"น้องหญิง อย่าทิ้งพี่ไปเลยนะน้องหญิง พี่สัญญาว่าจะเข้าโรงพนันหาเงินมาปรนเปรอน้องหญิง"
"ท่านพี่ ยามนี้แม้แต่ผ้าห่มเราก็ไม่มี เพราะท่านขายทุกอย่างไปหมดแล้ว ท่านยังจะเข้าโรงพนันอีกหรือเจ้าคะ แค่กแค่ก"
หลี่จื่อเวยอ่านนิยายมาได้เพียงไม่กี่หน้าเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนอีกสามคนที่กำลังสนทนากันอยู่
“พวกเธอรู้ไหม นิยายเรื่องล่าสุดที่ฉันรับมารีวิว นางร้ายมีชื่อเหมือนฉันทุกตัวอักษรเลย น่าเสียดายที่คนเขียนให้เป็นแค่นางร้ายตัวประกอบ ทั้งเรื่องโผล่ออกมารวมกันยังไม่ถึงสามหน้าก็ถูกพระเอกฆ่าแล้ว”
ซ่งไป๋ลู่ เพื่อนในกลุ่มรีวิวนิยายของเธอกำลังหันมาบ่นกับเพื่อนๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทอดถอนใจไม่น้อย
“ทำไมบังเอิญจัง นิยายเรื่องล่าสุดที่ฉันรับมารีวิว นางร้ายก็มีชื่อเหมือนฉันทุกตัวอักษรเหมือนกัน”
ตอนแรกที่หลี่จื่อเวยรับนิยายมาอ่าน เธอก็รู้สึกแปลกใจที่ชื่อนางเอกเหมือนกับชื่อของเธอ แต่ที่เธอไม่ชอบใจก็คือทำไมนางเอกคนนี้อ่อนแอแบบนี้ไม่เข้าท่าเลย เธอคิดผิดไหมนะที่รับนิยายเรื่องนี้มารีวิว หากเธอเป็นนางจะทุบสามีผู้นี้ให้หลังหักเลย
เธอเป็นนักรีวิวนิยายมาสองปีมียอดติดตามหลายล้านคน ทุกเรื่องที่รีวิวนางเอกล้วนฉลาดและเอาตัวรอด เพิ่งจะเคยเจอนิยายเรื่องนี้ที่นางเอกอ่อนแอจนน่ารำคาญ หากเป็นตัวเธอละก็สามีแบบนี้โดนซ้อมไปนานแล้ว ที่ต้องมารีวิวก็เพราะรับงานเอาไว้แล้วไม่อาจปฏิเสธได้เสียด้วย
เมื่อคิดได้แบบนั้นเธอจึงหันไปเอ่ยกับเพื่อนๆ ทันที
"ของฉันหนักกว่าอีก นางเอกทั้งอ่อนแอ แต่งกับสามีไม่เอาไหน ขายหมดแม้กระทั่งผ้าห่มในจวน มันน่านัก แล้วยังชื่อเหมือนฉันอีกด้วย"
หลี่จื่อเวยบ่นออกมาไม่หยุด แต่ทว่าต่อมาเมื่อสนทนากันได้เพียงชั่วโมงเศษ พนักงานร้านกาแฟก็ทำกาแฟหกใส่ปลั๊กไฟข้างโต๊ะที่พวกนางนั่ง กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างของซ่งไป๋ลู่และเพื่อนๆ ก่อนที่สติของพวกนางทั้งสี่จะดับวูบไปพร้อมกัน
แคว้นต้าเซี่ย
สายลมกลางฤดูหนาวค่อนข้างเหน็บหนาวไม่น้อย ยามนี้ หลี่จื่อเวย กำลังนอนอยู่บนเตียง พลางส่งเสียงไอออกมาเป็นระยะ นางค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง ร่างบางพลันสั่นเทาด้วยความหนาวเย็น เมื่อเหม่อมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง ก็พบว่ายามนี้หิมะเริ่มบางตาลงไปไม่น้อยแล้ว แต่ทว่าอากาศภายนอกกลับยังคงหนาวเย็นอยู่
"แค่กแค่ก"
หลี่จื่อเวยรู้สึกคอแห้งเหลือเกิน นางหันมองไปที่โต๊ะไม้ซึ่งอยู่ข้างเตียงนอน เพื่อมองหาน้ำชาร้อนๆ มาดื่มเพื่อขับไอเย็นออกจากร่างกาย แต่ทว่าเมื่อนางยื่นมือไปจับกาชา กลับพบว่าในกาชานั้นไม่มีน้ำชาเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
"เถาเถา เถาเถา นำชาร้อนมาให้ข้าที แค่กแค่ก"
เสียงเรียกของนางค่อนข้างอ่อนแรง อีกทั้งยังไอออกมาไม่หยุด นางไอเสียจนเจ็บระบมไปทั่วทั้งลำคอ
"ฮูหยินน้อย บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ"
สตรีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะนำผ้าห่มที่นางนำติดมือมาด้วยห่มให้หลี่จื่อเวยเพิ่มอีกผืนหนึ่ง
"ฮูหยินน้อย ห่มผ้าเพิ่มอีกหน่อยนะเจ้าคะ ยามนี้ในห้องเก็บของมีเพียงผ้าห่มผืนนี้ที่ยังเหลืออยู่ เอ่อ บ่าวจะไปต้มน้ำร้อนมาให้ท่านดื่ม ชาดีๆ ล้วนถูกนายน้อยนำไปขายเป็นเงินหมดแล้วเจ้าค่ะ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มขมขื่นออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อน
นางคือบุตรสาวคนโตของจวนตระกูลหลี่บิดาของนางเป็นตระกูลคหบดีที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่เพราะท่านพ่อติดการพนันจนครอบครัวตกอับ และได้รับการยุยงจากอนุฉินให้ส่งนางมาแต่งเข้าจวนตระกูลมู่หรง ตระกูลคหบดีที่มีเงินทองอยู่ไม่น้อย นางจึงต้องแต่งงานกับ มู่หรงซาน คุณชายใหญ่ตระกูลมู่หรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สินสอดที่ทางตระกูลมู่หรงมอบให้ก็ถูกท่านพ่อนำไปใช้หนี้การพนันจนหมดแล้ว สินเดิมที่นางนำติดตัวมาก็มีไม่มาก ยามนี้ก็ถูกมู่หรงซานใช้ไปเกือบหมดแล้ว
มารดาของนางตายจากไปเมื่อสามปีก่อน ท่านพ่อหลงอนุจนไม่สนใจนาง ชีวิตของนางลำบากตั้งแต่ไร้ท่านแม่คอยปกป้อง ท่านแม่ของนางนั้นเดิมทีเป็นเพียงบุตรสาวของพ่อค้าที่ไม่ได้ร่ำรวย ไหนเลยจะทำให้ท่านพ่อใส่ใจรักใคร่เท่าอนุฉินที่มากเล่ห์กล อนุฉินนั้นเดิมทีเป็นม้าผอมที่ถูกขายออกมาจากหอนางโลม ท่านพ่อไปพบเจอนางเข้าและพานางเข้าจวน นางนั้นมีบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหนึ่งคน ท่านพ่อไม่สนใจกฎระเบียบอันใด นานวันเข้าก็ยกยอนางขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทนที่ท่านแม่ของนาง
เมื่อนางแต่งเข้าจวนตระกูลมู่หรงได้ไม่นาน บิดาของมู่หรงซานก็มอบร้านอาหารให้นางหนึ่งร้าน เป็นร้านเล็กๆ อีกทั้งยังมีโรงน้ำชา และเงินทองอีกไม่น้อย มอบให้นางและเขาเป็นของขวัญวันแต่งงาน ตระกูลมู่หรงมีบุตรชายที่เกิดจากบ้านใหญ่หนึ่งคนก็คือมู่หรงซาน ส่วนบ้านรองคือบ้านของท่านอารอง ซึ่งก็คือน้องชายของท่านพ่อของมู่หรงซาน บ้านรองนั้นมีบุตรชายหนึ่งคนเช่นกันมีนามว่ามู่หรงเฉิน ได้ยินว่าเพิ่งจะแต่งงานไปเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งสะใภ้บ้านรองยังเป็นลูกสาวของบัณฑิตที่มีหน้ามีตาอีกด้วย
เพราะถูกเลี้ยงดูตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขานิสัยเสีย ไม่เห็นหัวใคร ติดการพนัน ดื่มสุรา คบหาสหายชั่ว แรกเริ่มเขาก็ดีกับนาง รับปากนางทุกอย่าง แต่ทว่าผ่านไปเพียงไม่นาน เขาก็เริ่มนำสินเดิมที่นางมีไปขาย จากนั้นก็เริ่มนำสมบัติที่มีไปขายอีกเพื่อแลกเงินไปเข้าโรงพนัน พ่อแม่สามีเองก็ปวดหัวไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าจะห้ามปรามเช่นไรดี อีกทั้งมู่หรงซานยังเถียงบิดามารดาของตนและไม่เชื่อฟัง เขาหยิ่งผยองไม่เห็นหัวใคร เขาพานางย้ายมาอยู่ที่เรือนเล็กท้ายจวนเพราะรำคาญเสียงบ่นของผู้เป็นมารดา เมื่อเขาอวดเก่งเช่นนี้บิดามารดาของเขาจึงไม่สนใจไยดีเขาและนางอีก
นางยังไม่ได้มีบุตรหรือตั้งครรภ์เนื่องจากสุขภาพไม่สู้ดี จนกระทั่งสามเดือนก่อนนางล้มป่วย ไม่มีเงินไปรักษาร่างกาย อาการจึงทรุดหนักลงเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่กล้าบอกแม่สามีเพราะไม่อยากให้ต้องวุ่นวายกันไปทั้งจวน อีกอย่างตัวนางเองก็เหมือนแต่งงานเข้ามาใช้หนี้ จึงไม่กล้ามีปากมีเสียงอะไร
หลี่จื่อเวยที่นึกถึงอดีตอันขมขื่นก็ยิ่งเจ็บปวดจนไอออกมาเป็นโลหิต ความหนาวเย็นเกาะกินร่างกายของนาง นางล้มตัวลงนอน ก่อนจะเริ่มหายใจถี่กระชั้น หลี่จื่อเวยเริ่มรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเลือนรางลงไปทุกขณะ ก่อนจะมืดดับไป
นางได้ตายไปพร้อมกับความขมขื่นที่กัดกินจิตใจมานานปีเสียแล้ว
หลังจากหลี่จื่อเวยตายไปได้หนึ่งวัน มู่หรงซานก็กลับจวนมาพอดี เขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพนันมาถึงสามวันสามคืน แต่ทว่ากลับเสียพนันจนหมดตัว เขาโมโหเป็นอย่างยิ่ง มารดามันเถอะ!!! เขาขายยันผ้าห่มแล้วนะ เหลือแค่ขายเมียเท่านั้น
ไม่สิ!!! เมียขายไม่ได้
เมื่อนึกถึงใบหน้าของหลี่จื่อเวยขึ้นมา มู่หรงซานก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที ภรรยาของเขางดงามเป็นที่สุด นางทั้งอ่อนโยน อีกทั้งยังไม่มีปากมีเสียง เขาจะทำสิ่งใดนางก็ไม่เคยปริปากบ่นเขาเลยแม้แต่ประโยคเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงตั้งใจจะเดินไปหานางที่ห้องนอนทันที แต่ว่าพอเดินเข้ามาในจวนก็พบว่าทั่วทั้งจวนต่างประดับผ้าสีขาวดำราวกับจัดงานศพ มู่หรงซานขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ที่บ้านมีใครตายเช่นนั้นหรือ ถึงเอาผ้ามาประดับเช่นนี้ อัปมงคลสิ้นดี
“ซานเอ๋อร์ เจ้ารีบไปดูภรรยาเจ้าเถิด นางตายแล้ว!!!”
เสียงของผู้เป็นมารดาทำให้มู่หรงซานต้องชะงักไปชั่วขณะ เขาหันขวับมามองท่านแม่ของตน ก่อนจะเอ่ย
“ท่านแม่ ไม่พอใจที่ข้าไม่ช่วยงานก็ช่างเถิด เหตุใดจึงต้องมาแช่งเมียข้าให้ตายด้วย!!!”
“แช่งกับผีน่ะสิ นางตายจริงๆ!!! เพราะเจ้านั่นแหละ นางป่วยหนักถึงเพียงนี้เจ้ายังอวดดีไม่มาบอกข้าสักคำ”
มู่หรงซานที่เห็นสีหน้าของมารดาว่าไม่ได้พูดเล่นก็รู้สึกใจคอไม่ดี เขาไม่ถามสิ่งใดอีกก็รีบพุ่งเข้าไปในเรือนเล็กทันที
เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าภรรยารักกำลังนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเคลื่อนไหว ใบหน้างามซีดเผือด มู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี
"เถาเถา!!! เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจือจือจึงนอนหน้าซีดเช่นนั้น"
"ฮือ นายน้อย ฮูหยินน้อยตายแล้วเจ้าค่ะ"
"ฮะ!!!"
มู่หรงซานตกใจจนหน้าซีด เขารีบเดินเข้าไปหาหลี่จื่อเวยทันที ก่อนจะยื่นนิ้วไปแตะที่ปลายจมูกของนาง ฉับพลันเขาก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง ก่อนจะรีบอุ้มนางมากอดเอาไว้
"จือจือ!!! จือจือ เจ้าตื่นสิ ฮือ จือจือ!!!"
เขากอดร่างที่ไร้วิญญาณของนางและร้องไห้ออกมา ก่อนจะค่อยๆ ครุ่นคิด
หากเขากลับมาจากโรงพนันเร็วกว่านี้ นางก็คงไม่ตาย
แต่จะให้ทำเช่นใดได้ ยามนั้นมือเขากำลังขึ้นนี่นา จะรีบกลับมาก็เสียดาย!!!
ฉับพลันเขารู้สึกว่าสตรีที่ตนกอดเอาไว้คล้ายจะขยับตัวเล็กน้อย เมื่อมู่หรงซานก้มลงมองก็พบกับหลี่จื่อเวยที่กำลังเหลือบตาขึ้นมามองเขา ใบหน้าของนางซีดขาว ท่าทีเช่นนี้ราวกับผีอาฆาตที่กำลังจ้องมองเขาอย่างไรอย่างนั้น
มู่หรงซานรีบผละออกจากนางทันที ก่อนจะขยับไปกอดเสาเตียงเอาไว้แน่น ปากก็ร้องไม่เป็นภาษา
"จือจือ!!! เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย ข้ารู้ว่าข้าน่ะหล่อเหลา ลีลาก็เร่าร้อน เจ้าตัดใจจากข้าไม่ได้ แต่มาทำเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง เจ้าต้องไปเกิดนะ ข้าสัญญาว่าจะเข้าโรงพนันหาเงินมาซื้อของเซ่นไหว้เจ้าทุกวัน!!!"
หลี่จื่อเวยเอียงคอมองมู่หรงซานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ไอ้คนบัดซบนี่มันเป็นใครวะเนี่ย?
ฉับพลันเธอก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะจดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เธอและเพื่อนๆ กลุ่มรีวิวนิยายนัดกันออกมาที่ร้านกาแฟ แต่ทว่าในขณะที่กำลังนั่งสนทนากันเรื่องนิยาย พนักงานก็ทำกาแฟหกใส่ปลั๊กไฟจนเธอหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็มาพบเจอกับบุรุษและสตรีน้อยตรงหน้าในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?หลี่จื่อเวยยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งมึนงงสับสน เธอหันไปมองรอบๆ ตัว ก่อนจะพบกับกระจกที่วางอยู่บนหัวเตียง เธอรีบคว้าหยิบมันมาดู ก่อนจะต้องตกตะลึงไปชั่วขณะนี่คือใบหน้าของเธอ แต่ทว่าการแต่งกายกลับดูน่าเวทนายิ่งนัก"จือจือ ภรรยาของข้า นี่เจ้ายังไม่ตายหรือ!!! ดียิ่งนัก"มู่หรงซานโผเข้ามากอดภรรยาของตนด้วยความดีใจ หลี่จื่อเวยที่ยามนี้กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตกใจไปชั่วขณะ ก่อนที่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมจะปรากฏชัดขึ้นในห้วงความคิดของเธอภาพงานแต่งงาน ภาพความลำบากยามที่มีชีวิตอยู่ในจวนเดิม ภาพบุรุษที่กำลังกอดนาง ภาพที่เขานำสมบัติที่มีไปขายจนหมด อีกทั้งยังติดสุรา ไม่เอาการเอางาน มีเรื่องชกต่อยกับผู้คนไปทั่ว ร้านค้าที่พ่อแม่สามีมอบให้ยามนี้แทบไม่เห
ตกค่ำมู่หรงซานก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขาจ้องมองไปรอบๆ ยามนี้ภายในเรือนจุดเทียนเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นเพื่อให้ความสว่าง เขารู้สึกปวดระบมไปทั้งตัว ก่อนจะนึกขึ้นมาได้หลี่จื่อเวยนางทุบตีเขาอย่างหนักในช่วงสองสามวันมานี้แม้เขาจะเสเพลเพียงใด แต่ก็ไม่เคยทุบตีภรรยา อีกทั้งนางก็ยังเป็นภรรยาสุดที่รักของเขา ใจของเขาย่อมรักใคร่ในตัวนางไม่น้อยแต่ทว่าตั้งแต่ที่นางฟื้นขึ้นมาจากความตายก็คล้ายมีบางอย่างแปลกไป นางมีนิสัยที่ดุดันขึ้น เขาเพียงอ้าปากจะพูดนางก็ตบตีเขาเสียแล้ว หลายวันมานี้เขาไม่ได้ไปพบกับสหายรักที่โรงพนันและโรงสุราเลยหิวสุราจัง!!!มู่หรงซานเอ่ยพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนคราหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปที่หลี่จื่อเวย ซึ่งยามนี้คล้ายว่านางกำลังวุ่นวายอยู่กับกองตำราบางอย่างตรงหน้าเขาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลมู่หรง มีญาติผู้น้องนามว่ามู่หรงเฉินเพียงคนเดียว บ้านรองเองก็ค่อนข้างดีกับเขาไม่น้อย แม้ท่านอารองจะเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยารอง แต่กลับรักใคร่และปรองดองกับท่านพ่อของเขาเป็นอย่างดีเขาจำได้ว่าเมื่อสองปีก่อน เขาไปดื่มสุราจนเมา ก่อนจะพบกับหลี่จื่อเวยที่กำลังนำผ้าเช็ดหน้ามาขาย เขาตกหลุมรักนางในทันที จึงเข้
เรือนใหญ่ตระกูลมู่หรงเมื่อมู่หรงซานและหลี่จื่อเวยมาถึงที่เรือนใหญ่ก็พบว่าคนของบ้านรองมาถึงก่อนหน้านานแล้ว อีกทั้งยังส่งยิ้มให้พวกนางอย่างเป็นมิตร หลี่จื่อเวยยิ้มตอบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะมองคนทั้งหมดคราหนึ่งภาพของร่างเดิมปรากฏขึ้นอีกครา คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่นก็คือพ่อของมู่หรงซาน ส่วนสตรีวัยกลางคนที่ีใบหน้างดงามนั่นก็คือแม่สามีของนาง ถัดไปก็คือท่านอารองและอาสะใภ้รอง รวมถึงมู่หรงเฉินและภรรยาของเขาที่แต่งมาจากตระกูลบัณฑิตมีหน้ามีตาก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย"คารวะท่านพ่อท่านแม่ ท่านอารองและอาสะใภ้รองเจ้าค่ะ"หลี่จื่อเวยพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะหันไปมองมู่หรงซานที่เดินไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินไปทิ้งกายนั่งลงข้างๆ เขา มู่หรงฮูหยินผู้เป็นแม่สามีมองหลี่จื่อเวยครู่หนึ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเดิมทีนางเองก็ไม่ใช่แม่สะใภ้ใจร้ายอะไรแบบนั้น แต่เพราะสะใภ้ไม่เคยเอ่ยปากขอให้นางช่วยเหลืออะไรเลย อีกทั้งยังตามใจสามีจนเคยตัว มู่หรงซานทำอะไรก็ไม่เคยห้าม ไม่มีปากไม่มีเสียงเอาแต่เก็บตัว นางจึงไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีก และไม่อยากจะฟังคำโต้เถียงของบุตรชายที่ทำให้นางเสียใจ ได้ยินว่ามู่หรงซ
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องสนทนากันต่อแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางกลับมาที่เรือนเล็ก มู่หรงซานนั้นก่อนกลับยังคว้าขวดสุราอย่างดีที่ท่านอารองมอบให้ท่านพ่อของเขากลับมาอีกด้วย นายท่านมู่หรงผู้เป็นบิดาทำได้เพียงก่นด่าบุตรชายของตนตามหลังด้วยความโมโหเมื่อกลับมาแล้ว หลี่จื่อเวยก็ครุ่นคิดว่าจะต้องทำสิ่งใดดี นิยายเรื่องนี้เดิมทีตัวเอกจะต้องปลูกผัก แต่ทว่านางยังอ่านไม่ถึงครึ่งเล่มเลยด้วยซ้ำ ไม่อาจรู้ได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน ยามนี้คงต้องเสี่ยงโชคชะตาเสียแล้วนางเปิดถุงเงินนั้นดู พบว่ามีตั๋วเงินอยู่ไม่น้อยเลย หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ในความโชคร้ายของนางที่ครอบครัวเดิมไม่สนใจ ได้สามีไม่ดี แต่นางกลับได้พ่อแม่สามีที่ดี เจ้าของร่างเดิมโง่เขลาเกินไป หากนางไม่ตามใจมู่หรงซาน เข้าหาแม่สามี ยามนี้นางก็คงไม่ต้องพบจุดจบเช่นนั้นแต่ทุกอย่างไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว หลี่จื่อเวย ข้าจะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตนี้ของเจ้าเอง!เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงนำตั๋วเงินออกมานับ คิดๆ ดูแล้วด้านหลังเรือนเล็กก็มีที่ดินว่างอยู่คาดว่าคงปลูกผักได้หลายอย่าง ตอนนี้สิ่งที่นางจะต้องเริ่มทำก็คือทำให้พ่อแม่สามีเชื่อ
ด้านมู่หรงซานนั้นเขามุ่งหน้ามาที่โรงพนันเพื่อพบเจอกับสหายของตนได้สักพักหนึ่งแล้ว เดิมทีนัดกันว่าจะไปดูการแข่งขันกัดจิ้งหรีดเสียหน่อย แต่เขามาช้าไปการแข่งขันนั้นหมดไปเสียแล้ว เขายกจอกสุราขึ้นดื่ม ตอนนี้เขาได้นำเงินที่เหลือติดตัวเพียงสามร้อยตำลึง ซึ่งแอบเก็บเอาไว้ไม่ให้ภรรยารู้ เมื่อจ่ายค่าสุราแล้ว เขาก็นำมันไปแลกมาเล่นพนันเพิ่ม เมื่อเล่นแล้วเสียหมดมู่หรงซานก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว"เป็นอันใด เห็นเจ้าหายหัวไปหลายวันเลยสหายรัก""นั่นสิ ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาแต่อยู่กับภรรยาคนงามเสียอีก"มู่หรงซานหันไปมองสหายรักสองคนคราหนึ่ง สหายของเขาคนแรกมีนามว่าหวังเจี้ยน เป็นบุตรชายของคหบดีเช่นกัน แต่ฐานะร่ำรวยกว่าเขาไม่น้อย ส่วนอีกคนมีนามว่าจ้าวจิ้น เขาเป็นบุตรชายของท่านหมอผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียง คนทั้งสามคบหากันเป็นสหาย เพราะอยู่ในฐานะระดับเดียวกัน ไม่ได้คบหาพวกลูกขุนนางที่มากพิธีเหล่านั้น"พูดมากจริง มีให้ข้ายืมสักพันตำลึงหรือไม่อาเจี้ยน แล้วข้าจะหาทางเอามาคืน"หวังเจี้ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมาคราหนึ่ง ก่อนจะตอบ"ไม่มีหรอก ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ตัดเงินข้าเช่นกัน เขาให้ข้าใช้จำกัด นี่อาซาน เจ้าก
หลายวันต่อมา ได้ยินมาว่าคนในบ้านตระกูลมู่หรงคิดจะเดินทางไปที่บ้านสวนนอกเมืองหลวง ที่นั่นมีที่ดินมากมาย และยังมีทั้งสวนผัก ไร่นา และต้นไม้มากมาย ทุกๆ ปีจะมีผลผลิตจากบ้านสวนส่งมาที่จวนตระกูลมู่หรง พ่อแม่สามีของนางก็จะนำไปขายต่อ นับว่าได้กำไรดีเป็นอย่างมากครั้งนี้คนบ้านรองเองก็จะติดตามไปด้วย ทุกคนเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ ช่วงบ่ายก็ไปถึงที่บ้านสวน เมื่อได้มาเห็นสถานที่จริงแล้ว หลี่จื่อเวยก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ที่บ้านสวนแห่งนี้กว้างใหญ่มากจริงๆ อีกทั้งยังมีที่ดินทำกินมากมาย พืชผักก็มีไม่น้อยเลยคนทั้งหมดพักกันอยู่หลายวัน ก่อนจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็พบว่ายามนี้บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ได้ยินว่าทหารรักษาชายแดนเริ่มต้านกำลังของศัตรูเอาไว้ไม่ไหวเสียแล้ว อีกทั้งเงินในท้องพระคลังที่ใช้สนับสนุนทหารก็ขัดสนไม่พอใช้ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจึงมีรับสั่งให้ทุกจวนที่มีฐานะนำทรัพย์สินเงินทองมาบริจาคเข้าท้องพระคลัง แต่บริจาคเท่าใดก็ยังคงไม่พออยู่ดี ขุนนางบางคนก็คิดคดโกง เปลี่ยนฝั่งไปเข้าหากบฏ บ้านเมืองตกอยู่ในกลียุค การทำมาค้าขายเริ่มไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ร้านรวงปิดไปหลายร้าน ซ้ำร้ายยังม
กลางดึกคืนนั้นทุกคนก็เดินทางออกจากเมืองหลวงในทันที เพราะมีผู้คนเข้าออกเยอะมาก อีกทั้งการดูแลก็ไม่เข้มงวดเท่าแต่ก่อน การที่ผู้คนจะเดินทางออกนอกเมืองหลวงจึงไม่ใช่เรื่องยากเท่าแต่ก่อนอีก ขอเพียงใช้เงินติดสินบนเหล่าทหารที่เฝ้าประตูมากหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้วระหว่างทางหลี่จื่อเวยไม่ได้พูดสิ่งใดกับมู่หรงซานเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเช่นกัน แต่ทว่าในใจกลับโอดครวญเป็นอย่างมากเดิมทีเขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองหลวงมาตลอด ต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชนบทเช่นนั้นเขาคงอึดอัดตาย สหายสักคนก็ไม่มี ร้านค้าก็ไม่ได้มากมายเท่าในเมืองหลวง เขาต้องบ้าตายเป็นแน่ใช้เวลาเดินทางอยู่ครึ่งค่อนคืนก็เดินทางมาถึงบ้านสวนในตอนเกือบรุ่งสาง เมื่อมาถึงก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย บ่าวไพร่ที่ติดตามมาก็มีเพียงคนสองคน ตอนนี้ทุกคนจึงทำได้เพียงช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อจัดที่ทางให้เรียบร้อยหลี่จื่อเวยหันไปมองบิดาของตนและหลี่ฮูหยินผู้เป็นแม่เลี้ยง รวมถึงน้องชายและน้องสาวที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทีที่เหนื่อยล้า หลี่ฮูหยินเดินเข้ามาหาหลี่จื่อเวย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา"นับว่าบ้านสามีของเจ้ายังมีสมบัติชิ้นสุดท้ายเหลืออยู่นะ จือจือ พว
เมื่อต้องมาอยู่ชนบทแน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด พ่อแม่สามีของนางนั้นเดิมทีก่อนจะร่ำรวยก็เคยทำสวนทำนามาก่อน จึงไม่ใช่ปัญหาอันใด แต่เรื่องนี้ค่อนข้างจะส่งผลต่อคนตระกูลหลี่ไม่น้อย เพราะเดิมทีก็กินใช้เงินเดิมที่บรรพบุรุษสั่งสมมา จึงไม่เคยต้องมาทำงานลำบากแบบนี้ด้านหลี่จื่อเวยเอง การที่นางมาจากโลกอนาคตนั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะนางทำสิ่งใดด้วยตนเองมาตลอด ไม่ได้มีคนมาคอยรับใช้ เวลาว่างจากงานก็ชอบเดินป่าเข้าไปเที่ยวเล่นพักผ่อน เมื่อได้ยินแม่สามีบอกว่าครั้งนี้คงจะต้องเข้าป่าไปถกถางที่ดินทำกินที่ทิ้งร้างมานาน นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่มู่หรงซานนั้นค่อนข้างจะโอดครวญไม่น้อยบ้านสวนมีคนสวนนามว่าลุงกู้คอยดูแลอยู่ เมื่อเจ้านายกลับมาอยู่เขาก็ดีใจไม่น้อย เร่งรีบเป็นคนนำทางทุกคนเข้าไปถกถางที่ทำกินในทันทีที่ดินบ้านสวนค่อนข้างกว้างใหญ่ ที่ใช้ทำสวนปลูกผักไปนั้นก็แค่ส่วนหนึ่ง และด้านหลังยังมีพื้นที่อีกไม่น้อย แต่เพราะถูกทิ้งร้างเอาไว้จึงมีหญ้าขึ้นรถทึบ หลี่จื่อเวยเดินไปตามทางพร้อมกับสะพายกระบุงเอาไว้ที่หลัง เมื่อพบเจอของป่าอะไรนางก็เก็บเอามาใส่กระบุงไว้"จือจือ ข้
หลี่จื่อเวยฟื้นกลับมา ทุกคนดีใจไม่น้อยเลย ด้านท่านหมอจ้าวและจ้าวจิ้นเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ คนฟื้นขึ้นมาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวจิ้นนำยาบำรุงมามอบให้หลี่จื่อเวยหลายอย่าง บอกนางว่าขอเพียงตั้งใจบำรุงอย่างเต็มที่ย่อมหายดีในไม่ช้า หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบุตรชายฝาแฝดของตนที่ยามนี้กำลังนอนหลับอยู่มู่หรงซานกอดนางเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากเขาอีกยี่สิบห้าปีต่อมา"นั่นแหละดี เจ้าเทระวังหน่อยสิ สุรานี้ซื้อมาแพงนัก!!!"เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากศาลาริมสระน้ำ มู่หรงซานที่กำลังเดินออกมาหลังจากตรวจตราบัญชีสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปรายตามองไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่งนับแต่วันนั้นหลี่จื่อเวยก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ยามนี้บุตรชายสองคนเติบโตแล้ว อายุก็ยี่สิบต้นๆ นามว่า มู่หรงเสวียน และมู่หรงชางมู่หรงเสวียนนั้นนับว่าเอาการเอางาน ชอบอ่านตำรา สนใจการค้าขาย ถอดแบบหลี่จื่อเวยมาไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากมู่หรงชางที่วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เที่ยวหอนางโลม เล่นการพนัน ถอดแบบเขามาราวกับจับวาง เขาเตือนเท่าใดมันก็เถีย
สองปีผ่านไป"ฮูหยินน้อย ออกแรงอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อีกหน่อย""อื้อ"เสียงร้องดังออกมาจากห้องเป็นระยะ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก มู่หรงซานเดินวนเวียนไปมาหน้าห้องนอนอย่างไม่สบายใจ จนมู่หรงฮูหยินต้องเอ่ยปากเตือนขึ้นมา"ซานเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเดินวนไปเวียนมาข้าเวียนหัวหมดแล้ว""ท่านแม่ ข้าร้อนใจนี่ขอรับ นางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังไม่คลอดอีก"เขาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเฉินหลิ่น จ้าวจิ้นและหวังเจี้ยนที่กำลังเดินเข้ามา จ้าวจิ้นเอ่ยถามมู่หรงซานทันที"จือจือเล่าเป็นเช่นไรบ้าง ข้านำโสมอย่างดีติดมือมาด้วย เอาไว้ให้นางบำรุงร่างกาย""ขอบใจจ้าวมากนะอาจิ้น""อืม"ด้านเฉินหลิ่นก็เดินเข้ามาหามู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกัน"ใจเย็นเถิด ยามที่ภรรยาข้าคลอดบุตรชายก็เป็นเช่นนี้"มู่หรงซานหันมาพยักหน้าให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง เฉินหลิ่นได้แต่งงานกับองค์หญิงจากในวังหลวง พวกเขาทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดี อีกทั้งภรรยาของเฉินหลิ่นก็สนิทสนมกับหลี่จื่อเวยมาก เพราะสองจวนมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะพบเจอกันบ่อยครั้ง"ภรรย
หลายวันต่อมา หลี่จื่อเวยที่กำลังกลับมาจากภัตตาคารจื่อซานก็ได้พบกับคนบ้านรอง ท่านอาของมู่หรงซาน ก็คือมู่หรงหยางนั่นเอง มู่หรงหยางมาพร้อมกับอาสะใภ้รองอวี้ซิน และลูกชายลูกสะใภ้ สภาพของคนทั้งหมดดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยปรายตามองพวกเขาคราหนึ่ง ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ ยามที่เกิดสงครามใหม่ๆ บ้านรองมารีดไถเงินจากบ้านหลักไปมากมาย ทำเป็นเก่งกล้าสามารถ แต่ท้ายที่สุดกลับไปไม่รอดอย่างเช่นวันนี้มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเชิญคนเข้ามาในจวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมรรยาทมู่หรงหยางเล่าว่าหลังจากเดินทางไปที่บ้านเก่าของอวี้ซิน ฟางม่านม่านลูกสะใภ้ของเขาก็แท้งบุตร นับแต่นั้นก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก บุตรชายก็ไม่เอาไหน ดื่มแต่สุราทั้งยังเที่ยวสตรีหอนางโลมไม่เว้นวัน สามีภรรยาทุบตีกันจนมู่หรงเฉินบุตรชายเขาแขนพิการ ฟางม่านม่านก็ขาหัก กลายเป็นคนพิการทั้งคู่ส่วนมู่หรงหยางและภรรยานั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกญาติพี่น้องฝั่งภรรยาคดโกงทรัพย์สินไปจนหมด จึงอดอยากจะมาหยิบยืมเงินจากคนบ้านหลัก เพราะรู้ว่ายามนี้คนบ้านหลักร่ำรวยมีเงินมากมายมู่หรงฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องชา
หลายวันต่อมามู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ระยะทางจากหมู่บ้านหลิงซีมาที่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ไกลกันเท่าใดนัก ระยะเวลาการเดินทางจึงไม่ได้ล่าช้าอย่างที่คิด สองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงในช่วงสายๆ เมื่อหาโรงเตี๊ยมสำหรับนอนพักหนึ่งคืนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยจึงรีบไปดูจวนแห่งนั้นทันทีการเดินทางครั้งนี้มีลุงกู้ติดตามมาด้วย ลุงกู้พาเจ้านายไปดูที่ดินและจวนนั้นในทันที เมื่อหลี่จื่อเวยได้เห็นก็รู้สึกชอบมากเหลือเกิน จวนหลังนี้ขนาดพอดี ที่ดินก็เป็นทำเลเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำด้วยเจ้าของที่ดินเก่าร้อนเงินและต้องการเดินทางไปอยู่กับลูกชายที่ต่างเมือง จึงตัดใจขายจวนหลังนี้ในราคาสองพันตำลึงราคาอาจจะสูงไปสักเล็กน้อย แต่หลี่จื่อเวยจำคำของเจ้าห่านตัวผู้นั้นได้ดี มันบอกว่าให้นางตัดใจซื้อเสียอย่าได้ลังเล เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่่จื่อเวยจึงตกลงซื้อในทันที ใช้เวลาครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี เจ้าของเดินรับเงินไปอย่างยินดีปรีดามู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็หันมาเอ่ยถามภรรยาตนทันที"ราคาไม่ได้น้อยเลย เจ้าตัดใจซื้อได้ลงจริงๆ หรือ""ดีกว่าเอาให้ท่านไปเล่นพนันก็แล้วกัน
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส พืชผักที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวและนำไปขายจนหมดแล้ว ลุงกู้เองก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเขาขายผักได้หมด อีกทั้งยังขายได้ในราคาที่ดีมากอีกด้วย ตอนนี้เมืองหลวงคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีคนต้องการจะขายที่ดิน ซึ่งอยู่ติดกับตลาดพอดี หลี่จื่อเวยจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ทางเสียหน่อยการตายของหลี่อินและจุดจบของสามแม่ลูกไม่ได้ส่งผลใดต่อคนตระกูลมู่หรงเลยแม้แต่น้อย บิดาของนางเองก็เสียใจอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดอีก หลี่จื่อเวยกำลังล้างผักอยู่ในครัว วันนี้นางตั้งใจว่าจะทำข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวเสียหน่อย เมื่อจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมจึงได้เริ่มทำอาหาร ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลี่จื่อเวยจึงนำอาหารมาให้ห่านสองตัวนั้นต่อทันทีเมื่อเข้ามาก็พบว่าเจ้าห่านสองตัวกำลังกอดก่ายกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว หลี่จื่อเวยวางอาหารลงตรงหน้ามันก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกินอิ่มแล้ว หลี่จื่อเวยจึงเอ่ยถามทันที"นี่เจ้าห่านตัวผู้ อีกไม่นานข้าคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หากข้าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วต้องการใช้บ่อน้ำวิเศษ แต่ไม่สามารถนำม
เมื่อสามแม่ลูกมหาประลัยย้ายออกจากบ้านสวนไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่น้อย ด้านบิดาของหลี่จื่อเวยก็รู้สึกผิดไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปเถิด นางไม่่ได้ติดใจอยากจะเอาความใดมากไปกว่านี้เช้าวันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยและมู่หรงซานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับห่านสองตัวนั้นให้แม่สามีได้ฟัง เพราะตอนนี้สามแม่ลูกนั่นออกจากบ้านสวนไปแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลอีกแล้ว มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเดิมทีก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เห็นตั๋วเงินมากมายที่เก็บเอาไว้ในห้องนอนของบุตรชายและสะใภ้ นางก็ถึงกับอ้าปากตาค้างเงินนี่มันมากมายเหลือเกินนางไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดหลี่จื่อเวยจึงคิดมาบอกนางเอาป่านนี้ นางเองเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันหลี่จื่อเวยจับมือของมู่หรงฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องขออภัยท่านแม่ที่ไม่ได้บอกกล่าวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ไว้ใจสามแม่ลูกนั้น ยามนี้พวกนางจากไปแล้ว ข้าจึงวางใจอยากบอกท่าน ท่านแม่เจ้าคะ ยามนี้เมืองหลวงเองก็เจริญมากแล้ว พวกเราไปหาที่ทางทำกินในเมืองหลวงกันดีห
ด้านหลี่หยวนนั้น เขาใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงไม่น้อย ไม่กล้าออกไปเที่ยวเล่นอีก เพราะกลัวว่าพวกนักเลงจะตามมาคิดบัญชีกับเขา เพราะน้องสาวตัวดีของเขาคนเดียวเลยที่วางเแผนเช่นนี้ออกมา สุดท้ายคนที่ลำบากจึงเป็นเขา หลี่อินเองก็ด่าทอพี่ชายว่าไร้ความสามารถ สองพี่น้องทำสงครามเย็นไม่พูดไม่จากันเลยแม้แต่คำเดียว หลี่ฮูหยินเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด คิดว่าคงเป็นเพียงเรื่องที่พี่น้องทะเลาะกันปกติธรรมดาทั่วไป นางเองตั้งแต่ถูกห่านบ้านั่นกระโดดตีก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนังสารเลวหลี่จื่อเวยที่นำห่านบัดซบนั้นมา จึงทำให้เกิดเรื่องกับนางเช่นนี้หลังจากที่หลี่จื่อเวยหายดีแล้ว ก็ได้กลับมาเปิดร้านขายน้ำเต้าหู้และบะหมี่เช่นเดิม วันนี้จ้าวจิ้นแวะมาซื้อน้ำเต้าหู้ จึงได้ไถ่ถามหลี่จื่อเวย"นี่หลี่จื่อเวย อาการเจ้าหายดีแล้วกระมัง"หลี่จื่อเวยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ"ดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากที่นำยาอย่างดีมามอบให้ข้า""เรื่องเล็กน่า วันนี้ท่านพ่อข้าอยากดื่มน้ำเต้าหู้และบะหมี่ผักร้านเจ้า จึงให้ข้ามาซื้อไป"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก
ท้ายที่สุดพวกนักเลงก็ถูกจับตัวไปไต่สวน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เบาะแสใดมากนัก เพราะพวกมันเองก็ไม่รู้ว่าคนที่มาจ้างวานเป็นผู้ใดกัน รู้เพียงว่าหน้าตาหล่อเหลาใช้ได้ คล้ายว่าจะเป็นบุตรคนมีฐานะ อีกทั้งยังจ่ายค่าจ้างมาแค่ครึ่งเดียว บอกว่าหากงานสำเร็จจะจ่ายในส่วนที่เหลือให้แก่พวกเขาทีหลังเฉินหลิ่นเพียงจับพวกมันทำโทษไปเล็กน้อย เพราะพยานหลักฐานมีไม่มาก จึงไม่อาจจัดการคนส่งเดชได้ แต่พวกมันก็คงไม่กล้าแล้ว เพราะครั้งนี้เขาจัดการสั่งสอนพวกมันไปไม่น้อยเฉินหลิ่นถอนหายใจออกมา ไม่รู้เพราะเหตุใดระยะนี้จิตใจของเขาค่อนข้างสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาเอาแต่คิดถึงหลี่จื่อเวย เป็นเช่นนี้จนเขาเองก็ไม่สบายใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า รักครั้งแรกจะเกิดขึ้นกับสตรีที่มีสามีแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็กลับมาที่บ้านสวนพร้อมกับมู่หรงซานและเถาเถา มู่หรงฮูหยินที่เห็นว่าลูกสะใภ้ได้รับบาดเจ็บจึงรีบเอ่ยถามทันที"จือจือ เกิดเรื่องใดขึ้นกัน เหตุใดเจ้าจึงบาดเจ็บเช่นนี้"มู่หรงซานวางหลี่จื่อเวยลงบนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้มารดาของตนฟังทั้งหมด มู่หรงฮ
เมื่อกินอาหารจนอิ่มแล้ว เฉินหลิ่นจึงลุกขึ้นก่อนจะนำเงินมาจ่ายค่าอาหารให้หลี่จื่อเวย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า พบว่ายามนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว จึงเอ่ยถามนางทันที"เจ้ายังไม่เก็บร้านหรือ ท้องฟ้ามืดแล้ว ไม่มีคนมาช่วยหรือ"ใจของเขาอยากจะถามว่าสามีเจ้าไม่มาช่วยหรือ หายหัวไปที่ใด แต่เขากลับคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าใดนักหลี่จื่อเวยยิ้มให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"วันนี้ได้ยินว่าที่บ้านมีงานให้ทำมากกว่าทุกวัน สามีข้าจึงมาช้าน่ะเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้ว ขอบคุณใต้เท้าที่มีน้ำใจไต่ถาม""อืม ที่นี่ยังมีพวกนักเลงที่ป่าเถื่อนซ่อนตัวอยู่หลายคน พวกมันก่อเรื่องทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนอยู่หลายครั้ง เจ้าระวังตัวด้วยเล่า หากขายหมดเร็วก็รีบกลับบ้านก่อนฟ้ามืดจะดีกว่า""ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้า"เฉินหลิ่นเห็นว่าไม่มีสิ่งใดจะพูดคุยกันต่อแล้ว เขาจึงจากไปทันที ด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็หันมาเอ่ยกับเถาเถาทันที"นี่เถาเถา ไหนเจ้าบอกว่ามู่หรงซานกำลังจะมาแล้วอย่างไรเล่า"เถาเถาสาวใช้น้อยที่กำลังจัดเก็บถ้วยชามเงยหน้าขึ้นมามองหลี่จื่อเวยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"บ่าวไปแจ้งนายน้อยแล้วนะเจ้าคะ แต่นายน้อยบอกว่าขอปรับหน้าดินต่ออีกสักหน่