ฉับพลันเธอก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะจดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้
เดิมทีวันนี้เป็นวันที่เธอและเพื่อนๆ กลุ่มรีวิวนิยายนัดกันออกมาที่ร้านกาแฟ แต่ทว่าในขณะที่กำลังนั่งสนทนากันเรื่องนิยาย พนักงานก็ทำกาแฟหกใส่ปลั๊กไฟจนเธอหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็มาพบเจอกับบุรุษและสตรีน้อยตรงหน้าในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
หลี่จื่อเวยยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งมึนงงสับสน เธอหันไปมองรอบๆ ตัว ก่อนจะพบกับกระจกที่วางอยู่บนหัวเตียง เธอรีบคว้าหยิบมันมาดู ก่อนจะต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ
นี่คือใบหน้าของเธอ แต่ทว่าการแต่งกายกลับดูน่าเวทนายิ่งนัก
"จือจือ ภรรยาของข้า นี่เจ้ายังไม่ตายหรือ!!! ดียิ่งนัก"
มู่หรงซานโผเข้ามากอดภรรยาของตนด้วยความดีใจ หลี่จื่อเวยที่ยามนี้กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตกใจไปชั่วขณะ ก่อนที่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมจะปรากฏชัดขึ้นในห้วงความคิดของเธอ
ภาพงานแต่งงาน ภาพความลำบากยามที่มีชีวิตอยู่ในจวนเดิม ภาพบุรุษที่กำลังกอดนาง ภาพที่เขานำสมบัติที่มีไปขายจนหมด อีกทั้งยังติดสุรา ไม่เอาการเอางาน มีเรื่องชกต่อยกับผู้คนไปทั่ว ร้านค้าที่พ่อแม่สามีมอบให้ยามนี้แทบไม่เหลือแล้ว เดิมทีสตรีนางนี้มีชื่อว่าหลี่จื่อเวย เป็นหญิงสาวบอบบางน่าทะนุถนอม แต่โชคร้ายต้องมาแต่งให้คุณชายใหญ่ตระกูลมู่หรงที่นิสัยไร้แก่นสารเช่นนี้
เดี๋ยวก่อน ตระกูลมู่หรงอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่จื่อเวยจึงหันไปมองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยถาม
“นายชื่ออะไรนะ”
มู่หรงซานที่ได้ยินหลี่จื่อเวยเอ่ยถามด้วยภาษาแปลกประหลาดก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถาม
“จือจือ เจ้าพูดภาษาอันใดกัน เจ้าจำสามีไม่ได้หรือ ข้ามู่หรงซาน สามีที่แสนดีของเจ้าอย่างไรเล่า ส่วนเจ้าก็ชื่อหลี่จื่อเวยเป็นภรรยาของข้า”
มู่หรงซาน?
ฉับพลันภาพตัวอักษรต่างๆ ในนิยายก็ปรากฏขึ้นมา หลี่จื่อเวยยกมือขึ้นปิดปาก ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดเรื่องราวเหนือความคาดหมายขึ้นมาแบบนี้ได้
ไอหยา!!! นี่เธอย้อนเวลามาเจอผัวชั่วในตำนานเหรอเนี่ย?
ซ้ำร้ายยังเป็นผัวชั่วในนิยายที่เธอกำลังจะรีวิวและก่นด่าไปหลายยกอีกด้วย!!!
"จือจือของข้า"
หลี่จื่อเวยเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว เธอจึงผลักมู่หรงซานออกจากกายของตน ก่อนจะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาคราหนึ่ง
รูปงามยิ่งนัก ใบหน้าของเขาคมเข้มชวนมอง แต่ว่า
กลิ่นสุราแรงไปหน่อย!!!
ช่างน่าสงสารนางเอกนิยายร่างเดิมนี่จริงเชียว!!!
มู่หรงซานที่ถูกหลี่จื่อเวยผลักออกมาก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองนางด้วยแววตาที่ตื่นตระหนก
"จือจือ นี่เจ้าโกรธข้าหรือ โอว หรือว่าเจ้าป่วยจนจำข้าไม่ได้ ข้าคือพี่ซานของเจ้าอย่างไรเล่า โธ่!! จือจือของข้า ข้าสัญญาอีกสามวันข้าจะต้องไปแก้มือที่โรงพนันแน่นอน ข้าจะต้องหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าใหม่และชุดใหม่ให้เจ้า อีกสามวันข้าจะไปโรงพนัน...อั๊ก!!!"
มู่หรงซานยังพูดไม่จบก็ถูกหลี่จื่อเวยเสยหมัดเข้าที่ปลายคางอย่างแรง ก่อนจะสลบเหมือดลงไปนอนกองที่พื้นทันที เถาเถาที่เห็นว่าเจ้านายตนทุบตีสามีจนสลบก็ตื่นตระหนกไม่น้อย
"ฮูหยินน้อย ท่านทำอันใดเจ้าคะ!!!"
"ไม่ต้องตกใจไป เดี๋ยวเขาก็ฟื้นขึ้นมาเอง โดนสักทีก็ดี เผื่อสมองจะคิดเรื่องดีๆ ขึ้นมาได้บ้าง"
หลี่จื่อเวยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา ให้ตายเถิด กลับไปยุคปัจจุบันก็คงไม่ได้ แล้วยังต้องมารับกรรมกับผัวเฮงซวยนี่อีก!!
หลังจากนั้นนางก็พยายามที่จะหาทางกลับไปยังโลกเดิมที่จากมา ออกจากนิยายบ้าบอนี่เสีย แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่านางจะพยายามสักเพียงไร ก็ไม่ได้ผล ท้ายที่สุดนางเหนื่อยแล้ว จึงยอมรับชะตากรรมเป็นหลี่จื่อเวยนางเอกในนิยายอย่างไม่อาจหลีกหนี
เอาเถิด!! นับแต่นี้นางจะไม่ยอมให้สามีผู้นี้ทำเรื่องให้นางปวดหัวอีก
หลี่จื่อเวยนางเอกที่แสนอ่อนแอผู้นั้นจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว
หลายวันต่อมาหลี่จื่อเวยก็สั่งให้เถาเถาช่วยนางทำความสะอาดเรือน เพราะร่างนี้ป่วยมานานร่วมปี ทำให้ต้องใช้เงินที่มีมารักษาตัว นางไม่มีเงินจ้างสาวใช้อีกแล้ว เหลือเพียงเถาเถาที่ติดตามมาจากบ้านเดิมของนาง และรักเคารพนางอย่างซื่อสัตย์
"ฮูหยินน้อย ท่านไม่ต้องทำหรอกเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งหายป่วย บ่าวทำเองเจ้าค่ะ"
หลี่จื่อเวยไอออกมาคราหนึ่ง นางรับรู้ได้ว่าร่างนี้ค่อนข้างบอบบาง แต่เมื่อนางมาในร่างนี้แล้วก็จะต้องหาเวลาพักฟื้นสักระยะย่อมต้องดีขึ้นแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงทิ้งกายนั่งลง ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
ระยะนี้มู่หรงซานกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปโดยปริยาย เพราะยามที่เขาได้สตินางก็จะให้เขากินอาหารดื่มน้ำ ผ่านไปสักพักนางก็ทุบเขาอีกจนสลบ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปที่โรงพนันหรือไปดื่มสุราจนเกิดเรื่องราวอีก เถาเถาที่เห็นเช่นนั้นก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ทำได้เพียงลอบไว้อาลัยให้มู่หรงซานอย่างเงียบๆ
ตั้งแต่ฮูหยินน้อยฟื้นขึ้นมาก็ดูผิดแปลกไปราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางเองก็ไม่กล้าเอ่ยถาม แต่อีกใจหนึ่งนางก็รู้สึกดีใจที่เจ้านายของตนไม่อ่อนแออีก แต่ก่อนยามที่นายน้อยต้องการอะไร ฮูหยินน้อยก็รีบหามาให้ทันที ทำเช่นนี้จนนายน้อยเคยตัว แม้กระทั่งบิดามารดาเขาก็ยังเอือมระอา พาลรู้สึกไม่พอใจฮูหยินน้อยที่ตักเตือนแนะนำสามีในทางที่ดีไม่ได้ จึงไม่สนใจลูกชายและลูกสะใภ้อีก
หลี่จื่อเวยนั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ยามนี้หิมะตกโปรยปรายลงมาเป็นระยะ นางเองพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ในนิยายที่อ่านค้างไว้บอกว่าหลังแต่งงานบ้านสามีได้มอบของขวัญแต่งงานให้นางและมู่หรงซาน นางจึงหันไปเอ่ยถามเถาเถา หลายวันนี้นางนับว่าเริ่มรู้จักนิสัยของสาวใช้น้อยนามว่าเถาเถาผู้นี้ไม่น้อยแล้ว
"นี่เถาเถา ข้าจำได้ว่าท่านพ่อท่านแม่ของมู่หรงซานมอบโรงน้ำชาและร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่งให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของข้ากับเขา ยามนี้สมุดบัญชีพวกนั้นอยู่ที่ใด"
เถาเถาที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย หลี่จื่อเวยจ้องมองสาวใช้ตนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ทำไม หรือว่ามู่หรงซานเอาไปจำนำที่โรงพนันหมดแล้ว"
"ไม่ใช่เจ้าค่ะ เอ่อ เดิมทีฮูหยินน้อยไม่อยากเห็นบัญชีพวกนั้นอีก จึงให้บ่าวนำมันไปเก็บเอาไว้ในหีบเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นเจ้าไปเอามาให้ข้าดูที"
"เอ่อ"
"ไปเอามาเถอะน่า"
"เจ้าค่ะ"
รอไม่นานนักเถาเถาก็กลับมาพร้อมหีบใบหนึ่ง ก่อนจะส่งกุญแจให้นาง หลี่จื่อเวยใช้กุญแจไขหีบใบนั้นออก ก่อนจะจามออกมาคราหนึ่ง เนื่องจากฝุ่นที่จับอยู่ข้างในมันมีมากเหลือเกิน ตอนที่อ่านก็พอจะนึกภาพออกว่ามันคงมีฝุ่นจับเพราะเก็บเอาไว้มานาน แต่เมื่อมาเห็นกับตานางก็ถึงกับกุมขมับ นางหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาตบๆ เอาฝุ่นออก ก่อนจะเปิดดู
เมื่อได้เห็นรายการบัญชีในสมุดบัญชีของโรงน้ำชาและร้านอาหาร อีกทั้งสมุดบัญชีที่บันทึกรายละเอียดและของมีค่าที่นางมี หลี่จื่อเวยก็ถึงกับลมจับ
เหตุใดบัญชีมันจึงติดลบได้ถึงเพียงนี้!!!
มู่หรงซาน!!! เจ้ามันคือตัวบัดซบขนานแท้เลย!!!
ตกค่ำมู่หรงซานก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขาจ้องมองไปรอบๆ ยามนี้ภายในเรือนจุดเทียนเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นเพื่อให้ความสว่าง เขารู้สึกปวดระบมไปทั้งตัว ก่อนจะนึกขึ้นมาได้หลี่จื่อเวยนางทุบตีเขาอย่างหนักในช่วงสองสามวันมานี้แม้เขาจะเสเพลเพียงใด แต่ก็ไม่เคยทุบตีภรรยา อีกทั้งนางก็ยังเป็นภรรยาสุดที่รักของเขา ใจของเขาย่อมรักใคร่ในตัวนางไม่น้อยแต่ทว่าตั้งแต่ที่นางฟื้นขึ้นมาจากความตายก็คล้ายมีบางอย่างแปลกไป นางมีนิสัยที่ดุดันขึ้น เขาเพียงอ้าปากจะพูดนางก็ตบตีเขาเสียแล้ว หลายวันมานี้เขาไม่ได้ไปพบกับสหายรักที่โรงพนันและโรงสุราเลยหิวสุราจัง!!!มู่หรงซานเอ่ยพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนคราหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปที่หลี่จื่อเวย ซึ่งยามนี้คล้ายว่านางกำลังวุ่นวายอยู่กับกองตำราบางอย่างตรงหน้าเขาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลมู่หรง มีญาติผู้น้องนามว่ามู่หรงเฉินเพียงคนเดียว บ้านรองเองก็ค่อนข้างดีกับเขาไม่น้อย แม้ท่านอารองจะเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยารอง แต่กลับรักใคร่และปรองดองกับท่านพ่อของเขาเป็นอย่างดีเขาจำได้ว่าเมื่อสองปีก่อน เขาไปดื่มสุราจนเมา ก่อนจะพบกับหลี่จื่อเวยที่กำลังนำผ้าเช็ดหน้ามาขาย เขาตกหลุมรักนางในทันที จึงเข้
เรือนใหญ่ตระกูลมู่หรงเมื่อมู่หรงซานและหลี่จื่อเวยมาถึงที่เรือนใหญ่ก็พบว่าคนของบ้านรองมาถึงก่อนหน้านานแล้ว อีกทั้งยังส่งยิ้มให้พวกนางอย่างเป็นมิตร หลี่จื่อเวยยิ้มตอบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะมองคนทั้งหมดคราหนึ่งภาพของร่างเดิมปรากฏขึ้นอีกครา คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่นก็คือพ่อของมู่หรงซาน ส่วนสตรีวัยกลางคนที่ีใบหน้างดงามนั่นก็คือแม่สามีของนาง ถัดไปก็คือท่านอารองและอาสะใภ้รอง รวมถึงมู่หรงเฉินและภรรยาของเขาที่แต่งมาจากตระกูลบัณฑิตมีหน้ามีตาก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย"คารวะท่านพ่อท่านแม่ ท่านอารองและอาสะใภ้รองเจ้าค่ะ"หลี่จื่อเวยพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะหันไปมองมู่หรงซานที่เดินไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินไปทิ้งกายนั่งลงข้างๆ เขา มู่หรงฮูหยินผู้เป็นแม่สามีมองหลี่จื่อเวยครู่หนึ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเดิมทีนางเองก็ไม่ใช่แม่สะใภ้ใจร้ายอะไรแบบนั้น แต่เพราะสะใภ้ไม่เคยเอ่ยปากขอให้นางช่วยเหลืออะไรเลย อีกทั้งยังตามใจสามีจนเคยตัว มู่หรงซานทำอะไรก็ไม่เคยห้าม ไม่มีปากไม่มีเสียงเอาแต่เก็บตัว นางจึงไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีก และไม่อยากจะฟังคำโต้เถียงของบุตรชายที่ทำให้นางเสียใจ ได้ยินว่ามู่หรงซ
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องสนทนากันต่อแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางกลับมาที่เรือนเล็ก มู่หรงซานนั้นก่อนกลับยังคว้าขวดสุราอย่างดีที่ท่านอารองมอบให้ท่านพ่อของเขากลับมาอีกด้วย นายท่านมู่หรงผู้เป็นบิดาทำได้เพียงก่นด่าบุตรชายของตนตามหลังด้วยความโมโหเมื่อกลับมาแล้ว หลี่จื่อเวยก็ครุ่นคิดว่าจะต้องทำสิ่งใดดี นิยายเรื่องนี้เดิมทีตัวเอกจะต้องปลูกผัก แต่ทว่านางยังอ่านไม่ถึงครึ่งเล่มเลยด้วยซ้ำ ไม่อาจรู้ได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน ยามนี้คงต้องเสี่ยงโชคชะตาเสียแล้วนางเปิดถุงเงินนั้นดู พบว่ามีตั๋วเงินอยู่ไม่น้อยเลย หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ในความโชคร้ายของนางที่ครอบครัวเดิมไม่สนใจ ได้สามีไม่ดี แต่นางกลับได้พ่อแม่สามีที่ดี เจ้าของร่างเดิมโง่เขลาเกินไป หากนางไม่ตามใจมู่หรงซาน เข้าหาแม่สามี ยามนี้นางก็คงไม่ต้องพบจุดจบเช่นนั้นแต่ทุกอย่างไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว หลี่จื่อเวย ข้าจะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตนี้ของเจ้าเอง!เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงนำตั๋วเงินออกมานับ คิดๆ ดูแล้วด้านหลังเรือนเล็กก็มีที่ดินว่างอยู่คาดว่าคงปลูกผักได้หลายอย่าง ตอนนี้สิ่งที่นางจะต้องเริ่มทำก็คือทำให้พ่อแม่สามีเชื่อ
ด้านมู่หรงซานนั้นเขามุ่งหน้ามาที่โรงพนันเพื่อพบเจอกับสหายของตนได้สักพักหนึ่งแล้ว เดิมทีนัดกันว่าจะไปดูการแข่งขันกัดจิ้งหรีดเสียหน่อย แต่เขามาช้าไปการแข่งขันนั้นหมดไปเสียแล้ว เขายกจอกสุราขึ้นดื่ม ตอนนี้เขาได้นำเงินที่เหลือติดตัวเพียงสามร้อยตำลึง ซึ่งแอบเก็บเอาไว้ไม่ให้ภรรยารู้ เมื่อจ่ายค่าสุราแล้ว เขาก็นำมันไปแลกมาเล่นพนันเพิ่ม เมื่อเล่นแล้วเสียหมดมู่หรงซานก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว"เป็นอันใด เห็นเจ้าหายหัวไปหลายวันเลยสหายรัก""นั่นสิ ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาแต่อยู่กับภรรยาคนงามเสียอีก"มู่หรงซานหันไปมองสหายรักสองคนคราหนึ่ง สหายของเขาคนแรกมีนามว่าหวังเจี้ยน เป็นบุตรชายของคหบดีเช่นกัน แต่ฐานะร่ำรวยกว่าเขาไม่น้อย ส่วนอีกคนมีนามว่าจ้าวจิ้น เขาเป็นบุตรชายของท่านหมอผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียง คนทั้งสามคบหากันเป็นสหาย เพราะอยู่ในฐานะระดับเดียวกัน ไม่ได้คบหาพวกลูกขุนนางที่มากพิธีเหล่านั้น"พูดมากจริง มีให้ข้ายืมสักพันตำลึงหรือไม่อาเจี้ยน แล้วข้าจะหาทางเอามาคืน"หวังเจี้ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมาคราหนึ่ง ก่อนจะตอบ"ไม่มีหรอก ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ตัดเงินข้าเช่นกัน เขาให้ข้าใช้จำกัด นี่อาซาน เจ้าก
หลายวันต่อมา ได้ยินมาว่าคนในบ้านตระกูลมู่หรงคิดจะเดินทางไปที่บ้านสวนนอกเมืองหลวง ที่นั่นมีที่ดินมากมาย และยังมีทั้งสวนผัก ไร่นา และต้นไม้มากมาย ทุกๆ ปีจะมีผลผลิตจากบ้านสวนส่งมาที่จวนตระกูลมู่หรง พ่อแม่สามีของนางก็จะนำไปขายต่อ นับว่าได้กำไรดีเป็นอย่างมากครั้งนี้คนบ้านรองเองก็จะติดตามไปด้วย ทุกคนเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ ช่วงบ่ายก็ไปถึงที่บ้านสวน เมื่อได้มาเห็นสถานที่จริงแล้ว หลี่จื่อเวยก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ที่บ้านสวนแห่งนี้กว้างใหญ่มากจริงๆ อีกทั้งยังมีที่ดินทำกินมากมาย พืชผักก็มีไม่น้อยเลยคนทั้งหมดพักกันอยู่หลายวัน ก่อนจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็พบว่ายามนี้บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ได้ยินว่าทหารรักษาชายแดนเริ่มต้านกำลังของศัตรูเอาไว้ไม่ไหวเสียแล้ว อีกทั้งเงินในท้องพระคลังที่ใช้สนับสนุนทหารก็ขัดสนไม่พอใช้ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจึงมีรับสั่งให้ทุกจวนที่มีฐานะนำทรัพย์สินเงินทองมาบริจาคเข้าท้องพระคลัง แต่บริจาคเท่าใดก็ยังคงไม่พออยู่ดี ขุนนางบางคนก็คิดคดโกง เปลี่ยนฝั่งไปเข้าหากบฏ บ้านเมืองตกอยู่ในกลียุค การทำมาค้าขายเริ่มไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ร้านรวงปิดไปหลายร้าน ซ้ำร้ายยังม
กลางดึกคืนนั้นทุกคนก็เดินทางออกจากเมืองหลวงในทันที เพราะมีผู้คนเข้าออกเยอะมาก อีกทั้งการดูแลก็ไม่เข้มงวดเท่าแต่ก่อน การที่ผู้คนจะเดินทางออกนอกเมืองหลวงจึงไม่ใช่เรื่องยากเท่าแต่ก่อนอีก ขอเพียงใช้เงินติดสินบนเหล่าทหารที่เฝ้าประตูมากหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้วระหว่างทางหลี่จื่อเวยไม่ได้พูดสิ่งใดกับมู่หรงซานเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเช่นกัน แต่ทว่าในใจกลับโอดครวญเป็นอย่างมากเดิมทีเขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองหลวงมาตลอด ต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชนบทเช่นนั้นเขาคงอึดอัดตาย สหายสักคนก็ไม่มี ร้านค้าก็ไม่ได้มากมายเท่าในเมืองหลวง เขาต้องบ้าตายเป็นแน่ใช้เวลาเดินทางอยู่ครึ่งค่อนคืนก็เดินทางมาถึงบ้านสวนในตอนเกือบรุ่งสาง เมื่อมาถึงก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย บ่าวไพร่ที่ติดตามมาก็มีเพียงคนสองคน ตอนนี้ทุกคนจึงทำได้เพียงช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อจัดที่ทางให้เรียบร้อยหลี่จื่อเวยหันไปมองบิดาของตนและหลี่ฮูหยินผู้เป็นแม่เลี้ยง รวมถึงน้องชายและน้องสาวที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทีที่เหนื่อยล้า หลี่ฮูหยินเดินเข้ามาหาหลี่จื่อเวย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา"นับว่าบ้านสามีของเจ้ายังมีสมบัติชิ้นสุดท้ายเหลืออยู่นะ จือจือ พว
เมื่อต้องมาอยู่ชนบทแน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด พ่อแม่สามีของนางนั้นเดิมทีก่อนจะร่ำรวยก็เคยทำสวนทำนามาก่อน จึงไม่ใช่ปัญหาอันใด แต่เรื่องนี้ค่อนข้างจะส่งผลต่อคนตระกูลหลี่ไม่น้อย เพราะเดิมทีก็กินใช้เงินเดิมที่บรรพบุรุษสั่งสมมา จึงไม่เคยต้องมาทำงานลำบากแบบนี้ด้านหลี่จื่อเวยเอง การที่นางมาจากโลกอนาคตนั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะนางทำสิ่งใดด้วยตนเองมาตลอด ไม่ได้มีคนมาคอยรับใช้ เวลาว่างจากงานก็ชอบเดินป่าเข้าไปเที่ยวเล่นพักผ่อน เมื่อได้ยินแม่สามีบอกว่าครั้งนี้คงจะต้องเข้าป่าไปถกถางที่ดินทำกินที่ทิ้งร้างมานาน นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่มู่หรงซานนั้นค่อนข้างจะโอดครวญไม่น้อยบ้านสวนมีคนสวนนามว่าลุงกู้คอยดูแลอยู่ เมื่อเจ้านายกลับมาอยู่เขาก็ดีใจไม่น้อย เร่งรีบเป็นคนนำทางทุกคนเข้าไปถกถางที่ทำกินในทันทีที่ดินบ้านสวนค่อนข้างกว้างใหญ่ ที่ใช้ทำสวนปลูกผักไปนั้นก็แค่ส่วนหนึ่ง และด้านหลังยังมีพื้นที่อีกไม่น้อย แต่เพราะถูกทิ้งร้างเอาไว้จึงมีหญ้าขึ้นรถทึบ หลี่จื่อเวยเดินไปตามทางพร้อมกับสะพายกระบุงเอาไว้ที่หลัง เมื่อพบเจอของป่าอะไรนางก็เก็บเอามาใส่กระบุงไว้"จือจือ ข้
ยามเช้าของวันต่อมาหลี่จื่อเวยตื่นแต่เช้าหลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานที่ตนต้องทำ หลี่จื่อเวยไม่ได้เรียกมู่หรงซานให้ตื่น นางเบื่อแล้วจึงไม่อยากสนใจเขาอีก หญิงสาวเอากระบุงแบกไว้บนหลังเหมือนเดิม เตรียมจะออกไปที่แม่น้ำ แต่ทว่าหลี่อินและหลี่หยวนกลับมาขวางทางนางเอาไว้เสียก่อน หลี่หยวนมองพี่สาวตนด้วยแววตาที่ดูแคลน ก่อนจะเอ่ย"ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้พี่ใหญ่ใจกล้า บังอาจมาเถียงท่านแม่ของข้า ไม่ทำตามคำสั่งของนางเช่นนั้นหรือ"หลี่อินส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยสมทบกับพี่ชายของตนในทันที"คิดว่าตนเองเก่งมากละมั้ง ท่านแม่จัดการพี่ไม่ได้พวกข้าย่อมมาทำแทน เอาเงินมา ข้ากับพี่ชายต้องใช้เงิน แล้วอย่าลืมทำอาหารให้ข้ากินด้วย เข้าใจไหม"หลี่จื่อเวยเท้าเอวมองดูน้องชายและน้องสาวตัวดีสองคนด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้าข่มขู่ข้าหรือ"นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่รำคาญเต็มทน หลี่หยวนกับหลี่อินที่เห็นท่าทีไม่แยแสของหลี่จื่อเวยก็เริ่มโมโห"พูดไม่รู้ความ อินเอ๋อร์ เราอย่าสนทนากับนางให้เสียเวลาเลย เจ้าไปจับตัวนาง ข้าจะควานหาเงินจากตัวนางเอง!!!""ได้"แต่ทว่ายังไม่ทันที่สองพี่น้องจะเข้ามา ก็ถูก
หลี่จื่อเวยฟื้นกลับมา ทุกคนดีใจไม่น้อยเลย ด้านท่านหมอจ้าวและจ้าวจิ้นเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ คนฟื้นขึ้นมาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวจิ้นนำยาบำรุงมามอบให้หลี่จื่อเวยหลายอย่าง บอกนางว่าขอเพียงตั้งใจบำรุงอย่างเต็มที่ย่อมหายดีในไม่ช้า หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบุตรชายฝาแฝดของตนที่ยามนี้กำลังนอนหลับอยู่มู่หรงซานกอดนางเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากเขาอีกยี่สิบห้าปีต่อมา"นั่นแหละดี เจ้าเทระวังหน่อยสิ สุรานี้ซื้อมาแพงนัก!!!"เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากศาลาริมสระน้ำ มู่หรงซานที่กำลังเดินออกมาหลังจากตรวจตราบัญชีสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปรายตามองไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่งนับแต่วันนั้นหลี่จื่อเวยก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ยามนี้บุตรชายสองคนเติบโตแล้ว อายุก็ยี่สิบต้นๆ นามว่า มู่หรงเสวียน และมู่หรงชางมู่หรงเสวียนนั้นนับว่าเอาการเอางาน ชอบอ่านตำรา สนใจการค้าขาย ถอดแบบหลี่จื่อเวยมาไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากมู่หรงชางที่วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เที่ยวหอนางโลม เล่นการพนัน ถอดแบบเขามาราวกับจับวาง เขาเตือนเท่าใดมันก็เถีย
สองปีผ่านไป"ฮูหยินน้อย ออกแรงอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อีกหน่อย""อื้อ"เสียงร้องดังออกมาจากห้องเป็นระยะ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก มู่หรงซานเดินวนเวียนไปมาหน้าห้องนอนอย่างไม่สบายใจ จนมู่หรงฮูหยินต้องเอ่ยปากเตือนขึ้นมา"ซานเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเดินวนไปเวียนมาข้าเวียนหัวหมดแล้ว""ท่านแม่ ข้าร้อนใจนี่ขอรับ นางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังไม่คลอดอีก"เขาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเฉินหลิ่น จ้าวจิ้นและหวังเจี้ยนที่กำลังเดินเข้ามา จ้าวจิ้นเอ่ยถามมู่หรงซานทันที"จือจือเล่าเป็นเช่นไรบ้าง ข้านำโสมอย่างดีติดมือมาด้วย เอาไว้ให้นางบำรุงร่างกาย""ขอบใจจ้าวมากนะอาจิ้น""อืม"ด้านเฉินหลิ่นก็เดินเข้ามาหามู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกัน"ใจเย็นเถิด ยามที่ภรรยาข้าคลอดบุตรชายก็เป็นเช่นนี้"มู่หรงซานหันมาพยักหน้าให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง เฉินหลิ่นได้แต่งงานกับองค์หญิงจากในวังหลวง พวกเขาทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดี อีกทั้งภรรยาของเฉินหลิ่นก็สนิทสนมกับหลี่จื่อเวยมาก เพราะสองจวนมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะพบเจอกันบ่อยครั้ง"ภรรย
หลายวันต่อมา หลี่จื่อเวยที่กำลังกลับมาจากภัตตาคารจื่อซานก็ได้พบกับคนบ้านรอง ท่านอาของมู่หรงซาน ก็คือมู่หรงหยางนั่นเอง มู่หรงหยางมาพร้อมกับอาสะใภ้รองอวี้ซิน และลูกชายลูกสะใภ้ สภาพของคนทั้งหมดดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยปรายตามองพวกเขาคราหนึ่ง ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ ยามที่เกิดสงครามใหม่ๆ บ้านรองมารีดไถเงินจากบ้านหลักไปมากมาย ทำเป็นเก่งกล้าสามารถ แต่ท้ายที่สุดกลับไปไม่รอดอย่างเช่นวันนี้มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเชิญคนเข้ามาในจวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมรรยาทมู่หรงหยางเล่าว่าหลังจากเดินทางไปที่บ้านเก่าของอวี้ซิน ฟางม่านม่านลูกสะใภ้ของเขาก็แท้งบุตร นับแต่นั้นก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก บุตรชายก็ไม่เอาไหน ดื่มแต่สุราทั้งยังเที่ยวสตรีหอนางโลมไม่เว้นวัน สามีภรรยาทุบตีกันจนมู่หรงเฉินบุตรชายเขาแขนพิการ ฟางม่านม่านก็ขาหัก กลายเป็นคนพิการทั้งคู่ส่วนมู่หรงหยางและภรรยานั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกญาติพี่น้องฝั่งภรรยาคดโกงทรัพย์สินไปจนหมด จึงอดอยากจะมาหยิบยืมเงินจากคนบ้านหลัก เพราะรู้ว่ายามนี้คนบ้านหลักร่ำรวยมีเงินมากมายมู่หรงฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องชา
หลายวันต่อมามู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ระยะทางจากหมู่บ้านหลิงซีมาที่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ไกลกันเท่าใดนัก ระยะเวลาการเดินทางจึงไม่ได้ล่าช้าอย่างที่คิด สองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงในช่วงสายๆ เมื่อหาโรงเตี๊ยมสำหรับนอนพักหนึ่งคืนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยจึงรีบไปดูจวนแห่งนั้นทันทีการเดินทางครั้งนี้มีลุงกู้ติดตามมาด้วย ลุงกู้พาเจ้านายไปดูที่ดินและจวนนั้นในทันที เมื่อหลี่จื่อเวยได้เห็นก็รู้สึกชอบมากเหลือเกิน จวนหลังนี้ขนาดพอดี ที่ดินก็เป็นทำเลเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำด้วยเจ้าของที่ดินเก่าร้อนเงินและต้องการเดินทางไปอยู่กับลูกชายที่ต่างเมือง จึงตัดใจขายจวนหลังนี้ในราคาสองพันตำลึงราคาอาจจะสูงไปสักเล็กน้อย แต่หลี่จื่อเวยจำคำของเจ้าห่านตัวผู้นั้นได้ดี มันบอกว่าให้นางตัดใจซื้อเสียอย่าได้ลังเล เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่่จื่อเวยจึงตกลงซื้อในทันที ใช้เวลาครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี เจ้าของเดินรับเงินไปอย่างยินดีปรีดามู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็หันมาเอ่ยถามภรรยาตนทันที"ราคาไม่ได้น้อยเลย เจ้าตัดใจซื้อได้ลงจริงๆ หรือ""ดีกว่าเอาให้ท่านไปเล่นพนันก็แล้วกัน
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส พืชผักที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวและนำไปขายจนหมดแล้ว ลุงกู้เองก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเขาขายผักได้หมด อีกทั้งยังขายได้ในราคาที่ดีมากอีกด้วย ตอนนี้เมืองหลวงคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีคนต้องการจะขายที่ดิน ซึ่งอยู่ติดกับตลาดพอดี หลี่จื่อเวยจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ทางเสียหน่อยการตายของหลี่อินและจุดจบของสามแม่ลูกไม่ได้ส่งผลใดต่อคนตระกูลมู่หรงเลยแม้แต่น้อย บิดาของนางเองก็เสียใจอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดอีก หลี่จื่อเวยกำลังล้างผักอยู่ในครัว วันนี้นางตั้งใจว่าจะทำข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวเสียหน่อย เมื่อจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมจึงได้เริ่มทำอาหาร ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลี่จื่อเวยจึงนำอาหารมาให้ห่านสองตัวนั้นต่อทันทีเมื่อเข้ามาก็พบว่าเจ้าห่านสองตัวกำลังกอดก่ายกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว หลี่จื่อเวยวางอาหารลงตรงหน้ามันก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกินอิ่มแล้ว หลี่จื่อเวยจึงเอ่ยถามทันที"นี่เจ้าห่านตัวผู้ อีกไม่นานข้าคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หากข้าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วต้องการใช้บ่อน้ำวิเศษ แต่ไม่สามารถนำม
เมื่อสามแม่ลูกมหาประลัยย้ายออกจากบ้านสวนไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่น้อย ด้านบิดาของหลี่จื่อเวยก็รู้สึกผิดไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปเถิด นางไม่่ได้ติดใจอยากจะเอาความใดมากไปกว่านี้เช้าวันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยและมู่หรงซานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับห่านสองตัวนั้นให้แม่สามีได้ฟัง เพราะตอนนี้สามแม่ลูกนั่นออกจากบ้านสวนไปแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลอีกแล้ว มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเดิมทีก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เห็นตั๋วเงินมากมายที่เก็บเอาไว้ในห้องนอนของบุตรชายและสะใภ้ นางก็ถึงกับอ้าปากตาค้างเงินนี่มันมากมายเหลือเกินนางไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดหลี่จื่อเวยจึงคิดมาบอกนางเอาป่านนี้ นางเองเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันหลี่จื่อเวยจับมือของมู่หรงฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องขออภัยท่านแม่ที่ไม่ได้บอกกล่าวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ไว้ใจสามแม่ลูกนั้น ยามนี้พวกนางจากไปแล้ว ข้าจึงวางใจอยากบอกท่าน ท่านแม่เจ้าคะ ยามนี้เมืองหลวงเองก็เจริญมากแล้ว พวกเราไปหาที่ทางทำกินในเมืองหลวงกันดีห
ด้านหลี่หยวนนั้น เขาใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงไม่น้อย ไม่กล้าออกไปเที่ยวเล่นอีก เพราะกลัวว่าพวกนักเลงจะตามมาคิดบัญชีกับเขา เพราะน้องสาวตัวดีของเขาคนเดียวเลยที่วางเแผนเช่นนี้ออกมา สุดท้ายคนที่ลำบากจึงเป็นเขา หลี่อินเองก็ด่าทอพี่ชายว่าไร้ความสามารถ สองพี่น้องทำสงครามเย็นไม่พูดไม่จากันเลยแม้แต่คำเดียว หลี่ฮูหยินเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด คิดว่าคงเป็นเพียงเรื่องที่พี่น้องทะเลาะกันปกติธรรมดาทั่วไป นางเองตั้งแต่ถูกห่านบ้านั่นกระโดดตีก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนังสารเลวหลี่จื่อเวยที่นำห่านบัดซบนั้นมา จึงทำให้เกิดเรื่องกับนางเช่นนี้หลังจากที่หลี่จื่อเวยหายดีแล้ว ก็ได้กลับมาเปิดร้านขายน้ำเต้าหู้และบะหมี่เช่นเดิม วันนี้จ้าวจิ้นแวะมาซื้อน้ำเต้าหู้ จึงได้ไถ่ถามหลี่จื่อเวย"นี่หลี่จื่อเวย อาการเจ้าหายดีแล้วกระมัง"หลี่จื่อเวยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ"ดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากที่นำยาอย่างดีมามอบให้ข้า""เรื่องเล็กน่า วันนี้ท่านพ่อข้าอยากดื่มน้ำเต้าหู้และบะหมี่ผักร้านเจ้า จึงให้ข้ามาซื้อไป"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก
ท้ายที่สุดพวกนักเลงก็ถูกจับตัวไปไต่สวน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เบาะแสใดมากนัก เพราะพวกมันเองก็ไม่รู้ว่าคนที่มาจ้างวานเป็นผู้ใดกัน รู้เพียงว่าหน้าตาหล่อเหลาใช้ได้ คล้ายว่าจะเป็นบุตรคนมีฐานะ อีกทั้งยังจ่ายค่าจ้างมาแค่ครึ่งเดียว บอกว่าหากงานสำเร็จจะจ่ายในส่วนที่เหลือให้แก่พวกเขาทีหลังเฉินหลิ่นเพียงจับพวกมันทำโทษไปเล็กน้อย เพราะพยานหลักฐานมีไม่มาก จึงไม่อาจจัดการคนส่งเดชได้ แต่พวกมันก็คงไม่กล้าแล้ว เพราะครั้งนี้เขาจัดการสั่งสอนพวกมันไปไม่น้อยเฉินหลิ่นถอนหายใจออกมา ไม่รู้เพราะเหตุใดระยะนี้จิตใจของเขาค่อนข้างสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาเอาแต่คิดถึงหลี่จื่อเวย เป็นเช่นนี้จนเขาเองก็ไม่สบายใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า รักครั้งแรกจะเกิดขึ้นกับสตรีที่มีสามีแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็กลับมาที่บ้านสวนพร้อมกับมู่หรงซานและเถาเถา มู่หรงฮูหยินที่เห็นว่าลูกสะใภ้ได้รับบาดเจ็บจึงรีบเอ่ยถามทันที"จือจือ เกิดเรื่องใดขึ้นกัน เหตุใดเจ้าจึงบาดเจ็บเช่นนี้"มู่หรงซานวางหลี่จื่อเวยลงบนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้มารดาของตนฟังทั้งหมด มู่หรงฮ
เมื่อกินอาหารจนอิ่มแล้ว เฉินหลิ่นจึงลุกขึ้นก่อนจะนำเงินมาจ่ายค่าอาหารให้หลี่จื่อเวย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า พบว่ายามนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว จึงเอ่ยถามนางทันที"เจ้ายังไม่เก็บร้านหรือ ท้องฟ้ามืดแล้ว ไม่มีคนมาช่วยหรือ"ใจของเขาอยากจะถามว่าสามีเจ้าไม่มาช่วยหรือ หายหัวไปที่ใด แต่เขากลับคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าใดนักหลี่จื่อเวยยิ้มให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"วันนี้ได้ยินว่าที่บ้านมีงานให้ทำมากกว่าทุกวัน สามีข้าจึงมาช้าน่ะเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้ว ขอบคุณใต้เท้าที่มีน้ำใจไต่ถาม""อืม ที่นี่ยังมีพวกนักเลงที่ป่าเถื่อนซ่อนตัวอยู่หลายคน พวกมันก่อเรื่องทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนอยู่หลายครั้ง เจ้าระวังตัวด้วยเล่า หากขายหมดเร็วก็รีบกลับบ้านก่อนฟ้ามืดจะดีกว่า""ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้า"เฉินหลิ่นเห็นว่าไม่มีสิ่งใดจะพูดคุยกันต่อแล้ว เขาจึงจากไปทันที ด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็หันมาเอ่ยกับเถาเถาทันที"นี่เถาเถา ไหนเจ้าบอกว่ามู่หรงซานกำลังจะมาแล้วอย่างไรเล่า"เถาเถาสาวใช้น้อยที่กำลังจัดเก็บถ้วยชามเงยหน้าขึ้นมามองหลี่จื่อเวยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"บ่าวไปแจ้งนายน้อยแล้วนะเจ้าคะ แต่นายน้อยบอกว่าขอปรับหน้าดินต่ออีกสักหน่