เมื่อต้องมาอยู่ชนบทแน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด พ่อแม่สามีของนางนั้นเดิมทีก่อนจะร่ำรวยก็เคยทำสวนทำนามาก่อน จึงไม่ใช่ปัญหาอันใด แต่เรื่องนี้ค่อนข้างจะส่งผลต่อคนตระกูลหลี่ไม่น้อย เพราะเดิมทีก็กินใช้เงินเดิมที่บรรพบุรุษสั่งสมมา จึงไม่เคยต้องมาทำงานลำบากแบบนี้
ด้านหลี่จื่อเวยเอง การที่นางมาจากโลกอนาคตนั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะนางทำสิ่งใดด้วยตนเองมาตลอด ไม่ได้มีคนมาคอยรับใช้ เวลาว่างจากงานก็ชอบเดินป่าเข้าไปเที่ยวเล่นพักผ่อน เมื่อได้ยินแม่สามีบอกว่าครั้งนี้คงจะต้องเข้าป่าไปถกถางที่ดินทำกินที่ทิ้งร้างมานาน นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่มู่หรงซานนั้นค่อนข้างจะโอดครวญไม่น้อย
บ้านสวนมีคนสวนนามว่าลุงกู้คอยดูแลอยู่ เมื่อเจ้านายกลับมาอยู่เขาก็ดีใจไม่น้อย เร่งรีบเป็นคนนำทางทุกคนเข้าไปถกถางที่ทำกินในทันที
ที่ดินบ้านสวนค่อนข้างกว้างใหญ่ ที่ใช้ทำสวนปลูกผักไปนั้นก็แค่ส่วนหนึ่ง และด้านหลังยังมีพื้นที่อีกไม่น้อย แต่เพราะถูกทิ้งร้างเอาไว้จึงมีหญ้าขึ้นรถทึบ หลี่จื่อเวยเดินไปตามทางพร้อมกับสะพายกระบุงเอาไว้ที่หลัง เมื่อพบเจอของป่าอะไรนางก็เก็บเอามาใส่กระบุงไว้
"จือจือ ข้าเหนื่อยแล้ว ลำบากยิ่งนักต้องมาเข้าป่าเช่นนี้"
หลี่จื่อเวยหันไปมองมู่หรงซานที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตนพร้อมกับบ่นไม่หยุดก็เริ่มโมโห
"เป็นบุรุษเฮงซวยเช่นใดกัน เพียงเท่านี้ก็ไม่อดทน จำไว้นะมู่หรงซาน ต่อไปข้าจะต้องทำให้ท่านเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาให้ได้ หากไม่ได้ข้าจะทุบตีท่านอยู่แบบนี้แหละ"
"โธ่ ภรรยาจ๋า"
"หุบปาก รีบเดินตามข้ามา!!!"
เดินมาไม่นานหลี่จื่อเวยก็เจอเห็ดป่าและผักป่ารวมถึงสมุนไพรหลายชนิด ประสบการณ์การเดินป่าทำให้นางนั้นพอจะจำแนกแจกแจงว่าของสิ่งใดในป่าที่กินได้หรือว่ากินไม่ได้ นางเก็บมันขึ้นมาใส่กระบุงที่แบกเอาไว้บนหลัง ก่อนจะใช้มีดฟันถางหญ้าไปเรื่อยๆ ตอนนี้ทุกคนต่างแยกกันไปถกถางหญ้ารอบๆ
เดินอยู่นานนางก็ได้ทั้งไก่ป่าและกระต่ายป่าที่ยังไม่ตายมาหลายตัว ไก่ป่านั้นนางคิดว่าหากเลี้ยงมันเอาไว้ก็จะมีไข่กินตลอดปีเป็นแน่ ครั้งนี้มู่หรงซานทำให้นางแปลกใจไม่น้อย ดูเหมือนว่าเขาไม่เอาไหน แต่เมื่อยามที่นางต้องการจับสัตว์พวกนั้นเขาก็จับมาให้นางได้อย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้มีดีอยู่กับตัว แต่เอาไปใช้ในทางที่ผิด!!!
ใช้เวลาร่วมสามวันก็ถกถางที่ดินเรียบร้อย ตอนนี้หลี่จื่อเวยกำลังถอนวัชพืชและปรับหน้าดินเพื่อทำการเพาะปลูก ลุงกู้บอกว่าเมล็ดผักที่มีเหลืออยู่ก็ไม่ได้มากเท่าใดนัก อีกทั้งยังมีราคาสูง ยามนี้คงต้องหาเมล็ดผักราคาถูกมาปลูกเสียก่อน
หลี่จื่อเวยพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองมู่หรงซานที่เดินกลับมาพร้อมกับถือต้นบางอย่างเอาไว้ในมือ หลี่จื่อเวยที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา และจ้องมองของในมือเขาด้วยแววตาเป็นที่ประกาย มู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที
"จือจือ เจ้ามองมันทำไม ข้าดูแล้วมันคงเป็นพืชผักที่ไม่มีประโยชน์"
หลี่จื่อเวยรีบยื่นมือไปดึงของในมือของมู่หรงซานมา ก่อนจะยิ้มตาหยี
นี่มันโสมคนนี่นา หากนำมาปลูกได้ มันจะสร้างรายได้ไม่น้อยเลย ได้ยินว่ายามนี้มีคนต้องการซื้อมันในราคาที่สูงมาก หากเราแบ่งไปขายและเก็บไว้เพาะปลูก เราจะต้องมีเงินใช้ไม่ขาดมือเป็นแน่
นางยิ้มตาหยี ก่อนจะหันมาเอ่ยกับมู่หรงซาน
"มู่หรงซาน เจ้านี่ก็เป็นตัวนำโชคเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆ"
เมื่อได้ยินภรรยาเอ่ยชมเช่นนั้นมู่หรงซานก็ยิ้มตาหยีทันที
เรื่องที่มู่หรงซานพบเจอโสมคนนั้นสร้างความดีใจให้ทุกคนไม่น้อย พวกเขาช่วยกันไปเดินดูว่ายังมีอีกมากเท่าใด ก่อนจะนำไปแบ่งขายส่วนหนึ่งและนำมาเพาะปลูกส่วนหนึ่ง เรื่องนี้ลุงกู้เป็นคนจัดการทั้งหมด ลุงกู้อยู่ที่นี่มานานย่อมรู้จักพ่อค้ามากหน้าหลายตา อีกทั้งยังรู้จักวิธีการทำการเพาะปลูกไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ตั้งใจว่าจะเรียนรู้จากลุงกู้ให้มาก
โสมคนนำไปขายได้เงินมาหลายตำลึง พอที่จะเก็บไว้ใช้จ่ายในวันต่อไป ที่เหลือก็เพียงรอให้ต้นโสมคนที่เริ่มเพาะปลูกขยายให้มันเติบโตได้มากกว่าเดิม เพื่อต่อทุนทั้งหลายเอาไว้ใช้สอย
ครั้งนี้บ้านหลี่เองก็ได้ส่วนแบ่งไม่น้อยที่ช่วยกันทำงาน ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยสิ่งใดมากก็ตาม เดิมทีหลี่ฮูหยินนางคิดจะมาขูดรีดเงินจากหลี่จื่อเวย เพราะทุกคราที่นางขู่เข็ญลูกเลี้ยงผู้นี้ก็ยอมให้นางทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างไปจากเดิม หลี่จื่อเวยกลายเป็นคนนิสัยน่ากลัว ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้แต่บิดานางก็ไม่ไว้หน้า
หลี่หยวนบุตรชายคนโตของนางนั้นปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้ว ก็ไม่ทำงานทำการอ้างว่าป่วยอยู่ทุกวี่ทุกวัน ส่วนหลี่อินบุตรสาวอีกคนของนางยามนี้มีอายุสิบห้าปีก็ชอบเอาแต่บ่นว่าไม่มีเงินใช้
"ท่านแม่ ชาดทาปากของข้าไม่มีแล้วนะเจ้าคะ ไหนท่านว่าจะไปขู่ขอเงินมาจากพี่ใหญ่ ไม่เห็นได้มาเลยสักตำลึง"
หลี่ฮูหยินยื่นมือไปลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะเอ่ย
"ยามนี้นางดูจะแข็งข้อขึ้นมาไม่น้อย เจ้าอดทนหน่อยเถิดนะลูก แม่จะหาทางเอาเงินมาจากนางให้ได้"
หลี่อินพยักหน้า ก่อนจะครุ่นคิดถึงมู่หรงซานขึ้นมา และหันไปเอ่ยกับมารดาของตน
"ท่านแม่ พี่เขยหน้าตาหล่อเหลาขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะเป็นพวกไร้มรรยาท ไม่เอาการเอางาน แต่กลับไม่น่าเชื่อ เขาจะหล่อเหลากว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก ข้าอิจฉาพี่ใหญ่จังเลยเจ้าค่ะ"
หลี่ฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปรามบุตรสาวของตนในทันที
"เจ้าห้ามคิดเช่นนี้เชียวนะ คนเช่นนั้นข้าไม่เอามาเป็นลูกเขยหรอก เจ้าไม่ต้องคิดเลยว่าจะไปเป็นอนุของเขาน่ะ รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยและพวกเราได้กลับเมืองหลวง แม่จะหาคู่ครองดีๆ มาให้เจ้า เชื่อแม่เถิด"
หลี่อินเบ้ปากออกมา ก่อนจะถอนหายใจอย่างหงุดหงิดและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก นางเองทั้งเหนื่อยทั้งเบื่อ คิดว่าจะมาแล้วได้อยู่สุขสบาย ที่ไหนได้ต้องมาอยู่ในป่าในสวนเช่นนี้!!!
วันนี้ทุกคนค่อนข้างเหนื่อยล้า หลี่จื่อเวยแม้จะเหนื่อยล้าแต่ก็ยังมาช่วยแม่สามีทำอาหาร ส่วนหลี่ฮูหยินติดนิสัยใช้บ่าวไพร่จนเคยชิน ทำสิ่งใดก็ไม่ถูกใจนาง หลี่จื่อเวยจึงให้หลี่ฮูหยินกลับเรือนไปเสีย
อาหารมื้อเย็นค่อนข้างเรียบง่ายมีน้ำแกงกระต่าย น้ำแกงปลา และผัดถั่วงอก มีเนื้อหมูอยู่นิดหน่อย แต่ก็ถือว่าอร่อยและอิ่มท้องไปได้อีกมื้อ
"นี่จือจือ ไม่ไกลจากสวนของเราจะมีแม่น้ำอยู่ เจ้าไปเดินดูได้นะ มีปลามากมายเลย เดิมทีเราก็ใช้น้ำจากตรงนั้นมาทำสวน"
มู่หรงฮูหยินหันมาเอ่ยกับลูกสะใภ้ หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"พรุ่งนี้ข้าจะไปดูเสียหน่อยเจ้าค่ะท่านแม่"
"อืม วันนี้เจ้าก็พักเถิด เจ้าเหนื่อยมากแล้ว"
"เจ้าค่ะท่านแม่"
เมื่อเก็บถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยก็ไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง เมื่อเข้ามาถึงนางก็พบกับมู่หรงซานที่กำลังยกจอกสุราขึ้นดื่ม ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อ กลิ่นสุรารุนแรงเสียจนหลี่จื่อเวยต้องเบือนหน้าหนี
"ท่านไปเอาสุราที่ไหนมาดื่ม"
มู่หรงซานเมื่อได้ยินเสียงของภรรยาก็เงยหน้ามายิ้มอย่างหวานล้ำ ก่อนจะเอ่ยตอบ
"จือจือคนงามมาแล้วหรือ ยอดรักของข้า"
"ข้าถามว่าท่านไปเอาสุราที่ใดมาดื่ม"
"ขโมยมาจากท่านพ่อ รสชาติดีมากเลย"
หลี่จื่อเวยยกมือขึ้นนวดขมับ ก่อนจะเดินเขาไปนั่งบนเตียง ไม่ได้สนใจมู่หรงซานอีก
"ภรรยา คืนนี้ข้าขอนอนด้วยนะ"
"หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้ข้า!!! กลิ่นสุรารุนแรงเช่นนี้ข้านอนกับท่านไม่ไหวหรอก"
มู่หรงซานยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะเดินโซเซเข้ามาหาหลี่จื่อเวย หวังจะกอดนางสาแก่ใจสักครา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าใกล้เขาก็รู้สึกว่าภาพทุกอย่างมืดดับลงไปเสียก่อน เขาเมาเสียจนไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก
หลี่จื่อเวยมองดูมู่หรงซานที่ล้มลงไปนอนกับพื้นก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะโยนผ้าห่มไปคลุมร่างของเขาเอาไว้และนอนหลับไม่สนใจเขาอีก
เฮ้อ!! นางเหนื่อยจริงๆ มู่หรงซานนี่เป็นปัญหาใหญ่ของนางเลย
ยามเช้าของวันต่อมาหลี่จื่อเวยตื่นแต่เช้าหลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานที่ตนต้องทำ หลี่จื่อเวยไม่ได้เรียกมู่หรงซานให้ตื่น นางเบื่อแล้วจึงไม่อยากสนใจเขาอีก หญิงสาวเอากระบุงแบกไว้บนหลังเหมือนเดิม เตรียมจะออกไปที่แม่น้ำ แต่ทว่าหลี่อินและหลี่หยวนกลับมาขวางทางนางเอาไว้เสียก่อน หลี่หยวนมองพี่สาวตนด้วยแววตาที่ดูแคลน ก่อนจะเอ่ย"ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้พี่ใหญ่ใจกล้า บังอาจมาเถียงท่านแม่ของข้า ไม่ทำตามคำสั่งของนางเช่นนั้นหรือ"หลี่อินส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยสมทบกับพี่ชายของตนในทันที"คิดว่าตนเองเก่งมากละมั้ง ท่านแม่จัดการพี่ไม่ได้พวกข้าย่อมมาทำแทน เอาเงินมา ข้ากับพี่ชายต้องใช้เงิน แล้วอย่าลืมทำอาหารให้ข้ากินด้วย เข้าใจไหม"หลี่จื่อเวยเท้าเอวมองดูน้องชายและน้องสาวตัวดีสองคนด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้าข่มขู่ข้าหรือ"นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่รำคาญเต็มทน หลี่หยวนกับหลี่อินที่เห็นท่าทีไม่แยแสของหลี่จื่อเวยก็เริ่มโมโห"พูดไม่รู้ความ อินเอ๋อร์ เราอย่าสนทนากับนางให้เสียเวลาเลย เจ้าไปจับตัวนาง ข้าจะควานหาเงินจากตัวนางเอง!!!""ได้"แต่ทว่ายังไม่ทันที่สองพี่น้องจะเข้ามา ก็ถูก
มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยหันมาสบตากันอีกครั้ง ความแปลกใจฉายชัดอยู่ในดวงตาของทั้งสอง หลี่จื่อเวยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจห่านสองตัวนั่นมันพูดได้เหรอ?วิเศษเกินไปแล้วสำหรับนางแล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่เท่าใดนัก แม้แต่นางยังทะลุมิติมาเลย นับประสาอะไรกับแค่ห่านพูดได้มู่หรงซานผละออกจากหลี่จื่อเวย ก่อนจะจับมือของภรรยาเอาไว้และเดินขึ้นมาจากแม่น้ำ พร้อมกับจ้องมองห่านสองตัวนั้นเจ้าห่านสองตัวตอนนี้ตัวหนึ่งล้มป่วยลง และกำลังนอนราบไปกับพื้นคล้ายว่าจะเจ็บขาทั้งสองข้าง ส่วนเจ้าห่านอีกตัวไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อมันเห็นคนทั้งสอง จึงเอ่ยถามทันที"พวกเจ้าได้ยินข้าใช่หรือไม่ ช่วยข้าด้วยเถิด ช่วยภรรยาข้าด้วย"มู่หรงซานที่ได้ยินเช่นนั้นก็คว้าตัวหลี่จื่อเวยเข้ามากอด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น"จือจือ เจ้าดูสิ ผีห่าน!!!"หลี่จื่อเวยหันมามองมู่หรงซานเล็กน้อย ผีห่านกับผีน่ะสิ โง่บัดซบจริงเชียว นี่มันห่านวิเศษ สวรรค์จะต้องเห็นว่านางย้อนเวลามาพบเจอกับสามีเฮงซวย จึงคิดจะส่งห่านสองตัวนี้มามอบให้นางเพื่อเป็นการชดเชยใช่หรือไม่แล้วทำไมไม่มอบเงินมากันนะ เอามาทำไมห่านสองตัวนี่น่ะเจ้าห่านตัวที่ไม่
เมื่อกลับมาถึงบ้านสวนแล้วก็พบว่า มู่หรงฮูหยินและนายท่านมู่หรงผู้เป็นพ่อแม่สามีกำลังเพิ่งกลับมาจากที่สวนเช่นเดียวกัน ส่วนคนตระกูลหลี่นั้นก็เดินตามกลับมาติดๆ อีกทั้งยังบ่นว่าวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน อาหารก็กินไม่อิ่ม ต้องกินแต่ผักไม่ได้กินเนื้อเลยสักมื้อมู่หรงฮูหยินที่เห็นว่าหลี่จื่อเวยอุ้มห่านกลับมาตัวหนึ่ง อีกทั้งยังมีห่านอีกตัวเดินตามมาด้วย จึงเอ่ยถามทันที"จือจือ เจ้าไปเอาห่านมาจากไหนกัน"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะตอบ"ข้าเห็นว่ามันได้รับบาดเจ็บน่ะเจ้าค่ะ จึงพากลับมารักษา ตั้งใจว่าจะเลี้ยงเอาไว้เฝ้าสวน ข้าขอเลี้ยงมันนะเจ้าคะท่านแม่"มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ด้านหลี่ฮูหยินก็เอ่ยกับหลี่จื่อเวยทันที"นี่จือจือ พ่อเจ้าพักนี้ล้มป่วยสุขภาพไม่ดี เจ้าจะเลี้ยงเอาไว้ทำไมกัน ไม่สู้นำมันมาตุ๋นน้ำแกงให้พ่อเจ้ากินไม่ดีกว่าหรือ มีที่ไหนกัน บิดาไม่สบายแทนที่จะหาของดีๆ มาบำรุง กลับเอามาเลี้ยงให้สิ้นเปลืองอาหารไปอีก"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้น จึงหันมามองหลี่ฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าจะเอามาเลี้ยง ไม่ได้จับมันมาตุ๋นน้ำแกงให้ผู้ใดกิน หากอยากหาอา
เรื่องราวจบลงที่หลี่ฮูหยินและบุตรชายบาดเจ็บจนล้มป่วย ไม่บอกทุกคนก็เดาเรื่องราวออก สองแม่ลูกนั้นคิดจะจับเจ้าห่านมากินสินะ แต่เจ้าห่านกลับดุร้ายไม่ยอมให้จับโดยง่ายๆรุ่งเช้าวันต่อมา มู่หรงซานถูกหลี่จื่อเวยปลุุกขึ้นมาแต่เช้า นางบอกว่าให้เขาไปช่วยตัดต้นไผ่มาทำเล้าให้กับเจ้าห่าน รวมถึงไก่ป่าที่จับมาได้นางก็ทำเล้าให้มันอยู่ด้วย นางจะเลี้ยงมันเอาไว้เก็บไข่ขาย อย่างน้อยคงจะมีรายได้เพิ่มมาอีกทางหนึ่งด้วย เมื่อใดที่บ้านเมืองสงบ นางคิดจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ สักหนึ่งร้านหารายได้มาใช้จ่ายหมุนเวียนมู่หรงซานตัดไผ่ไปก็หาวไป เขารู้เรื่องที่ห่านผีทุบตีคนตระกูลหลี่แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เจ้าห่านนี่ก็น่าสนใจดี หากเอามันไปตีพนันคงได้เงินมาไม่น้อยระยะนี้เขาไม่ได้เล่นการพนันที่ไหนเลยด้วยซ้ำ รู้สึกว่าชีวิตเงียบเหงาและไร้รสชาติไปเสียหน่อย เมื่อคิดถึงสหายอย่างหวังเจี้ยนและจ้าวจิ้นเขาก็เศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไม่ได้พบเจอสหายทั้งสองอีกเลยหลี่จื่อเวยแบกกระบุงเอาไว้บนบ่าพร้อมกับเดินไปรอบๆ กอไผ่ ก่อนจะพบกับหน่อไม้อวบอ้วนน่ากินหลายหน่อที่ทะลุหน้าดินขึ้นมา นางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงและลงมือขุด
เมื่อกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยก็พาเจ้าห่านสองตัวเข้ามาอยู่ในเล้าที่นางให้มู่หรงซานทำเอาไว้ในทันที เจ้าห่านตัวเมียนั้นเริ่มที่จะหายดีบ้างแล้ว แต่ยังขยับตัวได้ไม่ดีนัก เจ้าห่านตัวผู้หันมามองหลี่จื่อเวย ก่อนจะเอ่ย"เจ้าอยากได้สิ่งใด บอกมาเลย"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะทำท่าทีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องการเงินทำทุน ท่านมอบเงินให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่"เจ้าห่านตัวผู้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกปีกกระพือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ได้สิ เจ้าขอพรไปหนึ่งข้อแล้ว เหลืออีกสองข้อ ห้ามเกินนี้เล่า""เข้าใจแล้วน่า"หลี่จื่อเวยพยักหน้ารับ เจ้าห่านตัวผู้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับนางทันที"พรุ่งนี้เช้าเจ้าตื่นขึ้นมาก็จะมีตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึงอยู่ในห้อง ข้าจะทำตามที่เจ้าขอพรมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ขอเพียงเลี้ยงดูข้าให้ดีก็พอ""ได้สิ หากพรุ่งนี้ข้าตื่นมาแล้วไม่มีตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึงอย่างที่เจ้าว่า ข้าคงต้องตุ๋นเจ้าแล้ว""ชั่วร้ายจริงๆ"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่โกรธ เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำแล้ว นางจึงเดินกลับเข้ามาในห้องทันที อาหารมื้อค่ำวันนี้เสร็จเร
เช้านี้บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง หลี่จื่อเวยแทบไม่อยากจะสบตากับมู่หรงซานเลยแม้แต่น้อย ยิ่งได้เห็นหน้าเขานางก็มักจะคิดถึงรสจูบที่แสนเร่าร้อนนั้นของเขาขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ระยะนี้ผักในบ้านสวนบางอย่างสามารถนำไปขายได้แล้ว อีกทั้งยังได้ราคาที่น่าพึงพอใจอยู่ไม่น้อยเลยด้วย พ่อแม่สามีของนางเองก็พอจะยิ้มออกมาได้บ้างหลี่จื่อเวยกำลังล้างถั่วเหลืองที่เพิ่งเก็บมาได้อย่างไม่รีบไม่ร้อน นางตั้งใจว่าจะทำน้ำเต้าหู้ไปขายที่ตลาด เผื่อจะได้รายได้เพิ่มขึ้นมาอีก แม้จะมีเงินที่ได้จากเจ้าห่านมาแล้ว แต่หากใช้ไม่เป็นและไม่นำไปลงทุนก็ย่อมไม่อาจจะงอกเงย มีแต่จะหมดไปด้วยซ้ำมู่หรงซานเดินลงมาทิ้งกายนั่งตรงข้ามนาง ระยะนี้เขาดูผอมลงไปมาก เพราะต้องช่วยนางทำงาน มู่หรงฮูหยินเองก็ไม่ได้สนใจบุตรชายเท่าใดนัก เพราะเห็นว่าลูกสะใภ้สามารถจัดการบุตรชายได้นางก็วางใจแล้วชายหนุ่มจ้องมองหลี่จื่อเวยก่อนจะเอ่ยถาม"จือจือ เราไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง ข้าว่า..."มู่หรงซานยังเอ่ยไม่จบประโยคก็ถูกภรรยาเงยหน้ามามองด้วยสายตาที่เย็นเยียบ เขาจึงเงียบไปทันที"นี่มู่หรงซาน อีกเดี๋ยวเราจะเข้าป่าไปจับปลากัน โชคดีอาจไ
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าสดใสไม่น้อย หลี่จื่อเวยมองดูกองเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา"นี่มู่หรงซาน วันนี้เป็นเวรท่านซักผ้านะ"มู่หรงซานสะลึมสะลืองัวเงียลุกขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะจ้องมองหลี่จื่อเวยและหาวออกมา เมื่อวานนี้เขาเหนื่อยมากจึงหลับเป็นตาย เช้านี้ยังถูกปลุกขึ้นมาซักผ้าอีกให้ตายเถอะเขาและนางตกลงกันว่าทุกๆ สองวันจะสลับเวรกันซักผ้าและทำงานบ้าน หากเขาไม่ทำนางก็จะไล่ตีเขา อีกทั้งยังไม่ให้เขากินข้าวอีกด้วย เขาขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้เลย แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็เข้าข้างนาง ทำเป็นมองไม่เห็นยามที่เขาถูกภรรยาทุบตีหลี่จื่อเวยมือหนึ่งก็เก็บกวาดห้องนอน ปากก็ส่งเสียงเรียกมู่หรงซาน เขาตอบรับคำเสียงค่อย ก่อนจะไปล้างหน้าล้างตาและหอบกองผ้าไปซักที่ด้านหลังบ้านสวน ซึ่งทำเอาไว้สำหรับเป็นที่ซักผ้าโดยเฉพาะเมื่อมาถึงก็พบกับหลี่อินที่กำลังซักผ้าอยู่เช่นเดียวกัน หลี่อินที่เห็นว่ามู่หรงซานมาซักผ้าก็ยิ้มตาหยี นางส่งสายตาเป็นประกายให้มู่หรงซานอย่างโจ่งแจ้ง มู่หรงซานถอนหายใจออกมากก่อนจะครุ่นคิดในใจเกิดมาหน้าตาหล่อเหลานี่มันน่าเบื่อจริงๆ!!!เขาทิ้งกายลงนั่งซักผ้าโดยไม่สนใจหลี่อินอีก แต่หลี่อินกลั
เมื่อเตรียมรถม้าเสร็จแล้ว มู่หรงซานก็พยุงบิดาเข้ามานั่งในรถม้า คนทั้งหมดพากันมุ่งหน้าไปที่โรงหมอทันที ก่อนไปหลี่จื่อเวยยังนำตั๋วเงินติดไปหลายร้อยตำลึงและจัดการลงกุญแจล็อกห้องเอาไว้อย่างแน่นหนา ยามนี้นางไม่ไว้ใจสามแม่ลูกมหาประลัยนั่นอีกแล้วเมื่อมาถึงโรงหมอ ก็ส่งบิดาเข้าไปรักษา อาการของพ่อสามีค่อนข้างหนักไม่น้อย ต้องนอนพักที่โรงหมอก่อนสักวันสองวันเพื่อสังเกตอาการว่าจะทุเลาลงหรือไม่ คนทั้งสามนั่งรออยู่ที่หน้าโรงหมอไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกไปไหนมู่หรงฮูหยินมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก หลี่จื่อเวยยื่นมือมาจับมือของมู่หรงฮูหยินเอาไว้ ก่อนจะส่งน้ำแกงร้อนหนึ่งถ้วยให้แม่สามี มู่หรงฮูหยินหันมายิ้มให้ลูกสะใภ้ก่อนจะรับน้ำแกงมาดื่มด้านมู่หรงซานนั้นเขาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง ไม่พูดไม่จาสิ่งใด แม้แต่น้ำแกงตรงหน้าเขาก็ยังดื่มไม่ลง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านพ่อจะป่วยจนอาการทรุดหนักถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาเขาก็เห็นว่าท่านพ่อแข็งแรงดีมาโดยตลอด ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ หลี่จื่อเวยทิ้งกายลงนั่งข้างมู่หรงซานก่อนจะเอ่ย"กินน้ำแกงก่อนเถอะ""ข้ากินไม่ลง"เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้หลี่จื่อเวย หลี่จื่อเวยชะงั
หลี่จื่อเวยฟื้นกลับมา ทุกคนดีใจไม่น้อยเลย ด้านท่านหมอจ้าวและจ้าวจิ้นเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ คนฟื้นขึ้นมาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวจิ้นนำยาบำรุงมามอบให้หลี่จื่อเวยหลายอย่าง บอกนางว่าขอเพียงตั้งใจบำรุงอย่างเต็มที่ย่อมหายดีในไม่ช้า หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบุตรชายฝาแฝดของตนที่ยามนี้กำลังนอนหลับอยู่มู่หรงซานกอดนางเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากเขาอีกยี่สิบห้าปีต่อมา"นั่นแหละดี เจ้าเทระวังหน่อยสิ สุรานี้ซื้อมาแพงนัก!!!"เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากศาลาริมสระน้ำ มู่หรงซานที่กำลังเดินออกมาหลังจากตรวจตราบัญชีสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปรายตามองไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่งนับแต่วันนั้นหลี่จื่อเวยก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ยามนี้บุตรชายสองคนเติบโตแล้ว อายุก็ยี่สิบต้นๆ นามว่า มู่หรงเสวียน และมู่หรงชางมู่หรงเสวียนนั้นนับว่าเอาการเอางาน ชอบอ่านตำรา สนใจการค้าขาย ถอดแบบหลี่จื่อเวยมาไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากมู่หรงชางที่วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เที่ยวหอนางโลม เล่นการพนัน ถอดแบบเขามาราวกับจับวาง เขาเตือนเท่าใดมันก็เถีย
สองปีผ่านไป"ฮูหยินน้อย ออกแรงอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อีกหน่อย""อื้อ"เสียงร้องดังออกมาจากห้องเป็นระยะ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก มู่หรงซานเดินวนเวียนไปมาหน้าห้องนอนอย่างไม่สบายใจ จนมู่หรงฮูหยินต้องเอ่ยปากเตือนขึ้นมา"ซานเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเดินวนไปเวียนมาข้าเวียนหัวหมดแล้ว""ท่านแม่ ข้าร้อนใจนี่ขอรับ นางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังไม่คลอดอีก"เขาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเฉินหลิ่น จ้าวจิ้นและหวังเจี้ยนที่กำลังเดินเข้ามา จ้าวจิ้นเอ่ยถามมู่หรงซานทันที"จือจือเล่าเป็นเช่นไรบ้าง ข้านำโสมอย่างดีติดมือมาด้วย เอาไว้ให้นางบำรุงร่างกาย""ขอบใจจ้าวมากนะอาจิ้น""อืม"ด้านเฉินหลิ่นก็เดินเข้ามาหามู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกัน"ใจเย็นเถิด ยามที่ภรรยาข้าคลอดบุตรชายก็เป็นเช่นนี้"มู่หรงซานหันมาพยักหน้าให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง เฉินหลิ่นได้แต่งงานกับองค์หญิงจากในวังหลวง พวกเขาทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดี อีกทั้งภรรยาของเฉินหลิ่นก็สนิทสนมกับหลี่จื่อเวยมาก เพราะสองจวนมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะพบเจอกันบ่อยครั้ง"ภรรย
หลายวันต่อมา หลี่จื่อเวยที่กำลังกลับมาจากภัตตาคารจื่อซานก็ได้พบกับคนบ้านรอง ท่านอาของมู่หรงซาน ก็คือมู่หรงหยางนั่นเอง มู่หรงหยางมาพร้อมกับอาสะใภ้รองอวี้ซิน และลูกชายลูกสะใภ้ สภาพของคนทั้งหมดดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยปรายตามองพวกเขาคราหนึ่ง ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ ยามที่เกิดสงครามใหม่ๆ บ้านรองมารีดไถเงินจากบ้านหลักไปมากมาย ทำเป็นเก่งกล้าสามารถ แต่ท้ายที่สุดกลับไปไม่รอดอย่างเช่นวันนี้มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเชิญคนเข้ามาในจวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมรรยาทมู่หรงหยางเล่าว่าหลังจากเดินทางไปที่บ้านเก่าของอวี้ซิน ฟางม่านม่านลูกสะใภ้ของเขาก็แท้งบุตร นับแต่นั้นก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก บุตรชายก็ไม่เอาไหน ดื่มแต่สุราทั้งยังเที่ยวสตรีหอนางโลมไม่เว้นวัน สามีภรรยาทุบตีกันจนมู่หรงเฉินบุตรชายเขาแขนพิการ ฟางม่านม่านก็ขาหัก กลายเป็นคนพิการทั้งคู่ส่วนมู่หรงหยางและภรรยานั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกญาติพี่น้องฝั่งภรรยาคดโกงทรัพย์สินไปจนหมด จึงอดอยากจะมาหยิบยืมเงินจากคนบ้านหลัก เพราะรู้ว่ายามนี้คนบ้านหลักร่ำรวยมีเงินมากมายมู่หรงฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องชา
หลายวันต่อมามู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ระยะทางจากหมู่บ้านหลิงซีมาที่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ไกลกันเท่าใดนัก ระยะเวลาการเดินทางจึงไม่ได้ล่าช้าอย่างที่คิด สองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงในช่วงสายๆ เมื่อหาโรงเตี๊ยมสำหรับนอนพักหนึ่งคืนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยจึงรีบไปดูจวนแห่งนั้นทันทีการเดินทางครั้งนี้มีลุงกู้ติดตามมาด้วย ลุงกู้พาเจ้านายไปดูที่ดินและจวนนั้นในทันที เมื่อหลี่จื่อเวยได้เห็นก็รู้สึกชอบมากเหลือเกิน จวนหลังนี้ขนาดพอดี ที่ดินก็เป็นทำเลเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำด้วยเจ้าของที่ดินเก่าร้อนเงินและต้องการเดินทางไปอยู่กับลูกชายที่ต่างเมือง จึงตัดใจขายจวนหลังนี้ในราคาสองพันตำลึงราคาอาจจะสูงไปสักเล็กน้อย แต่หลี่จื่อเวยจำคำของเจ้าห่านตัวผู้นั้นได้ดี มันบอกว่าให้นางตัดใจซื้อเสียอย่าได้ลังเล เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่่จื่อเวยจึงตกลงซื้อในทันที ใช้เวลาครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี เจ้าของเดินรับเงินไปอย่างยินดีปรีดามู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็หันมาเอ่ยถามภรรยาตนทันที"ราคาไม่ได้น้อยเลย เจ้าตัดใจซื้อได้ลงจริงๆ หรือ""ดีกว่าเอาให้ท่านไปเล่นพนันก็แล้วกัน
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส พืชผักที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวและนำไปขายจนหมดแล้ว ลุงกู้เองก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเขาขายผักได้หมด อีกทั้งยังขายได้ในราคาที่ดีมากอีกด้วย ตอนนี้เมืองหลวงคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีคนต้องการจะขายที่ดิน ซึ่งอยู่ติดกับตลาดพอดี หลี่จื่อเวยจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ทางเสียหน่อยการตายของหลี่อินและจุดจบของสามแม่ลูกไม่ได้ส่งผลใดต่อคนตระกูลมู่หรงเลยแม้แต่น้อย บิดาของนางเองก็เสียใจอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดอีก หลี่จื่อเวยกำลังล้างผักอยู่ในครัว วันนี้นางตั้งใจว่าจะทำข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวเสียหน่อย เมื่อจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมจึงได้เริ่มทำอาหาร ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลี่จื่อเวยจึงนำอาหารมาให้ห่านสองตัวนั้นต่อทันทีเมื่อเข้ามาก็พบว่าเจ้าห่านสองตัวกำลังกอดก่ายกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว หลี่จื่อเวยวางอาหารลงตรงหน้ามันก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกินอิ่มแล้ว หลี่จื่อเวยจึงเอ่ยถามทันที"นี่เจ้าห่านตัวผู้ อีกไม่นานข้าคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หากข้าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วต้องการใช้บ่อน้ำวิเศษ แต่ไม่สามารถนำม
เมื่อสามแม่ลูกมหาประลัยย้ายออกจากบ้านสวนไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่น้อย ด้านบิดาของหลี่จื่อเวยก็รู้สึกผิดไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปเถิด นางไม่่ได้ติดใจอยากจะเอาความใดมากไปกว่านี้เช้าวันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยและมู่หรงซานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับห่านสองตัวนั้นให้แม่สามีได้ฟัง เพราะตอนนี้สามแม่ลูกนั่นออกจากบ้านสวนไปแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลอีกแล้ว มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเดิมทีก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เห็นตั๋วเงินมากมายที่เก็บเอาไว้ในห้องนอนของบุตรชายและสะใภ้ นางก็ถึงกับอ้าปากตาค้างเงินนี่มันมากมายเหลือเกินนางไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดหลี่จื่อเวยจึงคิดมาบอกนางเอาป่านนี้ นางเองเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันหลี่จื่อเวยจับมือของมู่หรงฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องขออภัยท่านแม่ที่ไม่ได้บอกกล่าวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ไว้ใจสามแม่ลูกนั้น ยามนี้พวกนางจากไปแล้ว ข้าจึงวางใจอยากบอกท่าน ท่านแม่เจ้าคะ ยามนี้เมืองหลวงเองก็เจริญมากแล้ว พวกเราไปหาที่ทางทำกินในเมืองหลวงกันดีห
ด้านหลี่หยวนนั้น เขาใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงไม่น้อย ไม่กล้าออกไปเที่ยวเล่นอีก เพราะกลัวว่าพวกนักเลงจะตามมาคิดบัญชีกับเขา เพราะน้องสาวตัวดีของเขาคนเดียวเลยที่วางเแผนเช่นนี้ออกมา สุดท้ายคนที่ลำบากจึงเป็นเขา หลี่อินเองก็ด่าทอพี่ชายว่าไร้ความสามารถ สองพี่น้องทำสงครามเย็นไม่พูดไม่จากันเลยแม้แต่คำเดียว หลี่ฮูหยินเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด คิดว่าคงเป็นเพียงเรื่องที่พี่น้องทะเลาะกันปกติธรรมดาทั่วไป นางเองตั้งแต่ถูกห่านบ้านั่นกระโดดตีก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนังสารเลวหลี่จื่อเวยที่นำห่านบัดซบนั้นมา จึงทำให้เกิดเรื่องกับนางเช่นนี้หลังจากที่หลี่จื่อเวยหายดีแล้ว ก็ได้กลับมาเปิดร้านขายน้ำเต้าหู้และบะหมี่เช่นเดิม วันนี้จ้าวจิ้นแวะมาซื้อน้ำเต้าหู้ จึงได้ไถ่ถามหลี่จื่อเวย"นี่หลี่จื่อเวย อาการเจ้าหายดีแล้วกระมัง"หลี่จื่อเวยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ"ดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากที่นำยาอย่างดีมามอบให้ข้า""เรื่องเล็กน่า วันนี้ท่านพ่อข้าอยากดื่มน้ำเต้าหู้และบะหมี่ผักร้านเจ้า จึงให้ข้ามาซื้อไป"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก
ท้ายที่สุดพวกนักเลงก็ถูกจับตัวไปไต่สวน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เบาะแสใดมากนัก เพราะพวกมันเองก็ไม่รู้ว่าคนที่มาจ้างวานเป็นผู้ใดกัน รู้เพียงว่าหน้าตาหล่อเหลาใช้ได้ คล้ายว่าจะเป็นบุตรคนมีฐานะ อีกทั้งยังจ่ายค่าจ้างมาแค่ครึ่งเดียว บอกว่าหากงานสำเร็จจะจ่ายในส่วนที่เหลือให้แก่พวกเขาทีหลังเฉินหลิ่นเพียงจับพวกมันทำโทษไปเล็กน้อย เพราะพยานหลักฐานมีไม่มาก จึงไม่อาจจัดการคนส่งเดชได้ แต่พวกมันก็คงไม่กล้าแล้ว เพราะครั้งนี้เขาจัดการสั่งสอนพวกมันไปไม่น้อยเฉินหลิ่นถอนหายใจออกมา ไม่รู้เพราะเหตุใดระยะนี้จิตใจของเขาค่อนข้างสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาเอาแต่คิดถึงหลี่จื่อเวย เป็นเช่นนี้จนเขาเองก็ไม่สบายใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า รักครั้งแรกจะเกิดขึ้นกับสตรีที่มีสามีแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็กลับมาที่บ้านสวนพร้อมกับมู่หรงซานและเถาเถา มู่หรงฮูหยินที่เห็นว่าลูกสะใภ้ได้รับบาดเจ็บจึงรีบเอ่ยถามทันที"จือจือ เกิดเรื่องใดขึ้นกัน เหตุใดเจ้าจึงบาดเจ็บเช่นนี้"มู่หรงซานวางหลี่จื่อเวยลงบนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้มารดาของตนฟังทั้งหมด มู่หรงฮ
เมื่อกินอาหารจนอิ่มแล้ว เฉินหลิ่นจึงลุกขึ้นก่อนจะนำเงินมาจ่ายค่าอาหารให้หลี่จื่อเวย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า พบว่ายามนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว จึงเอ่ยถามนางทันที"เจ้ายังไม่เก็บร้านหรือ ท้องฟ้ามืดแล้ว ไม่มีคนมาช่วยหรือ"ใจของเขาอยากจะถามว่าสามีเจ้าไม่มาช่วยหรือ หายหัวไปที่ใด แต่เขากลับคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าใดนักหลี่จื่อเวยยิ้มให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"วันนี้ได้ยินว่าที่บ้านมีงานให้ทำมากกว่าทุกวัน สามีข้าจึงมาช้าน่ะเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้ว ขอบคุณใต้เท้าที่มีน้ำใจไต่ถาม""อืม ที่นี่ยังมีพวกนักเลงที่ป่าเถื่อนซ่อนตัวอยู่หลายคน พวกมันก่อเรื่องทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนอยู่หลายครั้ง เจ้าระวังตัวด้วยเล่า หากขายหมดเร็วก็รีบกลับบ้านก่อนฟ้ามืดจะดีกว่า""ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้า"เฉินหลิ่นเห็นว่าไม่มีสิ่งใดจะพูดคุยกันต่อแล้ว เขาจึงจากไปทันที ด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็หันมาเอ่ยกับเถาเถาทันที"นี่เถาเถา ไหนเจ้าบอกว่ามู่หรงซานกำลังจะมาแล้วอย่างไรเล่า"เถาเถาสาวใช้น้อยที่กำลังจัดเก็บถ้วยชามเงยหน้าขึ้นมามองหลี่จื่อเวยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"บ่าวไปแจ้งนายน้อยแล้วนะเจ้าคะ แต่นายน้อยบอกว่าขอปรับหน้าดินต่ออีกสักหน่