ด้านมู่หรงซานนั้นเขามุ่งหน้ามาที่โรงพนันเพื่อพบเจอกับสหายของตนได้สักพักหนึ่งแล้ว เดิมทีนัดกันว่าจะไปดูการแข่งขันกัดจิ้งหรีดเสียหน่อย แต่เขามาช้าไปการแข่งขันนั้นหมดไปเสียแล้ว เขายกจอกสุราขึ้นดื่ม ตอนนี้เขาได้นำเงินที่เหลือติดตัวเพียงสามร้อยตำลึง ซึ่งแอบเก็บเอาไว้ไม่ให้ภรรยารู้ เมื่อจ่ายค่าสุราแล้ว เขาก็นำมันไปแลกมาเล่นพนันเพิ่ม เมื่อเล่นแล้วเสียหมดมู่หรงซานก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว
"เป็นอันใด เห็นเจ้าหายหัวไปหลายวันเลยสหายรัก"
"นั่นสิ ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาแต่อยู่กับภรรยาคนงามเสียอีก"
มู่หรงซานหันไปมองสหายรักสองคนคราหนึ่ง สหายของเขาคนแรกมีนามว่าหวังเจี้ยน เป็นบุตรชายของคหบดีเช่นกัน แต่ฐานะร่ำรวยกว่าเขาไม่น้อย ส่วนอีกคนมีนามว่าจ้าวจิ้น เขาเป็นบุตรชายของท่านหมอผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียง คนทั้งสามคบหากันเป็นสหาย เพราะอยู่ในฐานะระดับเดียวกัน ไม่ได้คบหาพวกลูกขุนนางที่มากพิธีเหล่านั้น
"พูดมากจริง มีให้ข้ายืมสักพันตำลึงหรือไม่อาเจี้ยน แล้วข้าจะหาทางเอามาคืน"
หวังเจี้ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมาคราหนึ่ง ก่อนจะตอบ
"ไม่มีหรอก ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ตัดเงินข้าเช่นกัน เขาให้ข้าใช้จำกัด นี่อาซาน เจ้าก็อย่าวางมาดนักเลย ไปประจบพ่อแม่เจ้าเสียหน่อย รับรองของในเรือนใหญ่ขายได้เงินเยอะแน่ๆ"
จ้าวจิ้นที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือไปตบศีรษะของหวังเจี้ยน ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าก็แนะนำเขาดีๆ หน่อยเถิด"
ดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้จ้าวจิ้นจะเป็นผู้เป็นคนมากที่สุดแล้ว เขาพยายามเตือนสหายว่าให้เล่นแต่พอดี แต่สหายรักของเขาทั้งสองคนก็ไม่ฟัง ทั้งที่มู่หรงซานแต่งงานไปก่อนใคร เขาก็ยังไม่เอาการเอางาน
มู่หรงซานขบริมฝีปากตนเองแน่น ก่อนจะเอ่ย
"ข้าไม่อยากขอเงินจากท่านพ่อท่านแม่หรอก บ่นข้าอยู่นั่น พูดมากจริงๆ ระยะหลังมานี้จือจือก็ชอบทุบตีข้า ตั้งแต่นางฟื้นจากความตายครั้งนั้นก็ดูแปลกไปเลย"
หวังเจี้ยนและจ้าวจิ้นที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้าทันที เรื่องราวในบ้านของมู่หรงซานมีหรือพวกเขาจะไม่รู้ มู่หรงซานถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อ
"วันๆ นางเอาแต่กักขังข้า สุราก็ไม่ได้ดื่ม ข้าจะลงแดงตายอยู่แล้ว นี่พวกเจ้ารู้ไหม หากนางไม่ชวนข้าออกมาซื้อของวันนี้ ข้าคงไม่ได้ออกมาพบกับสหายรักเช่นพวกเจ้า คิดดูนะ อยู่ๆ นางก็อยากจะทำนั่นนี่เพื่อให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไว้วางใจ อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาทำงานเช่นนี้ ประหลาดไหมล่ะ แล้วยังบอกว่าก่อนจะฟื้นนางฝันว่าพบเจอเทพเจ้า เทพเจ้าบอกกับนางว่าตีข้าแล้วจะดี เทพเจ้าบ้าบออันใดกัน!!!"
จ้าวจิ้นไม่เอ่ยอะไร แต่กลับเป็นหวังเจี้ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"อาซาน มิใช่ว่าจือจือของเจ้าถูกผีเข้าสิงหรอกหรือ ข้าเคยพบเจอเรื่องพวกนี้มามาก"
"เจ้าเหลวไหลแล้วอาเจี้ยน"
จ้าวจิ้นรีบเอ่ยห้ามปรามทันที แต่หวังเจี้ยนกลับยังไม่ยอมหยุด
"จริงๆ นะอาซาน วันก่อนภรรยาของขุนนางผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจวนของข้ามีอาการแปลกๆ ไป โชคดีมีไต้ซือผู้หนึ่งมาช่วยไว้ ยามนี้ไต้ซือผู้นั้นยังพักอยู่ในเมืองหลวง ได้ยินว่าอยู่ที่บ้านขุนนางตระกูลหยาง เจ้าจะพานางไปดักรอเขาไหม เผื่อเขาจะช่วยได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะส่งคนไปดักรอไต้ซือผู้นั้นก่อนก็แล้วกัน"
มู่หรงซานมีสีหน้าครุ่นคิด หลายวันมานี้หลี่จื่อเวยเปลี่ยนไปมากจริงๆ บางคราอาจถูกวิญญาณครอบงำได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงตกปากรับคำกับหวังเจี้ยนในทันที ก่อนที่คนทั้งสามจะเดินออกมาจากโรงพนันพร้อมกัน
เมื่อเดินออกมาก็พบกับหลี่จื่อเวยที่เดินมาพอดี แววตาที่นางมองเขาทั้งดุดันและเย็นชา มู่หรงซานยิ้มตาหยี ก่อนจะเดินเข้าไปจับมือของหลี่จื่อเวยเอาไว้
"จือจือยอดรัก ข้าเพียงมาพบสหายเท่านั้น"
หลี่จื่อเวยไม่อยากจะทุบตีเขานอกจวน นางอุตส่าห์เดินหาของเอาไว้ต่อทุน แต่สามีตัวดีกลับมาทำเช่นนี้เสียได้!!!
มู่หรงซานที่เห็นว่าภรรยาที่รักไม่ได้เอ่ยวาจาด่าทอ เขาจึงชวนนางไปพบไต้ซือทันที ก่อนหน้านี้หวังเจี้ยนส่งคนไปดักรอแล้ว พบว่าไต้ซือผู้นั้นกำลังจะออกมาจากตระกูลหยางพอดี
หลี่จื่อเวยยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดก็ถูกมู่หรงซานพาตัวไปแล้ว เขาพานางมาที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นภัตตาคารของตระกูลมู่หรง ได้มาเห็นกับตาก็พบว่ามันค่อนข้างใหญ่โตไม่น้อย เพียงเวลาไม่นานมู่หรงซานและสหายก็จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพ เมื่อเดินขึ้นมาที่ห้องชั้นบนก็พบกับไต้ซือชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งรออยู่ เมื่อเห็นพวกเขาก็ยิ้มขึ้นมา และมองมาที่หลี่จื่อเวย
"นี่ใช่หรือไม่ ภรรยาที่คนของเจ้าบอกว่าถูกผีเข้าสิงจนเปลี่ยนไปน่ะ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"นี่ท่านหาว่าข้าถูกผีเข้าหรือ"
มู่หรงซานได้แต่ยิ้มแห้ง หลี่จื่อเวยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เดิมทีมันก็คงจะเป็นเช่นนั้นเพราะว่านางทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ แต่นางไม่ใช่ผี นางแค่ทะลุมิติมาต่างหาก
ไต้ซือเดินเข้ามาหาหลี่จื่อเวย ก่อนจะพิจารณามองนางและเอ่ยขึ้นมา
"ไอหยา ผีตนนี้อาฆาตแรงมาก ข้าจะทำพิธีปัดเป่าให้เอง แต่ต้องใช้ตำลึงเยอะหน่อย ข้าคิดในราคาคนกันเอง สามพันตำลึงก็พอ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา นี่มันไต้ซือจอมลวงโลกชัดๆ มู่หรงซานนะมู่หรงซาน โง่เง่าเสียจริง นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะโง่บัดซบได้ถึงเพียงนี้
ไต้ซือชรายกไม้เท้าขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้ทำอันใด ก็โดนหลี่จื่อเวยชกหน้าเข้าให้จนเซถลา ก่อนจะกระโดดถีบซ้ำจนไต้ซือชราร้องโอดครวญ สหายรักทั้งสามมองหน้ากันไปมาด้วยความตื่นตระหนก
"ค่าจ้างสามพันตำลึง ดูแล้วมันแพงไปนะ เจ้าไปหลอกสำเร็จมากี่คนแล้วล่ะ คิดจะมาหลอกตบตาข้าฝันไปเถอะ ข้าไม่โง่เหมือนคนอื่นหรอกนะ ไสหัวไป อย่ามายุ่งกับข้า มิเช่นนั้นเจ้านั่นแหละที่จะเป็นผีแทน!!! อ้อ จับตัวส่งทางการดีกว่า จะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก"
ไต้ซือชราจ้องมองหลี่จื่อเวยด้วยความหวาดกลัว ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมองออกว่าเขาเป็นเพียงนักต้มตุ๋น ไปดีกว่า อยู่ไม่ได้แล้ว!!
ไต้ซือชราอาศัยทีเผลอรีบหลบหนีไปทันที แต่ท้ายที่สุดวันหนึ่งเขาก็ถูกจับเข้าคุกไปจนได้
หลี่จื่อเวยหันกลับมามองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยกับเขา
"กลับจวน"
มู่หรงซานหลับตาลงช้าๆ รู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย เมื่อกลับมาที่จวนก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาถูกนางทุบตีจนนอนติดเตียงไปหลายวัน
หลายวันต่อมา ได้ยินมาว่าคนในบ้านตระกูลมู่หรงคิดจะเดินทางไปที่บ้านสวนนอกเมืองหลวง ที่นั่นมีที่ดินมากมาย และยังมีทั้งสวนผัก ไร่นา และต้นไม้มากมาย ทุกๆ ปีจะมีผลผลิตจากบ้านสวนส่งมาที่จวนตระกูลมู่หรง พ่อแม่สามีของนางก็จะนำไปขายต่อ นับว่าได้กำไรดีเป็นอย่างมากครั้งนี้คนบ้านรองเองก็จะติดตามไปด้วย ทุกคนเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ ช่วงบ่ายก็ไปถึงที่บ้านสวน เมื่อได้มาเห็นสถานที่จริงแล้ว หลี่จื่อเวยก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ที่บ้านสวนแห่งนี้กว้างใหญ่มากจริงๆ อีกทั้งยังมีที่ดินทำกินมากมาย พืชผักก็มีไม่น้อยเลยคนทั้งหมดพักกันอยู่หลายวัน ก่อนจะเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็พบว่ายามนี้บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ได้ยินว่าทหารรักษาชายแดนเริ่มต้านกำลังของศัตรูเอาไว้ไม่ไหวเสียแล้ว อีกทั้งเงินในท้องพระคลังที่ใช้สนับสนุนทหารก็ขัดสนไม่พอใช้ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจึงมีรับสั่งให้ทุกจวนที่มีฐานะนำทรัพย์สินเงินทองมาบริจาคเข้าท้องพระคลัง แต่บริจาคเท่าใดก็ยังคงไม่พออยู่ดี ขุนนางบางคนก็คิดคดโกง เปลี่ยนฝั่งไปเข้าหากบฏ บ้านเมืองตกอยู่ในกลียุค การทำมาค้าขายเริ่มไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ร้านรวงปิดไปหลายร้าน ซ้ำร้ายยังม
กลางดึกคืนนั้นทุกคนก็เดินทางออกจากเมืองหลวงในทันที เพราะมีผู้คนเข้าออกเยอะมาก อีกทั้งการดูแลก็ไม่เข้มงวดเท่าแต่ก่อน การที่ผู้คนจะเดินทางออกนอกเมืองหลวงจึงไม่ใช่เรื่องยากเท่าแต่ก่อนอีก ขอเพียงใช้เงินติดสินบนเหล่าทหารที่เฝ้าประตูมากหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้วระหว่างทางหลี่จื่อเวยไม่ได้พูดสิ่งใดกับมู่หรงซานเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเช่นกัน แต่ทว่าในใจกลับโอดครวญเป็นอย่างมากเดิมทีเขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองหลวงมาตลอด ต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชนบทเช่นนั้นเขาคงอึดอัดตาย สหายสักคนก็ไม่มี ร้านค้าก็ไม่ได้มากมายเท่าในเมืองหลวง เขาต้องบ้าตายเป็นแน่ใช้เวลาเดินทางอยู่ครึ่งค่อนคืนก็เดินทางมาถึงบ้านสวนในตอนเกือบรุ่งสาง เมื่อมาถึงก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย บ่าวไพร่ที่ติดตามมาก็มีเพียงคนสองคน ตอนนี้ทุกคนจึงทำได้เพียงช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อจัดที่ทางให้เรียบร้อยหลี่จื่อเวยหันไปมองบิดาของตนและหลี่ฮูหยินผู้เป็นแม่เลี้ยง รวมถึงน้องชายและน้องสาวที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทีที่เหนื่อยล้า หลี่ฮูหยินเดินเข้ามาหาหลี่จื่อเวย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา"นับว่าบ้านสามีของเจ้ายังมีสมบัติชิ้นสุดท้ายเหลืออยู่นะ จือจือ พว
เมื่อต้องมาอยู่ชนบทแน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด พ่อแม่สามีของนางนั้นเดิมทีก่อนจะร่ำรวยก็เคยทำสวนทำนามาก่อน จึงไม่ใช่ปัญหาอันใด แต่เรื่องนี้ค่อนข้างจะส่งผลต่อคนตระกูลหลี่ไม่น้อย เพราะเดิมทีก็กินใช้เงินเดิมที่บรรพบุรุษสั่งสมมา จึงไม่เคยต้องมาทำงานลำบากแบบนี้ด้านหลี่จื่อเวยเอง การที่นางมาจากโลกอนาคตนั้นถือเป็นเรื่องดี เพราะนางทำสิ่งใดด้วยตนเองมาตลอด ไม่ได้มีคนมาคอยรับใช้ เวลาว่างจากงานก็ชอบเดินป่าเข้าไปเที่ยวเล่นพักผ่อน เมื่อได้ยินแม่สามีบอกว่าครั้งนี้คงจะต้องเข้าป่าไปถกถางที่ดินทำกินที่ทิ้งร้างมานาน นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่มู่หรงซานนั้นค่อนข้างจะโอดครวญไม่น้อยบ้านสวนมีคนสวนนามว่าลุงกู้คอยดูแลอยู่ เมื่อเจ้านายกลับมาอยู่เขาก็ดีใจไม่น้อย เร่งรีบเป็นคนนำทางทุกคนเข้าไปถกถางที่ทำกินในทันทีที่ดินบ้านสวนค่อนข้างกว้างใหญ่ ที่ใช้ทำสวนปลูกผักไปนั้นก็แค่ส่วนหนึ่ง และด้านหลังยังมีพื้นที่อีกไม่น้อย แต่เพราะถูกทิ้งร้างเอาไว้จึงมีหญ้าขึ้นรถทึบ หลี่จื่อเวยเดินไปตามทางพร้อมกับสะพายกระบุงเอาไว้ที่หลัง เมื่อพบเจอของป่าอะไรนางก็เก็บเอามาใส่กระบุงไว้"จือจือ ข้
ยามเช้าของวันต่อมาหลี่จื่อเวยตื่นแต่เช้าหลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานที่ตนต้องทำ หลี่จื่อเวยไม่ได้เรียกมู่หรงซานให้ตื่น นางเบื่อแล้วจึงไม่อยากสนใจเขาอีก หญิงสาวเอากระบุงแบกไว้บนหลังเหมือนเดิม เตรียมจะออกไปที่แม่น้ำ แต่ทว่าหลี่อินและหลี่หยวนกลับมาขวางทางนางเอาไว้เสียก่อน หลี่หยวนมองพี่สาวตนด้วยแววตาที่ดูแคลน ก่อนจะเอ่ย"ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้พี่ใหญ่ใจกล้า บังอาจมาเถียงท่านแม่ของข้า ไม่ทำตามคำสั่งของนางเช่นนั้นหรือ"หลี่อินส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยสมทบกับพี่ชายของตนในทันที"คิดว่าตนเองเก่งมากละมั้ง ท่านแม่จัดการพี่ไม่ได้พวกข้าย่อมมาทำแทน เอาเงินมา ข้ากับพี่ชายต้องใช้เงิน แล้วอย่าลืมทำอาหารให้ข้ากินด้วย เข้าใจไหม"หลี่จื่อเวยเท้าเอวมองดูน้องชายและน้องสาวตัวดีสองคนด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้าข่มขู่ข้าหรือ"นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่รำคาญเต็มทน หลี่หยวนกับหลี่อินที่เห็นท่าทีไม่แยแสของหลี่จื่อเวยก็เริ่มโมโห"พูดไม่รู้ความ อินเอ๋อร์ เราอย่าสนทนากับนางให้เสียเวลาเลย เจ้าไปจับตัวนาง ข้าจะควานหาเงินจากตัวนางเอง!!!""ได้"แต่ทว่ายังไม่ทันที่สองพี่น้องจะเข้ามา ก็ถูก
มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยหันมาสบตากันอีกครั้ง ความแปลกใจฉายชัดอยู่ในดวงตาของทั้งสอง หลี่จื่อเวยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจห่านสองตัวนั่นมันพูดได้เหรอ?วิเศษเกินไปแล้วสำหรับนางแล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่เท่าใดนัก แม้แต่นางยังทะลุมิติมาเลย นับประสาอะไรกับแค่ห่านพูดได้มู่หรงซานผละออกจากหลี่จื่อเวย ก่อนจะจับมือของภรรยาเอาไว้และเดินขึ้นมาจากแม่น้ำ พร้อมกับจ้องมองห่านสองตัวนั้นเจ้าห่านสองตัวตอนนี้ตัวหนึ่งล้มป่วยลง และกำลังนอนราบไปกับพื้นคล้ายว่าจะเจ็บขาทั้งสองข้าง ส่วนเจ้าห่านอีกตัวไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อมันเห็นคนทั้งสอง จึงเอ่ยถามทันที"พวกเจ้าได้ยินข้าใช่หรือไม่ ช่วยข้าด้วยเถิด ช่วยภรรยาข้าด้วย"มู่หรงซานที่ได้ยินเช่นนั้นก็คว้าตัวหลี่จื่อเวยเข้ามากอด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น"จือจือ เจ้าดูสิ ผีห่าน!!!"หลี่จื่อเวยหันมามองมู่หรงซานเล็กน้อย ผีห่านกับผีน่ะสิ โง่บัดซบจริงเชียว นี่มันห่านวิเศษ สวรรค์จะต้องเห็นว่านางย้อนเวลามาพบเจอกับสามีเฮงซวย จึงคิดจะส่งห่านสองตัวนี้มามอบให้นางเพื่อเป็นการชดเชยใช่หรือไม่แล้วทำไมไม่มอบเงินมากันนะ เอามาทำไมห่านสองตัวนี่น่ะเจ้าห่านตัวที่ไม่
เมื่อกลับมาถึงบ้านสวนแล้วก็พบว่า มู่หรงฮูหยินและนายท่านมู่หรงผู้เป็นพ่อแม่สามีกำลังเพิ่งกลับมาจากที่สวนเช่นเดียวกัน ส่วนคนตระกูลหลี่นั้นก็เดินตามกลับมาติดๆ อีกทั้งยังบ่นว่าวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน อาหารก็กินไม่อิ่ม ต้องกินแต่ผักไม่ได้กินเนื้อเลยสักมื้อมู่หรงฮูหยินที่เห็นว่าหลี่จื่อเวยอุ้มห่านกลับมาตัวหนึ่ง อีกทั้งยังมีห่านอีกตัวเดินตามมาด้วย จึงเอ่ยถามทันที"จือจือ เจ้าไปเอาห่านมาจากไหนกัน"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะตอบ"ข้าเห็นว่ามันได้รับบาดเจ็บน่ะเจ้าค่ะ จึงพากลับมารักษา ตั้งใจว่าจะเลี้ยงเอาไว้เฝ้าสวน ข้าขอเลี้ยงมันนะเจ้าคะท่านแม่"มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ด้านหลี่ฮูหยินก็เอ่ยกับหลี่จื่อเวยทันที"นี่จือจือ พ่อเจ้าพักนี้ล้มป่วยสุขภาพไม่ดี เจ้าจะเลี้ยงเอาไว้ทำไมกัน ไม่สู้นำมันมาตุ๋นน้ำแกงให้พ่อเจ้ากินไม่ดีกว่าหรือ มีที่ไหนกัน บิดาไม่สบายแทนที่จะหาของดีๆ มาบำรุง กลับเอามาเลี้ยงให้สิ้นเปลืองอาหารไปอีก"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้น จึงหันมามองหลี่ฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าจะเอามาเลี้ยง ไม่ได้จับมันมาตุ๋นน้ำแกงให้ผู้ใดกิน หากอยากหาอา
เรื่องราวจบลงที่หลี่ฮูหยินและบุตรชายบาดเจ็บจนล้มป่วย ไม่บอกทุกคนก็เดาเรื่องราวออก สองแม่ลูกนั้นคิดจะจับเจ้าห่านมากินสินะ แต่เจ้าห่านกลับดุร้ายไม่ยอมให้จับโดยง่ายๆรุ่งเช้าวันต่อมา มู่หรงซานถูกหลี่จื่อเวยปลุุกขึ้นมาแต่เช้า นางบอกว่าให้เขาไปช่วยตัดต้นไผ่มาทำเล้าให้กับเจ้าห่าน รวมถึงไก่ป่าที่จับมาได้นางก็ทำเล้าให้มันอยู่ด้วย นางจะเลี้ยงมันเอาไว้เก็บไข่ขาย อย่างน้อยคงจะมีรายได้เพิ่มมาอีกทางหนึ่งด้วย เมื่อใดที่บ้านเมืองสงบ นางคิดจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ สักหนึ่งร้านหารายได้มาใช้จ่ายหมุนเวียนมู่หรงซานตัดไผ่ไปก็หาวไป เขารู้เรื่องที่ห่านผีทุบตีคนตระกูลหลี่แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เจ้าห่านนี่ก็น่าสนใจดี หากเอามันไปตีพนันคงได้เงินมาไม่น้อยระยะนี้เขาไม่ได้เล่นการพนันที่ไหนเลยด้วยซ้ำ รู้สึกว่าชีวิตเงียบเหงาและไร้รสชาติไปเสียหน่อย เมื่อคิดถึงสหายอย่างหวังเจี้ยนและจ้าวจิ้นเขาก็เศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไม่ได้พบเจอสหายทั้งสองอีกเลยหลี่จื่อเวยแบกกระบุงเอาไว้บนบ่าพร้อมกับเดินไปรอบๆ กอไผ่ ก่อนจะพบกับหน่อไม้อวบอ้วนน่ากินหลายหน่อที่ทะลุหน้าดินขึ้นมา นางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงและลงมือขุด
เมื่อกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยก็พาเจ้าห่านสองตัวเข้ามาอยู่ในเล้าที่นางให้มู่หรงซานทำเอาไว้ในทันที เจ้าห่านตัวเมียนั้นเริ่มที่จะหายดีบ้างแล้ว แต่ยังขยับตัวได้ไม่ดีนัก เจ้าห่านตัวผู้หันมามองหลี่จื่อเวย ก่อนจะเอ่ย"เจ้าอยากได้สิ่งใด บอกมาเลย"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะทำท่าทีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องการเงินทำทุน ท่านมอบเงินให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่"เจ้าห่านตัวผู้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกปีกกระพือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ได้สิ เจ้าขอพรไปหนึ่งข้อแล้ว เหลืออีกสองข้อ ห้ามเกินนี้เล่า""เข้าใจแล้วน่า"หลี่จื่อเวยพยักหน้ารับ เจ้าห่านตัวผู้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยกับนางทันที"พรุ่งนี้เช้าเจ้าตื่นขึ้นมาก็จะมีตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึงอยู่ในห้อง ข้าจะทำตามที่เจ้าขอพรมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ขอเพียงเลี้ยงดูข้าให้ดีก็พอ""ได้สิ หากพรุ่งนี้ข้าตื่นมาแล้วไม่มีตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึงอย่างที่เจ้าว่า ข้าคงต้องตุ๋นเจ้าแล้ว""ชั่วร้ายจริงๆ"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่โกรธ เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำแล้ว นางจึงเดินกลับเข้ามาในห้องทันที อาหารมื้อค่ำวันนี้เสร็จเร
หลี่จื่อเวยฟื้นกลับมา ทุกคนดีใจไม่น้อยเลย ด้านท่านหมอจ้าวและจ้าวจิ้นเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ คนฟื้นขึ้นมาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวจิ้นนำยาบำรุงมามอบให้หลี่จื่อเวยหลายอย่าง บอกนางว่าขอเพียงตั้งใจบำรุงอย่างเต็มที่ย่อมหายดีในไม่ช้า หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบุตรชายฝาแฝดของตนที่ยามนี้กำลังนอนหลับอยู่มู่หรงซานกอดนางเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากเขาอีกยี่สิบห้าปีต่อมา"นั่นแหละดี เจ้าเทระวังหน่อยสิ สุรานี้ซื้อมาแพงนัก!!!"เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากศาลาริมสระน้ำ มู่หรงซานที่กำลังเดินออกมาหลังจากตรวจตราบัญชีสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปรายตามองไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่งนับแต่วันนั้นหลี่จื่อเวยก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ยามนี้บุตรชายสองคนเติบโตแล้ว อายุก็ยี่สิบต้นๆ นามว่า มู่หรงเสวียน และมู่หรงชางมู่หรงเสวียนนั้นนับว่าเอาการเอางาน ชอบอ่านตำรา สนใจการค้าขาย ถอดแบบหลี่จื่อเวยมาไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากมู่หรงชางที่วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เที่ยวหอนางโลม เล่นการพนัน ถอดแบบเขามาราวกับจับวาง เขาเตือนเท่าใดมันก็เถีย
สองปีผ่านไป"ฮูหยินน้อย ออกแรงอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อีกหน่อย""อื้อ"เสียงร้องดังออกมาจากห้องเป็นระยะ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก มู่หรงซานเดินวนเวียนไปมาหน้าห้องนอนอย่างไม่สบายใจ จนมู่หรงฮูหยินต้องเอ่ยปากเตือนขึ้นมา"ซานเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเดินวนไปเวียนมาข้าเวียนหัวหมดแล้ว""ท่านแม่ ข้าร้อนใจนี่ขอรับ นางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังไม่คลอดอีก"เขาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเฉินหลิ่น จ้าวจิ้นและหวังเจี้ยนที่กำลังเดินเข้ามา จ้าวจิ้นเอ่ยถามมู่หรงซานทันที"จือจือเล่าเป็นเช่นไรบ้าง ข้านำโสมอย่างดีติดมือมาด้วย เอาไว้ให้นางบำรุงร่างกาย""ขอบใจจ้าวมากนะอาจิ้น""อืม"ด้านเฉินหลิ่นก็เดินเข้ามาหามู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกัน"ใจเย็นเถิด ยามที่ภรรยาข้าคลอดบุตรชายก็เป็นเช่นนี้"มู่หรงซานหันมาพยักหน้าให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง เฉินหลิ่นได้แต่งงานกับองค์หญิงจากในวังหลวง พวกเขาทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดี อีกทั้งภรรยาของเฉินหลิ่นก็สนิทสนมกับหลี่จื่อเวยมาก เพราะสองจวนมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะพบเจอกันบ่อยครั้ง"ภรรย
หลายวันต่อมา หลี่จื่อเวยที่กำลังกลับมาจากภัตตาคารจื่อซานก็ได้พบกับคนบ้านรอง ท่านอาของมู่หรงซาน ก็คือมู่หรงหยางนั่นเอง มู่หรงหยางมาพร้อมกับอาสะใภ้รองอวี้ซิน และลูกชายลูกสะใภ้ สภาพของคนทั้งหมดดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยปรายตามองพวกเขาคราหนึ่ง ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ ยามที่เกิดสงครามใหม่ๆ บ้านรองมารีดไถเงินจากบ้านหลักไปมากมาย ทำเป็นเก่งกล้าสามารถ แต่ท้ายที่สุดกลับไปไม่รอดอย่างเช่นวันนี้มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเชิญคนเข้ามาในจวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมรรยาทมู่หรงหยางเล่าว่าหลังจากเดินทางไปที่บ้านเก่าของอวี้ซิน ฟางม่านม่านลูกสะใภ้ของเขาก็แท้งบุตร นับแต่นั้นก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก บุตรชายก็ไม่เอาไหน ดื่มแต่สุราทั้งยังเที่ยวสตรีหอนางโลมไม่เว้นวัน สามีภรรยาทุบตีกันจนมู่หรงเฉินบุตรชายเขาแขนพิการ ฟางม่านม่านก็ขาหัก กลายเป็นคนพิการทั้งคู่ส่วนมู่หรงหยางและภรรยานั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกญาติพี่น้องฝั่งภรรยาคดโกงทรัพย์สินไปจนหมด จึงอดอยากจะมาหยิบยืมเงินจากคนบ้านหลัก เพราะรู้ว่ายามนี้คนบ้านหลักร่ำรวยมีเงินมากมายมู่หรงฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องชา
หลายวันต่อมามู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ระยะทางจากหมู่บ้านหลิงซีมาที่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ไกลกันเท่าใดนัก ระยะเวลาการเดินทางจึงไม่ได้ล่าช้าอย่างที่คิด สองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงในช่วงสายๆ เมื่อหาโรงเตี๊ยมสำหรับนอนพักหนึ่งคืนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยจึงรีบไปดูจวนแห่งนั้นทันทีการเดินทางครั้งนี้มีลุงกู้ติดตามมาด้วย ลุงกู้พาเจ้านายไปดูที่ดินและจวนนั้นในทันที เมื่อหลี่จื่อเวยได้เห็นก็รู้สึกชอบมากเหลือเกิน จวนหลังนี้ขนาดพอดี ที่ดินก็เป็นทำเลเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำด้วยเจ้าของที่ดินเก่าร้อนเงินและต้องการเดินทางไปอยู่กับลูกชายที่ต่างเมือง จึงตัดใจขายจวนหลังนี้ในราคาสองพันตำลึงราคาอาจจะสูงไปสักเล็กน้อย แต่หลี่จื่อเวยจำคำของเจ้าห่านตัวผู้นั้นได้ดี มันบอกว่าให้นางตัดใจซื้อเสียอย่าได้ลังเล เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่่จื่อเวยจึงตกลงซื้อในทันที ใช้เวลาครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี เจ้าของเดินรับเงินไปอย่างยินดีปรีดามู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็หันมาเอ่ยถามภรรยาตนทันที"ราคาไม่ได้น้อยเลย เจ้าตัดใจซื้อได้ลงจริงๆ หรือ""ดีกว่าเอาให้ท่านไปเล่นพนันก็แล้วกัน
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส พืชผักที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวและนำไปขายจนหมดแล้ว ลุงกู้เองก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเขาขายผักได้หมด อีกทั้งยังขายได้ในราคาที่ดีมากอีกด้วย ตอนนี้เมืองหลวงคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีคนต้องการจะขายที่ดิน ซึ่งอยู่ติดกับตลาดพอดี หลี่จื่อเวยจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ทางเสียหน่อยการตายของหลี่อินและจุดจบของสามแม่ลูกไม่ได้ส่งผลใดต่อคนตระกูลมู่หรงเลยแม้แต่น้อย บิดาของนางเองก็เสียใจอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดอีก หลี่จื่อเวยกำลังล้างผักอยู่ในครัว วันนี้นางตั้งใจว่าจะทำข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวเสียหน่อย เมื่อจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมจึงได้เริ่มทำอาหาร ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลี่จื่อเวยจึงนำอาหารมาให้ห่านสองตัวนั้นต่อทันทีเมื่อเข้ามาก็พบว่าเจ้าห่านสองตัวกำลังกอดก่ายกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว หลี่จื่อเวยวางอาหารลงตรงหน้ามันก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกินอิ่มแล้ว หลี่จื่อเวยจึงเอ่ยถามทันที"นี่เจ้าห่านตัวผู้ อีกไม่นานข้าคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หากข้าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วต้องการใช้บ่อน้ำวิเศษ แต่ไม่สามารถนำม
เมื่อสามแม่ลูกมหาประลัยย้ายออกจากบ้านสวนไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่น้อย ด้านบิดาของหลี่จื่อเวยก็รู้สึกผิดไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปเถิด นางไม่่ได้ติดใจอยากจะเอาความใดมากไปกว่านี้เช้าวันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยและมู่หรงซานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับห่านสองตัวนั้นให้แม่สามีได้ฟัง เพราะตอนนี้สามแม่ลูกนั่นออกจากบ้านสวนไปแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลอีกแล้ว มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเดิมทีก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เห็นตั๋วเงินมากมายที่เก็บเอาไว้ในห้องนอนของบุตรชายและสะใภ้ นางก็ถึงกับอ้าปากตาค้างเงินนี่มันมากมายเหลือเกินนางไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดหลี่จื่อเวยจึงคิดมาบอกนางเอาป่านนี้ นางเองเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันหลี่จื่อเวยจับมือของมู่หรงฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องขออภัยท่านแม่ที่ไม่ได้บอกกล่าวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ไว้ใจสามแม่ลูกนั้น ยามนี้พวกนางจากไปแล้ว ข้าจึงวางใจอยากบอกท่าน ท่านแม่เจ้าคะ ยามนี้เมืองหลวงเองก็เจริญมากแล้ว พวกเราไปหาที่ทางทำกินในเมืองหลวงกันดีห
ด้านหลี่หยวนนั้น เขาใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงไม่น้อย ไม่กล้าออกไปเที่ยวเล่นอีก เพราะกลัวว่าพวกนักเลงจะตามมาคิดบัญชีกับเขา เพราะน้องสาวตัวดีของเขาคนเดียวเลยที่วางเแผนเช่นนี้ออกมา สุดท้ายคนที่ลำบากจึงเป็นเขา หลี่อินเองก็ด่าทอพี่ชายว่าไร้ความสามารถ สองพี่น้องทำสงครามเย็นไม่พูดไม่จากันเลยแม้แต่คำเดียว หลี่ฮูหยินเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด คิดว่าคงเป็นเพียงเรื่องที่พี่น้องทะเลาะกันปกติธรรมดาทั่วไป นางเองตั้งแต่ถูกห่านบ้านั่นกระโดดตีก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เดินนิดหน่อยก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนังสารเลวหลี่จื่อเวยที่นำห่านบัดซบนั้นมา จึงทำให้เกิดเรื่องกับนางเช่นนี้หลังจากที่หลี่จื่อเวยหายดีแล้ว ก็ได้กลับมาเปิดร้านขายน้ำเต้าหู้และบะหมี่เช่นเดิม วันนี้จ้าวจิ้นแวะมาซื้อน้ำเต้าหู้ จึงได้ไถ่ถามหลี่จื่อเวย"นี่หลี่จื่อเวย อาการเจ้าหายดีแล้วกระมัง"หลี่จื่อเวยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบ"ดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากที่นำยาอย่างดีมามอบให้ข้า""เรื่องเล็กน่า วันนี้ท่านพ่อข้าอยากดื่มน้ำเต้าหู้และบะหมี่ผักร้านเจ้า จึงให้ข้ามาซื้อไป"หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก
ท้ายที่สุดพวกนักเลงก็ถูกจับตัวไปไต่สวน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เบาะแสใดมากนัก เพราะพวกมันเองก็ไม่รู้ว่าคนที่มาจ้างวานเป็นผู้ใดกัน รู้เพียงว่าหน้าตาหล่อเหลาใช้ได้ คล้ายว่าจะเป็นบุตรคนมีฐานะ อีกทั้งยังจ่ายค่าจ้างมาแค่ครึ่งเดียว บอกว่าหากงานสำเร็จจะจ่ายในส่วนที่เหลือให้แก่พวกเขาทีหลังเฉินหลิ่นเพียงจับพวกมันทำโทษไปเล็กน้อย เพราะพยานหลักฐานมีไม่มาก จึงไม่อาจจัดการคนส่งเดชได้ แต่พวกมันก็คงไม่กล้าแล้ว เพราะครั้งนี้เขาจัดการสั่งสอนพวกมันไปไม่น้อยเฉินหลิ่นถอนหายใจออกมา ไม่รู้เพราะเหตุใดระยะนี้จิตใจของเขาค่อนข้างสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาเอาแต่คิดถึงหลี่จื่อเวย เป็นเช่นนี้จนเขาเองก็ไม่สบายใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า รักครั้งแรกจะเกิดขึ้นกับสตรีที่มีสามีแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็กลับมาที่บ้านสวนพร้อมกับมู่หรงซานและเถาเถา มู่หรงฮูหยินที่เห็นว่าลูกสะใภ้ได้รับบาดเจ็บจึงรีบเอ่ยถามทันที"จือจือ เกิดเรื่องใดขึ้นกัน เหตุใดเจ้าจึงบาดเจ็บเช่นนี้"มู่หรงซานวางหลี่จื่อเวยลงบนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้มารดาของตนฟังทั้งหมด มู่หรงฮ
เมื่อกินอาหารจนอิ่มแล้ว เฉินหลิ่นจึงลุกขึ้นก่อนจะนำเงินมาจ่ายค่าอาหารให้หลี่จื่อเวย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า พบว่ายามนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว จึงเอ่ยถามนางทันที"เจ้ายังไม่เก็บร้านหรือ ท้องฟ้ามืดแล้ว ไม่มีคนมาช่วยหรือ"ใจของเขาอยากจะถามว่าสามีเจ้าไม่มาช่วยหรือ หายหัวไปที่ใด แต่เขากลับคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าใดนักหลี่จื่อเวยยิ้มให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"วันนี้ได้ยินว่าที่บ้านมีงานให้ทำมากกว่าทุกวัน สามีข้าจึงมาช้าน่ะเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้ว ขอบคุณใต้เท้าที่มีน้ำใจไต่ถาม""อืม ที่นี่ยังมีพวกนักเลงที่ป่าเถื่อนซ่อนตัวอยู่หลายคน พวกมันก่อเรื่องทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนอยู่หลายครั้ง เจ้าระวังตัวด้วยเล่า หากขายหมดเร็วก็รีบกลับบ้านก่อนฟ้ามืดจะดีกว่า""ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้า"เฉินหลิ่นเห็นว่าไม่มีสิ่งใดจะพูดคุยกันต่อแล้ว เขาจึงจากไปทันที ด้านหลี่จื่อเวยนั้นก็หันมาเอ่ยกับเถาเถาทันที"นี่เถาเถา ไหนเจ้าบอกว่ามู่หรงซานกำลังจะมาแล้วอย่างไรเล่า"เถาเถาสาวใช้น้อยที่กำลังจัดเก็บถ้วยชามเงยหน้าขึ้นมามองหลี่จื่อเวยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"บ่าวไปแจ้งนายน้อยแล้วนะเจ้าคะ แต่นายน้อยบอกว่าขอปรับหน้าดินต่ออีกสักหน่