่หามาได้ต้องแบ่งให้กับคนอื่นเท่า ๆ กัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการนับคะแนนแบบกลุ่ม สมุนไพรหายากเหล่านี้นางก็อยากเก็บไว้เอง เพราะมิตินี้สิบปีจะเข้ามาได้สักครั้งข้าก็ไม่ใช่คนดีเป็นพระโพธิสัตว์อะไรอยู่แล้ว ขอเก็บไว้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็แล้วกันฉินหลิวซีแบ่งสมุนไพรทีละเล็กละน้อยเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง ในโลกของผู้ฝึกตนจะมีเครื่องมือชนิดหนึ่งใช้หาสมุนไพรที่ต้องการ ผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ล้วนมีมันอยู่ในมือ เป็นอุปกรณ์คล้าย ๆ กับที่คนเป็นครูในโรงเรียนมักจะมีปากกาเหน็บไว้กับเสื้ออุปกรณ์ธรรมดาระดับนั้นนางไม่ใส่ใจมันเลย จนกระทั่งพึ่งมาส
พิกัดเริ่มต้นแต่ละกลุ่มถูกส่งไปแบบสุ่ม หลังจากที่จัดการกับกอสมุนไพรที่บังเอิญพบแห่งแรกนั้นเสร็จพวกเขาก็เดินต่อไปทางทิศตะวันออกระหว่างทางนั้นฉินหลิวซีก็ยังเก็บสมุนไพรมาได้อีกหลายต้น เดินต่อมาได้อีกระยะหนึ่งก็พบเข้ากับกอสมุนไพรใหม่ อีกทั้งกอนี้ยังเป็นสมุนไพรที่มีอายุสิบปีขึ้นไปทั้งนั้นอีกด้วย เมื่อเห็นของหายากพวกเขาก็ตั้งท่าระแวดระวังทันที และยกหน้าที่เก็บสมุนไพรเหล่านี้ให้ฉินหลิวซีดูแลระหว่างที่กำลังเดินหาและเฝ้ายามไปด้วย หัวหน้ากลุ่มอย่างหลี่เจิ้นหัวก็ส่งสัญญาณมือให้พวกเขาหยุด ยังไม่ทันได้ถามคำตอบก็ดังลั่นมาจากข้างหน้า"ส่งสมุนไพรในมือเจ้ามา!"ผู้ใช้โอสถที่กำลังเก็บสมุนไพรอย่างขะมักเขม้นลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น มือหนึ่งจับด้ามกระบี่อ่อนของตนเอาไว้ ในมืออีกข้างยังเหลือต้นสมุนไพรที่พึ่งเก็บขึ้นมา"พวกดาราจักรนี่เอง" หนึ่งในศิษย์ของสำนักเซียนกระบี่เอ่ยขึ้นฉินหลิวซีประเมินด้วยสายตาแล้วก็คิดว่านางคงไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่มย่ามให้ศึกครั้งนี้ นางปล่อยมือจากด้ามกระบี่ของตนแล้วยกหน้าที่คุ้มกันให้หลี่เจิ้นหัว เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีเมินเฉยต่อตัวตนของพวกเขา ลูกศิษย์กลุ่มนั้นก็เข้ามาจู่โจมทันทีดาราจ
ศิษย์ในสำนักต่างเห็นด้วยกับคำพูดของคนเหล่านี้ เว้นก็แต่หลี่เจิ้นหัวและน้องชายสุดรักของนาง ฉินซือหยวนจากที่หลบหลังหมอเทวดาอยู่ก็ออกมายืนข้าง ๆ ให้เห็นหน้าได้ชัด ตอนนี้เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อใครไปทั่วเสียงประท้วงดังได้อยู่ไม่นานท่านเจ้าสำนักก็ยกมือขึ้นให้พวกเขาหยุด“เรื่องที่สตรีผู้นี้ไม่ใช่คนใน ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะนางเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งก็เคยร่ำเรียนที่สำนักของเรา ส่วนเรื่องฝีมือของนาง แม้ข้าจะกล่าวไปก็ไม่อาจทำให้พวกเจ้าเชื่อได้นอกจากเห็นด้วยตา ผู้ที่รู้แจ้งคงมีไม่กี่หยิบมือ เช่นนั้นก็ให้โอกาสนางได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เถิด”คำแถลงไขของท่านเจ้าสำนักเว่ย แม้ไม่ได้เปลี่ยนการตัดสินใจ แต่ก็ทำให้พวกเขายอมรับได้มากขึ้น พวกเขาจึงได้สงบปากสงบคำลงดังเดิม แต่สถานการณ์ก็ยังไม่สงบลงเสียทีเดียว“เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักโปรดช่วยแถลงไขความข้องใจให้ข้าที แท้จริงแล้วนางผู้นั้นเป็นใครกันแน่”นางจำได้ว่า คนผู้นั้นคือหว่านเล่อ ยอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักเซียนกระบี่ที่กำลังเอ่ยถึงกัน ดูเหมือนเขาเองก็รู้สึกแคลงใจในเรื่องนี้จากที่หลี่เจิ้นหัวเล่าเรื่องของที่
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้ใช้โอสถแซ่ฉินตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้นางตั้งใจจะไปให้ทันส่งหลี่เจิ้นหัวก่อนเริ่มการแข่งให้ได้ฉินหลิวซีดูตัวเองอยู่หน้ากระจกจนพอใจจึงค่อยออกจากเรือนพัก นางเผื่อเวลาเอาไว้มาก ทำให้มาทันช่วงผู้เข้าแข่งขันกำลังเตรียมตัวในตอนที่ยังไม่มาเด็กชายก็มองหาสหายอยู่ก่อนแล้ว พอนางปรากฏตัวเขาจึงมองเห็นได้โดยง่าย และดูเหมือนทั้งคู่จะมีเรื่องอยากพูดคุยกันก่อนเข้าสู่สนามประลองวันที่สอง เพียงมองตาก็รับรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้ใจตรงกัน หลี่เจิ้นหัวลังเลที่จะเดินออกไป แล้วนี่ก็ใกล้ได้เวลาเปิดประตูแล้วฉินหลิวซีรู้ว่าเขามาไม่ได้จึงยัดของบางอย่างใส่มือน้องชาย“ซือหยวนน้อย เอาสิ่งนี้ไปให้พี่ชายหลี่ของเจ้าที”ฉินซือหยวนพยักหน้าก่อนจะเดินฝ่าฝูงชน หลี่เจิ้นหัวไม่อยากให้น้องชายเข้ามาถึงกลางสนามให้เป็นเป้าสายตาจึงเดินออกมาพบด้วยตัวเองครึ่งทาง“พี่สาวข้าฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน”เขารับมาก็พบว่าเป็นเครื่องราง ฉินหลิวซีใส่ยันต์ที่นำพาความโชคดีเอาไว้ในถุงปักลายบุปผา หลี่เจิ้นหัวฝากคำขอบคุณกลับมาส่วนตัวเองก็ไปรวมตัวกับกลุ่มศิษย์สำนักเดียวกัน เขาเก็บสิ่งนั้นลงอกเสื้ออย่างทะนุถนอมพื้นที่ทับซ้อนนี้ถูก
และอีกสารพัดข้อห้ามเพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์จากแต่ละสำนัก ฉินหลิวซีปิดปากหาว กว่าจะร่ายกฎทุกข้อจบก็ทำเอานางง่วงแล้ว กติกาพื้นฐานในการแข่งขันก็เหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ถึงจะออกกฎมาแบบนี้ก็ยังมีคนเจ้าคิดเจ้าแค้นในการแข่งขันอยู่เลย การแข่งขันล่าสัตว์อสูรเมื่อหลายปีก่อนที่นางเข้าร่วม มันต่างกับเรื่องนี้ตรงไหนจากมุมมองของผู้ใช้โอสถตัวน้อย คนกลุ่มนั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต โตก็โตแค่ตัว ไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาเสียเลยหากยังยึดติดกับความคิดแบบนั้นไม่น่าอายุยืนได้หรอกผู้ชนะในการแข่งขันจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป เมื่อให้ผู้เข้าแข่งขันลงจากสนามไปเตรียมตัวแล้วบรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนไปฉินหลิวซีเฝ้ารอสิ่งนี้มาตลอดหลายวัน ในที่สุดก็ได้เห็นการต่อสู้ของสำนักอื่นเสียทีผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการประกาศให้ผู้เข้าแข่งขันคู่แรกมาประจำที่ ตัวแทนจากดาราจักรและศาสตราพิทักษ์ก้าวลงสู่สนามประลองโดยมีเสียงจากพยัคฆ์ทองและเซียนกระบี่คอยส่งกำลังใจ แต่เสียงที่มาจากสำนักเดียวกันย่อมดังก้องกว่าใครความถนัดของพวกเขาเป็นดังชื่อเรียก แม้แต่ละสำนักจะมีแตกแยกย่อยไปหลายแขนง แต่เรื่องโดดเด่นของพวกเขาย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับนามเรียกขานก
หลังจากความแตกวันนั้น ฉินหลิวซีก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อหลบหน้าคนกลุ่มนั้นไปจนถึงวันประลอง ถึงแม้จะน่าหงุดหงิดไปบ้างที่นางต้องมาซ่อนตัวแค่เพราะคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนั่น แต่เพื่อชีวิตสงบสุขของตัวเอง นางจะยอมกลืนศักดิ์ศรีลงไปก็ได้ด้วยความที่นางเป็นศิษย์เอกของหมอเทวดาพวกเขาจึงยังเกรงใจ และไว้หน้านางอยู่บ้าง ไม่มีใครบอกคนนอกว่านางพักอยู่ที่ไหน และที่พักของนางก็อยู่ใกล้กับท่านอาจารย์ หากใครคิดจะมาหาเรื่องฉินหลิวซีก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับหมอเทวดาด้วยแต่จนแล้วจนรอดวันชุมนุมนางก็ต้องมา เพราะรับปากกับท่านเจ้าสำนักเอาไว้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมลงสนามแต่นางก็มาดูในฐานะผู้ชมได้ ตามจริงแล้วคนนอกจะไม่ได้รับอนุญาต แต่อาจารย์ของนางได้รับเชิญ นางจึงได้สิทธิ์เข้ามานี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันตั้งแต่มาที่นี่ที่ฉินหลิวซีได้พบหน้าน้องชาย“ท่านพี่!”“ซือหยวน” ฉินหลิวซีอ้าแขนรับเจ้าตัวดีที่พุ่งเข้ามาหานางโดยไม่คิดจะยั้งแรง เด็กหญิงถึงกับเซไปข้างหลังหลายก้าว“ข้าคิดถึงท่านจังเลย”“ข้าก็คิดถึงเจ้า” สองพี่น้องกอดกันกลม สนิทสนมจนเป็นที่น่าอิจฉา มีไม่มากที่พี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียวกันปานนี้ฉินซือหยวนเพิ่งเข้าสำนั
เด็กหญิงแซ่ฉินนั่งเท้าคางอยู่บนก้อนหิน มองดูเหล่าศิษย์สำนักวัยเดียวกันออกเพลงหมัดมวยตามในตำรา บางช่วงก็ผลัดกันถือกระบี่ประลองฝีมือฉินหลิวซีรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าให้นางอุดอู้อยู่แต่ในห้องพัก สำนักเซียนกระบี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่รวมตัวของผู้มากพรสวรรค์โดยแท้เมื่อวานมีแต่เรื่องรีบร้อนให้นางทำจนไม่มีเวลาสนใจทักษะของแต่ละคนหลายคนหน่วยก้านไม่เลวเลย ถ้าน้องข้าได้ฝึกแบบเดียวกันฝีมือคงพัฒนาไปไกลฉินหลิวซีกวาดสายตามองทิวทัศน์รอบกาย สายลมอุ่นพัดผ่านก่อนจากไป ตอกย้ำว่าเข้าใกล้ฤดูหนาเข้าไปทุกทีไม่รู้ตอนนี้ที่บ้านนางเป็นอย่างไร จะอยู่สุขสบายดีหรือไม่ มีใครมารังแกหรือเปล่า พอได้คิดถึงพวกเขาครั้งหนึ่งแล้วก็คิดซ้ำไปซ้ำมา ฉินหลิวซีคิดว่าคืนนี้คงต้องเขียนจดหมายหาท่านพ่อท่านแม่เสียหน่อยระหว่างที่เด็กหญิงกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สายตาของผู้ใช้โอสถก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ชวนให้หวั่นใจเข้าเด็กน้อยผู้นั่งอยู่บนโขดหินถึงกับลมหายใจสะดุด ความรู้สึกกังวลจนใจหายเป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง แต่ความรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังไปได้รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลยฉินหลิวซีร
เด็กชายทำหน้าลังเลทันที เรื่องคัมภีร์ฝึกวิชาเป็นความลับของสำนัก ไม่ว่าที่ใดก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่วันนี้เขาก็พานางไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้ไปเรียนรู้ แต่เขาไม่อยากห่างจากนาง และตั้งใจจะพามากินข้าวต่ออยู่แล้วจึงไม่ได้ให้นางกลับเห็นสีหน้าลำบากใจของเขานางก็เข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร“ข้าจะลองถามท่านเจ้าสำนักดูเอง เจ้าสบายใจเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนหรอก”หลี่เจิ้นหัวไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักเท่าไร แต่การไปขออนุญาตท่านเจ้านักเป็นเรื่องถูกต้องแล้วพวกเขาไม่ได้พูดกันเรื่องนี้อีก ทั้งสองกินอาหารกลางวันด้วยกันเสร็จฉินหลิวซีก็ตั้งใจจะไปขออนุญาตกับท่านเจ้าสำนักด้วยตัวเองทันทีนางมาที่เรือนด้านหลังที่เคยมาเมื่อวาน นอกจากท่านเจ้าสำนักแล้วนางยังพบว่าอาจารย์ท่านอื่น ๆ ก็อยู่ด้วยฉินหลิวซีค้อมกายประสานมือคารวะอาวุโสกว่า หลี่เจิ้นหัวที่ตามหลังมาติด ๆ พอเห็นว่าอาจารย์อยู่กันเกือบทุกคนก็รีบทำความเคารพทันที“มีธุระอะไรล่ะ” เจ้าสำนักเว่ยหันมาถามนางเด็กหญิงไม่รอช้าที่จะบอกความต้องการของตัวเอง “ข้าจะมาขออนุญาตติดตามสหายผู้นี้ไปดูเขาฝึกศิษย์คนอื่นเจ้าค่ะ”“สามหาวยิ่งนัก! เป็นใครมาจากไหนไม่รู้หัวนอนปลาย
เขาพานางเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนพ้นออกมาจากบรรยากาศเงียบสงบ แทนที่ด้วยเสียงจอแจของผู้คน นางเปรียบเทียบอยู่แล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งใดคนนอกเข้าออกได้สะดวก และที่แห่งใดอย่าได้นึกย่างกรายเข้าไป“เขตหวงห้ามของสำนักเซียนถ้าไม่มีคนในพาเข้าไป คนนอกย่อมเข้าไปไม่ได้ ยามที่มีการชุมนุมกับสำนักอื่นก็จะมีการเฝ้ายามบริเวณนี้เป็นพิเศษ”“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อไปจะระวังนะ”“เจ้าออกมาเพราะเบื่ออยู่ในห้องสินะ ตามที่ข้ารับปากไว้เมื่อวาน วันนี้ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมรอบ ๆ ก็แล้วกัน”“ต้องรบกวนแล้วเจ้าค่ะ”นางประสานมือโค้งคำนับให้เขาคล้ายจะล้อเลียน หลี่เจิ้นหัวทั้งยิ้มทั้งหัวเราะคล้ายว่าจะชอบใจอย่างมากกับสิ่งที่นางทำ หลังจากนั้นเด็กชายก็นำทางนางไปยังสถานที่ต่าง ๆสำนักเซียนกระบี่มีขนาดใหญ่โต นางยังเดินดูได้ไม่หมดหลี่เจิ้นหัวก็ถูกเรียกตัวอีกครั้งแล้ว“ศิษย์น้องหลี่ ที่ลานฝึกมีคนเรียกหาเจ้าน่ะ”ศิษย์พี่คนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเอ่ยเรียกทั้งสองไว้ ดูเหมือนว่าเขาก็เพิ่งกลับมาจากลานฝึกเช่นกัน“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่”หลังจากศิษย์คนนั้นเดินจากไป ฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้น“ดูเหมือนว่าต้องล