โอสถทะลวงลมปราณ ฉินหลิวซีเคยคิดจะใช้มันให้พ่อแม่ได้กลายเป็นผู้ฝึกตน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านอายุทำให้นางต้องล้มเลิกที่จะใช้ยาตัวนี้ไป โอสถทะลวงลมปราณหนึ่งเม็ดราคาเป็นหมื่นตำลึงทอง หายากยิ่งกว่าตัวยาที่นางเคยให้อาจารย์ช่วยปรุง สมุนไพรที่ต้องใช้ก็มีหลายชนิดมาก ๆ จนยาห้ามเลือดของนางยังต้องอายหลังจากเช็ดคราบเลือดออกจากกระบี่อ่อนนางก็จัดการลากชายผู้นั้นไปทิ้งไว้มุมถ้ำ ส่วนตัวเองก็มาจัดการกับสมุนไพรที่เหลือ สมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้มีถึงเก้าสิบเก้าชนิด ตอนนี้นางได้ชนิดที่เจ็ดสิบสองในรายการมาแล้ว ตั้งแต่ได้เรียนรู้ และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดานางก็เก็บสมุนไพรสะสมไว้มาโดยตลอดตำรับตำราเกี่ยวกับยาเป็นของอาจารย์นางที่เขียนขึ้นเอง นางได้เรียนรู้มันตั้งแต่ตอนที่พึ่งเจอเขาเหตุแห่งความบังเอิญที่นำพามาพบกัน ทำให้ปัจจุบันนางลงเอยที่ฝากตัวเป็นศิษย์เขา และเพราะตำราที่เขียนขึ้นเองไม่ใช่ของที่ใครจะได้รับอนุญาตให้เปิดอ่านก็ได้ ในนั้นมีทั้งข้อมูลที่เป็นทั้งคุณและโทษ หากถูกคนเจตนาไม่ดีนำไปใช้งานอาจกลายเป็นความโกลาหล ฉินหลิวซีจึงไม่เคยวางใจให้ผู้อื่นปรุง“เท่านี้พอแล้วหรือไม่เจ้าคะ”ซุนเป่ยฉีเหลือบมองในย่ามน
ฉินซือหยวนวิ่งหนีจนเหนื่อย เขาไม่ชอบการต่อสู้ ชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง ไม่รู้ทำไมพี่สาวต้องบังคับขู่เข็ญให้เขาออกแรงขนาดนี้ด้วย การใช้กำลังต่อสู้ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ แต่นางเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว มองจากสีหน้าก็รู้ หากเขาไม่ลงมือทำอะไรเสียที นางคงกวาดหุ่นไม้พวกนี้ทิ้งแล้วลงสนามเองเป็นแน่ไม่ ๆ แบบนั้นน่ากลัวกว่าเดิมอีก!นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเคี่ยวเข็ญให้เอาชนะด้านพละกำลัง แต่ไม่ว่าจะถูกสั่งให้ทำแบบนี้กี่ครั้ง เขาก็ยังไม่ชินอยู่ดี แต่เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็จำใจต้องตอบโต้ แม้ใจจะไม่ชอบ แต่เขาก็เข้าใจว่าพี่สาวปรารถนาดีต่อตน เพียงแต่วิธีการของนางบางครั้งก็หนักมือเสียเหลือเกิน“เอาละ ๆ ข้ายอมแล้ว”ฉินซือหยวนหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับหุ่นไม้ทั้งห้าตนอย่างไรเสียเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินก็ห่างไกลจากเด็กบ้านนอกธรรมดามาไกลแล้ว อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาไม่อยากจะคิด คิดไปก็เท่านั้นทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาก็รู้สึกชอบมันไม่น้อย และที่ทำอยู่ก็เพื่อให้สามารถปกป้องตนเองได้แม้ว่าฉินซือหยวนจะอิดออดและเอาแต่วิ่งหนีท่าเดียวมาหลายชั่วยาม แต่ตอนนี้
ฉินหลิวซีมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และใช้พลังธาตุในการปลูกสมุนไพรได้ หากนำไปปรุงในมิติประสิทธิภาพยิ่งสูง และพลังของนางก็จะทำงานได้ดีกว่าอยู่ข้างนอก เพราะข้างในนั้นนับว่ามีพลังทิพย์บริสุทธิ์วนเวียนอยู่อย่างหนาแน่น ต้นท้อมรกตของนางเติบโตได้ดีก็เป็นเพราะสิ่งนี้ด้วยเช่นกันขั้นตอนแรกของการฝึกปรุงยา น้องชายของนางเงอะงะมากจนอาจารย์ต้องจับมือทำเลยทีเดียว ส่วนตัวนางที่เชี่ยวชาญในระดับหนึ่งแล้วสามารถทำไปได้เลย แค่รอให้อาจารย์มาประเมินผลลัพธ์ในภายหลังเท่านั้นสมุนไพรในตำรามากกว่าหมื่นชนิด ส่วนผสมในการปรุงโอสถ ฉินหลิวซีจำได้ทั้งหมดแล้ว แต่ยาบางตัวนางไม่สามารถทำได้ เพราะยังขาดวัตถุดิบอีกหลายอย่าง ระหว่างเดินทางนี้ก็เก็บพวกมันมาได้ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ครบเป็นการเรียนรู้ที่ยาวนานเหลือเกิน แต่แค่นี้ไม่ทำให้นางท้อใจได้หรอกครึ่งปีให้หลังทั้งสามก็ยังไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้าน การเดินทางของนางกับท่านอาจารย์ไร้จุดหมายแน่นอน บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนโดยง่าย ปัจจัยภายนอกส่งผลต่อการเดินทางของพวกนางไม่น้อย บ้างก็เป็นเพราะใจอาจารย์อยากเปลี่ยนเอง บ้างก็เป็นเพราะมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนจุดหมายกะทันหันเช่นวันนี้ที่ซุนเป่ย
หมอเทวดารวมปราณเอาไว้ที่ดวงตาของตน เงยหน้าขึ้นมองเหนือกำแพง เห็นเป็นแสงสะท้อนบางอย่างคล้ายว่ามีหลังคาทรงกลมครอบทั้งเมืองเอาไว้ คล้ายว่าเมืองนี้ถูกห่อหุ้มเอาไว้ในฟองอากาศใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งเครียด ระหว่างที่ลูกศิษย์ตัวน้อยของเขากำลังหาทางออกมา ซุนเป่ยฉีก็ทำการวิเคราะห์กำแพงล่องหนนี้อยู่ด้านนอก พอเขาตั้งใจจะตรวจสอบจริง ๆ มันกลับไม่ดีดเขาออก สร้างความประหลาดใจให้หมอเทวดาเป็นอย่างมากหรือว่ามันจะเลือกที่เจตนา?เขาลองดูอีกครั้งโดยครั้งนี้ตั้งใจว่า จะเข้าไปให้ได้ ผลคือร่างของเขาถูกดีดกลับมาที่เดิมไม่ถูกสิ ถ้าอย่างนั้นทำไมลูกศิษย์ข้าถึงเข้าไปอยู่ภายในล่ะซุนเป่ยฉีทำการตรวจสอบกำแพงตรงหน้าต่อ มีกลิ่นอายของสัตว์อสูรที่รวมเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง ราวกับว่ากำแพงนี้เป็นสัตว์อสูรมาก่อน เรื่องนี้มีบางอย่างน่าสงสัย ที่สายฟ้าฟาดลงมาเมื่อครู่ก็เพราะไม่อยากให้ฉินหลิวซีออกมาหรือว่ามันตั้งใจจะเลือกนาง?มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่นานครั้งจึงจะพบเจอสักหน เรียกได้ว่าเป็นแค่นิทานก็ยังไม่มีใครเชื่อ เรื่องแบบนี้ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ พันปีจะพบคนที่ประสบสักคนก็ว่ายากแล้ว กว่าจะเล่าขานต่อกันมาให
นางเล่าสถานการณ์ให้น้องชายฟังอย่างคร่าว ๆ ตอนนี้พวกเขาติดอยู่ในเมือง โดยที่อาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ และยังต้องตามหาไอ้วาสนาอะไรนั่นที่นางก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน แต่คำสั่งของอาจารย์คือต้องหาให้เจอ และต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ได้ด้วยพูดน่ะมันง่ายอยู่หรอก แต่เมืองนี้นอกจากสายฟ้าที่ไล่ผ่าข้าไม่หยุดจะต้องมีกลไกอะไรอีกแน่ แค่คิดก็เหนื่อยไปล่วงหน้าแล้วเด็กหญิงพรูหายใจออกมา เอ่ยกำชับน้องชาย “ซือหยวน เจ้าอยู่ในนี้ก่อน พี่ไม่แน่ใจว่าข้างนอกอันตรายมากแค่ไหน พี่คงปกป้องเจ้าไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยบอกอย่างจริงจัง ลำพังนางสามารถหลบหนีอันตรายได้ หากสู้ไม่ไหวก็หนีเข้ามิติสวรรค์แทน แต่น้องชายนางไม่สามารถหนีไปไหนได้“แล้วท่านพี่ล่ะ”“ข้ามีภารกิจต้องทำ หากเจ้าออกไปด้วยข้าจะห่วงหน้าพะวงหลังไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี เพราะฉะนั้นอยู่เป็นเด็กดีในนี้นะ”ฉินซือหยวนเบะหน้าราวกับคนจะร้องไห้ เขาก็กลัวพี่สาวเป็นอันตรายเหมือนกัน แต่รู้ดีว่าตอนนี้ฝีมือตัวเองยังไม่ถึงขั้นพอที่จะปกป้องภัยได้ กับศัตรูที่ไม่รู้ว่าต้องการอะไร เขาออกไปตอนนี้ก็เป็นตัวถ่วง เผลอ ๆ จะกลายเป็นตัวประกันเข้าให้ด้วย“ท่านพี่ ท่านต้องกลับมาร
ระหว่างที่พูดกับน้องชายอยู่นั้นก็ทำให้นางนึกถึงวันแรกที่เข้ามา โชคดีที่มีมิติลับไม่อย่างนั้นคงได้ตายตั้งแต่มีบางอย่างพุ่งเข้าใส่แล้ว หลังจากสายฟ้าสองสายระลอกแรกหลังจากนั้นก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับตัวอะไรบางอย่างที่นางมองไม่เห็นเหมือนเป็นสัตว์ร้ายที่มีเล็บมีเขี้ยว แต่กลับไม่อาจเห็นรูปร่างของมันได้อย่างชัดเจน มีเพียงสัมผัสระวังภัยเท่านั้นที่ตื่นตัวถึงขีดสุดฉินหลิวซีเข้ามาในเมืองนี้ได้หนึ่งเดือนแล้ว และตอนนี้นางกำลังหลบหนีบางอย่างที่ตามติดมาหลายวัน คงต้องบอกว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนไป จากจิตสังหารที่สัมผัสได้แค่วันแรก หลังจากนั้นมันก็ยังจู่โจมนาง เพียงแต่ว่าสัมผัสถึงอันตรายไม่ได้แล้ว ความรู้สึกเหมือนสุนัขตัวโตกำลังวิ่งเล่นไล่จับกับเจ้าของถึงจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะทำอันตรายอะไรต่อนาง แต่ฉินหลิวซีก็รู้สึกกลัวอยู่ดีจึงยังวิ่งหนีต่อไป โผล่ไปที่ไหนมันก็สามารถตามไปได้ และพอได้จังหวะฉินหลิวซีจะเข้าไปหลบในมิติ“เฮ้อ...”หลังจากเข้ามาในมิตินางก็ถอนหายใจเฮือก เป็นภาพที่เห็นจนชินตาแล้วสำหรับฉินซือหยวน“เจอเจ้าตัวนั้นอีกแล้วหรือ”“ใช่ ไล่ตามไม่หยุดเลย ไม่รู้ทำไมมันถึงตามข้าขน
นางถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สามของวัน ยิ่งกว่านั้นทันทีที่เปิดประตูมิติพาน้องชายออกมาพอดีกับที่กำแพงโปร่งแสงที่ขวางกั้นตัวเมืองกับภายนอกออกจากกันหายไปจนสิ้น รอบกายของนางก็พลันปรากฏร่างชาวบ้านขึ้นมาพวกเขาเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ขณะหนึ่ง แต่ละคนเคลื่อนไหวต่อจากที่ทำท่าทางค้างเอาไว้ทั้งแบบนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนไม่รับรู้ว่า ก่อนหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้น แต่ละคนไม่มีท่าทีเอะใจถึงความผิดปกติก่อนหน้านี้เลยตอนนี้สองพี่น้องยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าเมืองพอดี เห็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามาก่อนหน้านางกับอาจารย์ พวกเขาเองก็เหมือนไม่รับรู้อะไรเช่นกัน“แค่กระเทียมไม่กี่หัวจำต้องถ่อมาถึงในเมืองขนาดนี้ด้วยหรือ”“ก็ถ้าในสัมภาระมันยังเหลืออยู่ จะต้องถ่อออกมาทำไมเล่า ใครใช้ให้เจ้าอุตริเอาพวกมันไปให้น้องเจ้าเล่นหมดล่ะ”“ก็ได้ เรื่องนี้ข้าผิดเอง”คนกลุ่มนั้นเดินผ่านหน้านางไป เด็กหญิงไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่เหมือนเดิมแต่ก็โล่งอก คิดว่าดีแล้วที่ไม่มีใครบาดเจ็บ“คงไม่มีอะไรแล้วละซือหยวน เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”เพราะไม่ได้เจอผู้คนมานานเด็กชายข้างกายนางก็ตาเป็นประกาย ยามเดินทางผ่านเมืองมองผู้คนอย่างตื่นเต้
“ตามหาข้าจะใช้เวลาสักเท่าไรกันเชียว แผนที่ก็ให้ไปแล้ว มัวแต่เดินเล่นกันอยู่ละสิพวกเจ้าน่ะ”“ท่านอาจารย์สงสารศิษย์เถอะนะ ลำพังแค่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เป็นเดือนก็อึดอัดจะเป็นจะตายอยู่แล้ว คนที่ถูกขังคุกยังอิสระกว่าพวกข้าก่อนหน้านี้อีก ข้าแทบจะอาเจียนออกมาได้ทันทีที่เห็นหมอกควันอยู่แล้ว”“เอาละ ๆ ไม่ต้องบรรยายให้ข้าเห็นภาพนักก็ได้ พานจะกินข้าวไม่ลงเสียเปล่า ๆ”“ท่านอาจารย์ ข้ามีคำถามเจ้าค่ะ”“เรื่องที่เจ้าเพิ่งเจอมาสินะ”ฉินซือหยวนไม่ได้ออกไปกับพี่สาวจึงไม่รู้ว่านางได้อะไรมา แต่พอพี่สาวพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็สนใจอยู่ไม่น้อย ทำสายตาตื่นเต้นมองตามนางตาไม่กะพริบ“ข้าได้ไข่มาใบหนึ่ง ท่านอาจารย์พอรู้หรือไม่หากได้เห็นว่า มันจะฟักออกมาเป็นตัวอะไร”ซุนเป่ยฉีขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไม่แน่ใจ หากเป็นไข่ที่ข้าเคยได้อ่านได้เจอมาบ้างก็คงรู้ อย่าคาดหวังมากนักล่ะ”ทั้งสามคนมานั่งล้อมวงที่โต๊ะกลมขนาดเล็ก ฉินหลิวซีนำไข่สัตว์อสูรที่นางได้มาวางตรงกลาง ขนาดของมันใหญ่กว่าศีรษะของผู้ใหญ่หนึ่งคน หมอเทวดาเพ่งมองแล้วก็ลูบเคราที่มีอยู่นิดหน่อยของตัวเอง ฉินหลิวซีไม่รู้ว่าอาจารย์ตั้งใจไว้หนวดเคราเพื่ออำพรา
“เช่นนั้นข้าเก็บของเลยนะเจ้าคะ” นักเดินทางเดิมทีก็ไม่ได้พกของมากมายอะไรในกรณีของฉินหลิวซีก็มีมิติที่ใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ของใช้น้อยกว่านักเดินทางคนอื่นเข้าไปอีก ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางต่อได้ทันทีสามศิษย์อาจารย์มุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้าน คล้อยหลังทั้งสามคนมีคนกลุ่มหนึ่งเฝ้าคอยติดตาม หมอเทวดารู้ว่ามีคนแอบลอบสังเกตการณ์พวกตนอยู่ แต่คนเหล่านั้นไม่ได้แสดงเจตนาร้ายเขาจึงปล่อยไป ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขากับลูกศิษย์ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องออกหน้าความเคลื่อนไหวของฉินหลิวซีและฉินซือหยวน ถูกรายงานไปยังสถานที่หนึ่งโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องซุนเป่ยฉีพิจารณาดูแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการจะทำอันตราย จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ลูกศิษย์ของตน หรือหากภายหลังพวกเขาเปลี่ยนใจอยากจะลงมือขึ้นมา ลำพังแค่ตัวฉินหลิวซีก็น่าจะรับมือได้สบาย หมอเทวดาชั้นเซียนฝึกฝนลูกศิษย์ของเขามาอย่างดี จึงไม่ได้ห่วงอะไรกับสองพี่น้องอีกหอกระจายข่าวประจำเมืองหลวงสถานที่แห่งนี้บริหารงานได้อย่างสงบเรียบร้อยดีนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งมา ไม่เคยมีศัตรูหน้าไหนทำให้สั่น
“ในเมื่อเจ้าพูดลำบากนัก ข้าจะบอกแล้วกัน เมื่อวานนี้เจ้าสามคนนั้นบุกรุกเข้าไปในห้องนอนของลูกศิษย์ข้า ตั้งใจจะสังหารนาง แต่ก็โดนเล่นงานกลับ เราพบกันครั้งแรกคือเมื่อวาน และข้ามั่นใจว่านางไม่ไปหาเรื่องใครก่อนแน่”“เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยแทนบุตรสาวด้วย” เขาจับศีรษะลูกของตนให้ก้มลงมาพร้อมกันเป็นการขออภัยอย่างสุดซึ้ง“ข้ายังไม่พอใจ” ซุนเป่ยฉีบอกออกมาทันที“เช่นนั้นข้าจะทำให้สมเกียรติของลูกศิษย์หมอเทวดา ท่านขัดข้องหรือไม่”“ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ไม่ต้องสาวความให้มากมายทั้งสามคนก็หลบออกไปจากห้องตามด้วยเจ้าสำนักและบุตรสาวคนในสำนักคุ้มภัยหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว“ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าโดนดีแน่” ท่านเจ้าสำนักยื่นคำขาด บุตรสาวจากที่มีท่าทางอวดดีก่อนหน้านี้เริ่มหน้าซีดตัวสั่นนางคุกเข่าลงไปกับพื้น หมอบจนหน้าผากแนบชิดลงไป“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าริษยาความงามของท่านจึงเผลอล่วงเกินไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ” นางคุกเข่าลงต่อหน้
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสามคนลงมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมอย่างสบายอารมณ์ ทำเหมือนว่าเมื่อคืนไม่มีเหตุการณ์อะไร ฉินซือหยวนไม่พูดถึงด้วยซ้ำ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินไก่ต้มและกอบโกยข้าวลงท้อง“อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ”“นาน ๆ ครั้งจะได้กินอาหารรสมือคนอื่นบ้างนี่นา”“เจ้าเด็กคนนี้ จะบอกว่าเบื่อรสมือพี่อย่างนั้นหรือ”“ท่านพี่กินรสมือตัวเองทุกวันยังบ่นว่าเบื่อเลย”ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบ ๆ อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง นี่น้องชายของนางซึมซับอะไรไม่ดีจากนางไปเยอะเลยใช่ไหมนี่ กระทั่งวาจาก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกโมโหได้ถึงขนาดนี้ หากโตไปกว่านี้เขาคงได้ต่อว่าใครต่อใครที่ทำให้ตนไม่พอใจจนกระอักเลือดแน่แบบนี้จะเรียกว่าดีหรือแย่กันล่ะเนี่ยมื้ออาหารผ่านไปโดยมีเสียงพี่น้องจิกกัดกันตลอดเวลา ซุนเป่ยฉีทำหูทวนลม เพราะเริ่มชินชาเสียแล้ว หลังจากกินข้าวจนหมดและจ่ายค่าห้องส่วนที่เหลือ พวกเขาก็ออกเดินทางหมอเทวดานำทางไปยังสถานที่หนึ่งที่เคยได้บอกไว้ว่าจะพาร่างของคนพวกนั้นไปส่งคืน ฉินหลิวซีก็นึกอยู่ว่าเป็นที่ไหน ชวนแปลกใจยิ่งนักที่
“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแค่คนขี้อิจฉาก็ได้”“ขอรับ?”“นางแอบตามพวกเรามาตั้งนานแล้ว”คำตอบของพี่สาวยิ่งทำให้เขางุนงงมากกว่าเดิมเป็นคนของสำนักคุ้มภัยทั้งที ก็น่าจะลบกลิ่นอายสักหน่อยสิ ไม่ไหวเลยดูจากป้ายแล้ว คุณหนูคนนั้นเป็นคนของสำนักคุ้มภัยขึ้นชื่อของเมือง หลังจากที่อยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง นางฟังคำที่ชาวบ้านคุยกันก็พอรู้เรื่องบ้าง สำนักคุ้มภัยของที่นี่เป็นสำนักที่มีอำนาจขนาดที่เจ้าเมืองยังเกรงใจ เพราะเป็นแบบนั้นชาวบ้านธรรมดาก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านส่วนจุดประสงค์ที่เข้ามาแย่งซื้อเครื่องประดับกับนาง ไม่แน่ใจว่าเป็นความริษยาแบบไหน ฝีมือหรือรูปโฉมหากเป็นอย่างหลังนางก็ไม่แปลกใจ เพราะได้ฝึกหลอมโอสถกับอาจารย์ แน่นอนว่านางต้องเป็นหนูลองยาให้เขาไม่น้อย ยาที่กินเข้าไปก็ล้วนเป็นสมุนไพรบำรุงเสียมากกว่าเป็นพิษ ผลของการกินยาเหล่านั้นอาจารย์ของนางก็แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่บนใบหน้าของเขาแล้ว ต่อให้ไว้หนวดเคราก็ไม่ช่วยอะไรเมื่อไม่มีใครคอยจับตาดูอีก ฉินหลิวซีถึงได้เลือกหยิบเครื่องประดับทำจากหยกที่ตนต้องการจร
สมุนไพรที่หามามีทั้งหายากและง่าย เก็บมาได้มากน้อยต่างกัน ตัวยาใดที่หายากแต่ต้องใช้ในปริมาณมาก ทั้งที่เจอก็จะเก็บตุนเอาไว้เท่าที่หาได้ แต่ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ใครจะอยากพบเจอฉินซือหยวนนั่งนอนมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ตั้งแต่ตื่นยันหลับ เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดทิวาเจ็ดราตรี กว่าจะได้โอสถทะลวงลมปราณมาสิบเม็ด เม็ดยาสีเหลืองทองเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า ต่อให้ไม่ใช่นักปรุงยาหรือหมอประจำโรงแพทย์ที่ไหนก็คงจะดูออกได้ว่ามันมีราคาสูงมากยิ่งความบริสุทธิ์ของยาสูงประสิทธิภาพก็ยิ่งดี ดูความบริสุทธิ์ได้จากสีของเม็ดยาหลังจากที่หลอมออกมาแล้วนางเข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงได้มีราคาสูงนัก ในตระกูลที่มีเงินอยู่บ้าง ส่วนมากจะใช้โอสถสร้างแก่นปราณที่ราคาไม่กี่ตำลึงและหาได้ทั่วไปในตอนที่ตามหามันก็รู้สึกว่ายากลำบากแล้ว ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ขนาดนี้ ไหนจะขั้นตอนการปรุงที่ผิดพลาดไม่ได้อีก หากมันไม่สำเร็จช่วงเวลาหลายปีที่ตามหาวัตถุดิบเท่ากับความสูญเปล่า ส่วนที่ผิดพลาดมีค่าไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของตัวมันเองหากสำเร็จด้วยซ้ำหลังจากที่ชั่งน้ำหนักความยากลำบากของตนเอง นางเห็นด้วยมาก ๆ ที่จะตั้งราคา
เพราะการกำเนิดใหม่ทำให้หงส์เพลิงไม่มีความทรงจำเก่า และเป็นเหมือนสัตว์อสูรแรกเกิดเท่านั้น ทำให้ต้องมาฝึกฝนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อว่างจากการฝึกด้วยกำลัง นางก็ต้องฝึกจิตใจด้วยเช่นกัน แม้จะแข็งแรงอยู่แล้วก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้เพื่อที่จะสามารถปกป้องตัวเองจากภาพมายาได้ แม้ว่านางจะเป็นนายของหงส์แดงเพลิง แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองว่าหากมันคลุ้มคลั่งหรือมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น พลังนั้นจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้านาย ดังนั้นหากป้องกันตัวเองไว้ได้ก็จะเป็นการดี“ข้ากลับมาแล้ว” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยมาแต่ไกล หันไปจึงเห็นว่าเป็นอาจารย์กับน้องชายของนางที่เดินทางกลับมาในรอบหลายวันระยะนี้พวกเขาต้องแยกกันบ่อย ๆ โดยหมอเทวดาจะพาน้องชายของนางติดตามไปด้วยทุกครั้ง สามสี่วันจึงจะกลับมาที ซุนเป่ยฉีไม่ได้บอกลูกศิษย์ว่า ตนกำลังตามหาอะไรอยู่ ใช้เวลาหลายวันในที่สุดก็เจอเสียที“ท่านอาจารย์ไปไหนมาหรือเจ้าคะ หายไปเสียหลายวันแล้วก็ไม่ได้บอกข้าเอาไว้ด้วย”“สมุนไพรเก้าสิบเก้าชนิดที่เราเคยคุยกันอย่างไรล่ะ”“ท่านอาจารย์หาได้ครบแล้วหร
ฉินหลิวซีหันหน้าไปมองผู้เป็นอาจารย์ก่อนจะหมุนไปหาทั้งตัวทั้งอย่างนั้น พยักหน้าตอบรับคำของเขา ตอนนี้นางเป็นเจ้านายของสัตว์ในตำนานตนนี้แล้วเมื่อรับรู้ได้ถึงบุคคลอื่นที่เข้ามาใกล้ หงส์แดงเพลิงในคราบของลูกหงส์ขาวก็ถอยไปหลบหลังเจ้านาย ฉินหลิวซีนึกว่ามันเป็นหงส์ขาวขี้อายที่ขัดกับภาพลักษณ์จึงไม่ได้นึกติดใจอะไรแต่แท้จริงแล้วหงส์แดงเพลิงตอนนี้รับรู้ได้ถึงตัวตนของบุคคลตรงหน้าที่ทรงพลังเกินกว่ามันจะรักษาความสงบเอาไว้ได้เซียนผู้ไม่ใช่เซียนสร้างแรงกดดันให้มันไม่ใช่น้อย แม้ซุนเป่ยฉีจะตั้งใจปกปิดพลังของตนเอง และไม่ได้เจตนาจะข่มขวัญมันก็ตาม แต่สัญชาตญาณของสัตว์ก็ยังแม่นยำ อีกไม่นานก็ไม่อาจใช้คำว่าเซียนกับคนผู้นี้ได้แล้ว เขากำลังจะก้าวขึ้นไปอย่างระดับขั้นสูงกว่า“ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว คราวนี้เราจะไปไหนดีเจ้าคะ”“จะไม่อยู่ให้นานกว่านี้หน่อยหรือ”“คำว่าจะปักหลักที่ใดนาน ๆ ของท่านอาจารย์เชื่อถือไม่ได้เจ้าค่ะ”ซุนเป่ยฉีเถียงไม่ออก เพราะมันก็ดันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เสียด้วย เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินสะบัดหน้าราวกับคนแก่ช่างแง่งอนออ
ไข่ที่ยังอยู่ตรงนั้นเป็นของหงส์แดงเพลิง และแล้วทิวทัศน์ที่ต่างไปก็ค่อย ๆ เลือนหาย กลายเป็นถ้ำที่นางอยู่เมื่อครู่นี้ เด็กหญิงหันซ้ายหันขวาก่อนจะหันไปดูด้านหลัง พบว่าอาจารย์กับน้องชายยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้แต่เสียงหายใจก็ไม่ได้ยินกระทั่งสายตาเหลือบออกไปเห็นนกที่บินอยู่ด้านนอกค้างอยู่กลางอากาศนี่เป็นภาพความทรงจำเสมือนอย่างนั้นหรือ และตอนนี้ตัวข้าก็ถูกแยกออกมาจากมิติสินะฉินหลิวซีไม่แน่ใจ แต่เมื่อตัวนางถูกตัดขาดมาอยู่ในโลกแห่งนี้ รูปร่างโปร่งแสงของหงส์แดงเพลิงก็ปรากฏขึ้น มันร้องคำรามราวกับจะท้าทายและข่มขวัญคู่ต่อสู้เด็กหญิงหยิบกระบี่อ่อนออกมาตั้งท่า นางไม่มั่นใจว่าเงื่อนไขการผูกพันธสัญญาคืออะไร แต่ดูจากท่าทีของหงส์แดงเพลิงตนนี้ คงเป็นการที่ต้องทำให้อีกฝ่ายสยบเช่นนั้นใช่หรือไม่ร่างเสมือนของหงส์แดงเพลิงขยายปีกออกกว้างและเริ่มทำการจู่โจมนาง ปีกของมันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ม่านมายาที่กีดกันตัวตนของนางออกจากโลกข้างนอกนั่นแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ ผู้เป็นอาจารย์ไม่อาจแทรกแซงได้เลยสักนิด ซึ่งนางก็ไม่แน่ใจว่า เขารับรู้ถึงความผิดปกตินี้หรือไม่ถ้ำที่เคยคับแคบเหมือนถูกขยาย
เด็กหญิงเติบโตขึ้นทีละนิดจนตอนนี้อายุได้สิบปี ฉินหลิวซีเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดเซียนขั้นก่อเกิดฉินซือหยวนอยู่ระดับปฐพีลมปราณขั้นที่สาม เมื่อความสามารถของนางเหมาะสมแล้วที่จะฟักไข่สัตว์อสูรในตำนานได้ ก็อดทนรอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ แทบไม่ไหวในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ตรงหน้าของเด็กทั้งสองคือไข่สัตว์อสูรในตำนาน ซุนเป่ยฉีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม“ซือหยวนน้อย เจ้าหลบออกมาจากตรงนั้นก่อน ถอยออกไป”“ทำไมล่ะขอรับท่านอาจารย์ ข้าก็อยากเห็นมันฟักตัวใกล้ ๆ”“มันอาจจะคิดว่าเจ้าเป็นศัตรูต่อเจ้านายของมันได้ เดี๋ยวก็ได้โดนลูกหลงไม่รู้ตัวหรอก”“แม้มันพึ่งฟัก ก็ทำอันตรายได้ขนาดนั้นเชียวหรือ”เด็กชายไม่เข้าใจถึงความร้ายขาดของมัน แม้จะอ่านตำราเพิ่มเติมหรือให้พี่สาวช่วยอธิบาย เขาก็จินตนาการความแข็งแกร่งของมันไม่ออกอยู่ดี ดูห่างไกลจากความเป็นจริง จนเขานึกภาพถึงตอนที่มันแรงฤทธิ์ไม่ออกเลยเหมือนเช่นที่ว่างูคิดภาพไม่ออกว่า หากตนเองมีขาจะเป็นอย่างไร หรือไก่ก็คงคิดภาพไม่ออกว่าหากมันมีแขนมีนิ้วมีเล