ซึ่งก่อนหน้านั้นเนี่ยหยวนซูรู้ว่าตนต้องแต่งงานกับจิ่งหลัวคุน ชะตากรรมนี้นางมิอาจเลี่ยง จึงต้องรับมือให้ดีและเตรียมตัวให้พร้อม ดังนั้นการอยู่ในจวนจิ่ง ก่อนได้รับหนังสือหย่าร้างโดยถูกต้องและเป็นการพร้อมใจทั้งสองฝ่าย นางสมควรอยู่ดีกินดีในเรือนไป๋เหลียนฮวา
นับแต่กลายเป็นวิญญาณแล้วอาศัยร่างไซซีที่งามพร้อม ทั้งยังเป็นลูกสาวเจ้าบ้านเนี่ย หญิงสาวก็ได้วางแผนอย่างรัดกุม จัดอาหารยารักษาโรคใส่หีบต่าง ๆ ไว้พร้อม และส่งช่างฝีมือเข้ามาตรวจสอบเรือนหอ และขอให้บิดาออกหน้าคุยกับจิ่งหลัวคุนเพื่อขยายพื้นที่ด้านหลังให้เป็นโรงเก็บวัตถุต่าง ๆ กับโรงครัว มีห้องน้ำแบบใหม่ที่นางออกแบบเองด้วย ถึงสร้างความไม่พอใจให้คนในจวนจิ่ง แต่เจ้าบ้านเนี่ยผู้มีคนหนุนหลังมากมาย เมื่อเขาอยากให้ลูกสาวคนเดียวมีความสุข ดังนั้นแม้แต่ไท่ฮูหยินก็ไม่กล้ายื่นปากเข้ามาแส่
“ซูเอ๋อร์...หากต้องการสิ่งใด แค่ให้บ่าวไปส่งข่าวถึงร้านค้าพันธมิตรของเรา ไม่เกินช่วงเวลาครึ่งก้านธูปดับ พ่อบ้านก็จะนำทุกอย่างมากองตรงเท้าเจ้าแล้ว”
เนี่ยหยวนซูยิ้มกว้าง นางโชคดีเหลือเกิน การได้อยู่ในร่างนี้มีบิดาที่รักและเอาอกเอาใจ ทว่าฟ้าไม่ได้ลิขิตให้เนี่ยข่ายอายุยืนยาว เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือเมื่อหญิงสาวแต่งเข้าจวนจิ่ง เขาเริ่มทุกข์ใจด้วยถูกผู้มีอำนาจในวังหลวงร่วมมือกับขั้วอำนาจเก่า บีบบังคับให้เหล่าคหบดีช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ในการผลิตอาวุธสงครามเพื่อก่อกบฏ แม้เขาไม่อยากทำตาม แต่การเป็นพ่อค้าในยุคสมัยดังกล่าวถึงร่ำรวยอย่างไรแต่ต้องพึ่งผู้มีอำนาจ ฝ่ายจิ่งหลัวคุนแม้เป็นลูกเขย ทว่าพอแต่งกับเนี่ยหยวนซู เขากลับไปประจำอยู่เมืองหน้าด่าน ฝ่ายภรรยาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากจวน หลายครั้งเนี่ยข่ายพยายามส่งคนมาเยี่ยม แต่ถูกปฏิเสธ กระนั้นเขาไม่ได้ลดละความตั้งใจจะพบเนี่ยหยวนซู หากสุดท้ายเป็นนางที่อยากตัดขาดจากสกุลเดิม ด้วยยามนั้นถูกวางยาจนแทบเสียสติ ก่อนจะคลุ้มคลั่งในเวลาต่อมา
เมื่อเนี่ยข่ายรู้ข่าวอีกทีลูกสาวเขาก็ถูกจับตัวไปสอบสวน สุดท้ายได้รับโทษอันโหดเหี้ยม แม้แต่ศพก็ไม่ได้รับการฝัง วิญญาณถูกจิ่งหลัวคุนสะกดเอาไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด สุดท้ายสองสกุลกลายเป็นอริกัน และเนี่ยข่ายตัดสินใจเข้าร่วมกับขั้วอำนาจเดิมอย่างสุดกำลัง ก่อนถูกคนของทางการสังหารยกครัวในเวลาต่อมา แล้วโยนความผิดให้สกุลจิ่ง!
“ท่านพ่อ ลูกแค่อยากดูแลตัวเองให้ได้ อีกอย่าง ของต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ ลูกอยากทำเพื่อเอาใจแม่สามี ฝ่ายนั้นชราแล้ว ทั้งได้ข่าวมาว่าหลายปีที่ผ่านมานางลำบาก กินสิ่งใดไม่ถูกปาก ร่างกายจึงทรุดโทรม หากได้ต้มน้ำแกงเก้าชั้นฟ้าของลูกให้นางดื่มทุกเช้าบำรุงร่างกายคงดีขึ้น พร้อมของว่างแปดเทพอำนวยพร ที่ข้าคิดค้นขึ้นมาใหม่ สิ่งนี้คงช่วยให้นางเจริญอาหารและถือเป็นการแสดงความกตัญญูยิ่งต่อแม่สามี
แล้วท่านพ่อก็ทราบว่าลูกพอมีฝีมือทำอาหารอยู่บ้าง การได้เข้าครัว ปรุงด้วยของดีที่มาจากร้านค้าสกุลเนี่ย ย่อมมัดใจท่านแม่ทัพได้มิยาก”
เนี่ยข่ายเห็นด้วย สินค้าบริโภคของสกุลเนี่ยทั้งผลิตเองและรับมาขายจากทั่วสารทิศล้วนมีคุณภาพ อีกทั้งหลายสิ่งเป็นของบำรุงร่างกายซึ่งหายากยิ่ง แม้แต่เหล่าองค์ชายองค์หญิงหากต้องการยังต้องลงทะเบียนเอาไว้ กว่าจะได้ก็ใช้เวลานาน บางทีรอกันข้ามปีเลยทีเดียว
“เจ้าเป็นเด็กดี ต่อไปเมื่อมีหลานให้พ่ออุ้ม ซูเอ๋อร์คงไม่ซุกซนเช่นเดิม”
ด้วยมารดาของเนี่ยหยวนซูจากไปนาน และเป็นสตรีเดียวที่เนี่ยข่ายรักอย่างจริงใจ จึงไม่แปลกที่เขาจะดูแลลูกสาวคนนี้อย่างดีที่สุด หากเมื่อทราบว่าไทเฮาประสงค์ให้สองสกุลเป็นทองแผ่นเดียวกัน เขาไม่ใคร่จะยินดี แต่ไม่อาจขัดต่อประสงค์ต่อสมรสพระราชทาน ด้วยพ่อค้าอย่างไรก็ต้องเป็นฝ่ายสนับสนุนผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะสกุลจิ่งที่รับใช้บ้านเมืองมานาน กระนั้นสกุลจิ่งยามนี้กลับมีเพียงอำนาจทหารและกำลังพลในมือ แต่ท้องนั้นร้องหิวอยู่ตลอด ทั้งหมดเป็นเพราะสกุลจิ่ง โดยการนำทัพของจิ่งเทา บิดาจิ่งหลัวคุนเคยพ่ายแพ้ศึกครั้งใหญ่ ทรัพย์สมบัติที่สะสมมาหลายชั่วอายุคนจึงถูกนำไปชดใช้แก่แผ่นดินแทนการถูกเนรเทศให้ไปเฝ้าสุสานหลวง!
“ท่านพ่อ แม้ยังไม่ออกเรือนข้าก็พอที่จะดูแลตัวเองได้ แล้วอย่าลืมว่า หากท่านไม่มีเพื่อนคุยเล่น หรือคนสรรหาของอร่อยให้กินก็บอกพ่อบ้านไปตามตัวลูกโดยด่วน”
เนี่ยข่ายวางมือบนศีรษะลูกสาวคนเดียวของตน ขยี้เส้นผมดำดกหนา และเอ่ยว่า
“ต่อไปเรือนหลังนี้คงไม่มีสิ่งใดสวยงามเท่าเจ้าอีก พวกพี่ ๆ ของเจ้า วัน ๆ เอาแต่หาเรื่องทะเลาะกัน ตาแก่คนนี้บางทีคิดอยากหนีขึ้นเขาไปบวชเสีย”
“โอ้มิได้ ท่านพ่อต้องเป็นหลักยึดให้พวกพี่ ๆ และข้าในฐานะลูกสาวคนสวย วันข้างหน้าออกเรือนไปก็ยังมีสายเลือดสกุลเนี่ย มิแน่ ข้าอาจได้ส่งเสริมให้กิจการท่านพ่อรุ่งเรืองไปทั่วทั้งใต้หล้า”
“ซูเอ๋อร์ คำโบราณกล่าวไว้ พ่อค้าอย่างไรก็เป็นอาชีพต่ำต้อย แม้มีเงินทองแต่ไม่อาจเทียบได้กับขุนนางปลายแถว”
เนี่ยหยวนซูส่ายหน้าช้า ๆ นางไม่เห็นด้วย
“เมื่อก่อน ผู้คนอาจคิดเช่นนั้น แต่อีกไม่นานท่านพ่อโปรดเชื่อข้า ใครมีเงินในมือมากที่สุดย่อมคือผู้มีอำนาจ และจะได้นั่งบัลลังก์ตั่งทอง”
เนี่ยข่ายมองลูกสาวตน จริงอยู่นางอายุน้อย แต่ไม่รู้เหตุใดหลายวันที่ผ่านมาเขามองเห็นความกล้าแกร่งกับแววตาที่ฉายแสงแห่งพลังที่อยากเอาชนะทุกสิ่ง
“เฮ้อ เพราะความไม่เอาไหนของพวกพี่ชายเจ้า บางทีสกุลเนี่ย...อาจต้องฝากฝังลูกสาวคนเดียวของพ่อดูแลก็เป็นได้”
ชายวัยกลางคนกล่าวเช่นนั้น และเนี่ยหยวนซูไม่ได้เอ่ยคำใดอีก
และก่อนขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวมาจวนจิ่ง เนี่ยหยวนซูได้เตรียมของแห้ง ทั้งเนื้อสัตว์ตากแห้งหลากหลายชนิด ผักดอง ผักอบแห้ง ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า และเครื่องปรุงต่าง ๆ รวมถึงแป้งทำอาหาร สุราหมักชั้นดี ไว้เป็นจำนวนสามคันรถม้า ซึ่งช่วงที่ขนเข้าจวนจิ่งนั้นเอิกเกริกยิ่ง คราแรกคนตกใจ แต่นางใช้สิทธิ์การเป็นฮูหยินใหญ่บอกคนของซ่งหยูชุนว่า นี่คือสินสมรสในส่วนของนาง ฝ่ายนั้นแม้ไม่เห็นชอบ แต่ไม่กล้ากล่าวสิ่งใด ด้วยอย่างไรก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายเจ้าสาวในยุคนั้นกระทำได้
ในขณะที่ฝานเหอกำลังเตรียมก้าวจากไป เนี่ยหยวนซูคิดบางสิ่งขึ้นได้ เมื่อแม่ผัวกำลังถือศีล กินอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ อีกทั้งเรือนเล็กเรือนน้อยในจวนจิ่งทำของกินเอง อาหารคงนับว่าอัตคัดอยู่บ้าง ดังนั้นนางจะเปลี่ยนจากการที่คนพวกนี้อยากจัดงานรับน้องใหม่ในจวนจิ่ง เป็นงานเลี้ยงส่งท้ายพวกรุ่นพี่สักหน่อย แล้วจัดให้หนักในแบบฉบับที่ทุกชีวิตต้องยกมือขึ้นเพื่อร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว
“แม่นมฝานหยุดก่อน ข้ามีเรื่องที่ให้เจ้าต้องทำอย่างเร่งด่วน!”
“เจ้าค่ะ คุณหนูสั่งมาได้เลย”
“พวกบ่าวที่ถูกส่งมาสลบไปกี่คน และเหลือใช้งานได้บ้างหรือไม่ ไปเรียกพวกเขามา และข้าจะคัดเฉพาะพวกที่หัวไวไว้ใช้งาน ส่วนพวกที่ดูแล้วอาจเป็นสายลับของเรือนหลังอื่น หรือเซ่อซ่าเกินเหตุ จงส่งกลับเรือนเดิม ถ้าไม่ยอมไปดี ๆ ก็เรียกพ่อบ้านจวนจิ่งมา ข้าจะขายพวกมันออกไป เท่านี้คงหมดปัญหา!”
ฝานเหอตกใจต่อคำพูดเนี่ยหยวนซู แต่เรื่องนี้นับว่าดี เรือนหลังนี้ไม่ควรมีหมาแมว ที่คอยคาบข่าวไปรายงานให้ไท่ฮูหยิน หรืออนุของจิ่งหลัวคุน
เรือนไผ่หยกเชามี่ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น นางจิ้งจอกเนี่ยหยวนซูจากเรือนไป๋เหลียนฮวากล้าส่งสาวใช้และบ่าวที่ถูกคัดตัวไปโดยเป็นคำสั่งไท่ฮูหยินกลับเรือนเดิมที่เคยอยู่ยามนี้นางแต่งออกจากสกุลเนี่ยแล้ว ดังนั้นกฎของจวนจิ่งคือสิ่งที่นางต้องทำตาม“โง่ เหตุใดถึงไม่ยืนยันที่จะอยู่เป็นหูเป็นตาให้ข้า” เชามี่ตวาดใส่สาวใช้ของตนที่หวังให้เป็นสายลับสืบสิ่งต่าง ๆ“นายหญิงเชา สตรีผู้นั้นเป็นพวกนางกลางตลาด ปากร้าย เสียงดัง และกักขฬะเหลือเกิน นางบอกว่าหากใครที่อยู่เรือนไป๋เหลียนฮวา นางจะให้อดข้าวเป็นเวลาเจ็ดวัน และทำงานขนมูลกับคอยนำน้ำถ่ายเบาของนางไปรดแปลงผัก แต่หากใครยอมกลับเรือนของตนจะได้กินของดี และยังได้ส่วนแบ่งเป็นเนื้อหมู เนื้อกวางตากแห้งติดมือกลับมาด้วย”สาวใช้นามว่า อ้ายเหมย มองอนุคนโปรดของจิ่งหลัวคุน นางมาจากสกุลขุนนางเก่า บิดาเป็นถึงอดีตรองเจ้ากรมฝ่ายพิธีการ การมาอยู่ที่นี่ใครก็มองออกว่าหวังใช้เส้นสายของแม่ทัพหนุ่มเป็นใบเบิกทางให้สกุลเชากลับมามีหน้ามีตา และช่วยเหลือในงานราชการให้ไม่ต้องมีสิ่งใดติดขัดเชามี่ถลึงตาใส่สาวใช้ก่อนโยนพัดในมือใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความฉุนเฉียว“เจ้าเห็นแก่ของกินเช่นนั้
พอนางเห็นว่าซ่งหยูชุนมองกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ หญิงสาวจึงเอ่ยว่า“ท่านแม่ ลูกสะใภ้เพียงแต่อยากปรนนิบัติท่าน เช้าวันแรกหลังจากเข้าหอกับท่านแม่ทัพร่างกายข้าไม่อำนวยให้เดินเหิน แล้วสองสามวันต่อมา บ่าวและสาวใช้ที่ท่านช่วยจัดแจงส่งไปยังเรือนหลังเล็ก ๆ ของข้า มีจำนวนมากเหลือเกิน กว่าจะคัดเลือกคนที่เหมาะสม แล้วที่เหลือก็ส่งคืนให้พ่อบ้าน ต้องใช้เวลาจนล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ดูเอาเถิด ลูกสะใภ้ก็เหมือนนกหลงทางที่มาอาศัยจวนจิ่งอันยิ่งใหญ่ หลบฝนหลบแดด แต่กว่าจะมีโอกาสทำดีเพื่อท่านแม่ เวลาล่วงผ่านมาจนยามสายวันนี้”คำพูดเนี่ยหยวนซูทำให้ทั้งแม่และลูกชายอึ้ง ฝ่ายจิ่งป๋อมองหญิงสาวคนนี้ อายุนางไล่เลี่ยเขาแต่ฝีปากไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นการแสดงงิ้วชั้นเยี่ยมได้เลย“พี่สะใภ้ ท่านช่างเจรจายิ่ง พี่ใหญ่ข้าคงไม่เหงา!”จิ่งป๋อผู้อยู่ฝ่ายมารดา เขาเป็นผู้ชายหน้าเปื้อนยิ้มเสมอและหน้าตาดี ซึ่งกระเดียดไปทางงามแบบบุรุษล่มเมือง ผิดแต่ไม่ชอบงานด้านบู๊ ส่วนด้านบุ๋นก็ไร้ทักษะ แต่หากให้ร้องรำทำเพลงหรือวาดภาพ เขานับว่าเลื่องชื่อทีเดียว“โอ้ คุณชายสาม ตัวข้าอย่างที่บอก ต้องพึ่งทุกคนในจวนจิ่งอีกนาน แค่ปรุงน้ำแกงเช่นนี้นับว่าเล
ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหน้าสวนหินทางทิศเหนือของจวนจิ่ง แม้ยังไม่เข้ามาถึงด้านใน แต่เสียงร้องเพลงและเสียงหัวเราะดังมาถึงด้านนอกเมื่อสืบเท้าเข้ามาอีกนิด จิ่งหลัวคุนก็คำรามเสียงฮึ่ม ๆ ยามนี้ จวนจิ่งกลายเป็นโรงละครในตรอกชั้นต่ำแล้วหรือไรสตรีผู้นั้นกำลังร้องรำทำเพลง และยังมีสาวใช้กับแม่นมของนาง โดยคนหนึ่งเป่าขลุ่ย อีกคนตีกลองหนังวัวสองหน้า อันเป็นเครื่องดนตรีของชาวเผ่าทะเลทราย เสียงร้องเพลงเนี่ยหยวยซู แม้เพราะพริ้งแต่เนื้อหาเพลงฟังอย่างไรก็แจ้งชัดว่านางจงใจกระทบกระเทียบถึงเขาแม้ตัวข้าเป็นหญิงม่าย ยังไม่น่าอับอาย เท่ากับถูกสามีชั่วร้ายข่มเหงผู้ชายขี้เหล้าแสนเผด็จการ วัน ๆ เอาแต่อวดเบ่งคิดว่า ตัวเองเก่งทั้งที่โง่ดั่งลาสตรีเช่นข้าเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ยืนด้วยลำแข้งงาม ๆ ผู้ใดอย่าได้มาหยาม มิฉะนั้น แม่จะตัดหางปล่อยวัด ให้ร้องเอ๋ง ๆ สวรรค์โปรดเมตตา ให้หญิงม่ายคนงาม อย่าได้มีลูกผัวกวนใจชาตินี้ ข้าเกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่ ไม่มีสามีก็ลืมตาอ้าปากได้ด้วยหนึ่งสมอง และสองมือ สองบาทา...และที่ทำให้เขาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าหนักกว่านั้น คือจิ่งป๋อที่ยามนี้สวมชุดงิ้วกับเครื่องประดับหัวร่ายรำเอวอ่อน และข้าง
“อยู่ในบ้าน ไม่มีแม่ทัพ ข้าก็แค่บุรุษผู้หนึ่งที่ร่วมเตียงกับเจ้า คือสามี เป็นผู้ชายที่เจ้าสมควรเคารพ!” คำพูดเขาเผ็ดร้อนเหลือเกิน และเนี่ยหยวนซูหน้าแดงทั้งตัวสั่น หนึ่งคือนางโกรธ สองนางเจ็บทั้งข้อมือและปวดหนึบตรงหัวใจ“ใช่ ข้ากับท่านร่วมเตียงกันแล้ว คือสามีภรรยาที่ตบแต่งตามสมรสพระราชทาน”“ฮึ อย่าเล่นลิ้น บอกมา เหตุใด ถึงวางยาแม่เล็กกับเจ้าสาม”“ท่านแม่ทัพ...มีหลักฐาน หรือพยานอันใดงั้นรึ ถึงเสียงแข็งปรักปรำข้า ราวกับจะเอาผิดให้ได้”“ฮึ ข้าไม่ได้ตาบอด ยามนี้พวกเขาล้วนเหมือนคนต้องพิษ มิต่างจากข้าในคืนเข้าหอ”“เอ ท่านแม่ทัพยอมรับแล้วสินะว่าถูกวางยา ไม่ใช่แค่อาการเมาเหล้า”เนี่ยหยวนซูรุกเขากลับ“อย่าเฉไฉโยงเรื่องอื่น จงรีบเอายาถอนพิษออกมาแก้ไขเรื่องนี้เสีย”“โอ้ ท่านชอบล้อข้าเล่นจริงเชียว เมื่อไม่มียาพิษไฉนจะมียาถอนพิษเล่า”ฝ่ายเชามี่ที่ได้รับการพยุงตัวขึ้นโดยอ้ายเหมย นางก้าวกะเผลก ๆ มายืนข้างจิ่งหลัวคุน คราวแรกอยากออเซาะเรียกร้องความสนใจ แต่คนตัวโตรักษาท่าที พร้อมส่งสายตาให้เกอสวิน กันนางห่างจากเขา“ขอให้ผู้น้อยอนุภรรยาอยู่ตรงนี้ด้วยเถิดท่านแม่ทัพ เพราะข้าจะเป็นผู้กระชากหน้ากากนางจิ้งจอกเก
จิ่งหลัวคุนแบกเนี่ยหยวนซูขึ้นสะพานหินโค้ง ยามนั้นสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก ฟ้าที่ดูเหมือนไร้เมฆหนาทึบพลันมีก้อนสีดำทะมึนปรากฏให้เห็น สายลมพัดแรงหอบกลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้ากระทบร่างเนี่ยหยวนซู“ปล่อยเดี๋ยวนี้ ข้าเดินเองได้”“แต่ข้าพาเจ้าเดินย่อมดีกว่า!”คนตัวโตบอกและยังทำเสียงขรึม ติดจะโหดและดุดันเช่นเดิม“ไฉนข้าต้องเชื่อฟังท่าน เมื่อมิใช่ทหารหรือลูกน้อง แม้แต่เป็นสตรีที่มีป้ายแขวนคอในค่ายทหาร”น้ำเสียงนางดังสูง ๆ ต่ำ ๆ คำพูดก็เสียดแทงหัวใจเขา“หาญกล้าแต่งเข้าจวนจิ่ง ย่อมเป็นคนของสกุลจิ่ง ดังนั้นสมควรได้รับการอบรมจากหลัวคุน”“คนเผด็จการ!”ชายหนุ่มหยุดสืบเท้าไปเบื้องหน้า เสียงเขาดังกังวาน ชวนให้นางขนลุกโดยแท้ “สามเชื่อฟัง สี่จรรยา...เรื่องนี้ เจ้าเคยล่วงรู้หรือไม่ หากไม่เคยร่ำเรียน ข้าย่อมต้องสอนให้จดจำ ต่อไปจะได้ไม่แสดงความโง่เขลาจนข้าต้องขายหน้าผู้อื่น!”“เมื่อก่อน ข้าไม่คิดว่าต้องเป็นภรรยาของใคร การแต่งเข้าจวนจิ่ง เพราะเป็นประสงค์ของไทเฮากับฮ่องเต้ ที่อยากช่วยกู้หน้าตาและชื่อเสียงของท่านแม่ทัพที่นับวันดิ่งลงเหวนรกให้พอจะยืนหยัดในสังคมได้!” เมื่อนางเอ่ยจบ หญิงสาวก็ใจหาย ด้วยถูกจับให้ยื
“หยวนซู เป็นเจ้าที่เริ่มก่อน เมื่อข้าอดทนไม่ไหว จึงเกิดเรื่องเช่นนี้”ยามนั้นเนี่ยหยวนซูที่อยู่ในสระน้ำกราดเกรี้ยวหนัก และนางกำลังหาทางขึ้นมาด้านบน แล้วหลบหนีเขาไปเสียแต่บังเอิญว่า นางเหยียบก้อนหินในน้ำแล้วลื่น จนเป็นเหตุให้ร่างเสียหลัก ก่อนจมหายลงไปในผิวน้ำ และยามนี้ห่าสายฝนตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว หญิงสาวหวาดกลัวจับจิต ไม่อยากตายซ้ำสองหลายสิ่งพุ่งเข้ามาในหัวคือเรื่องต่าง ๆ ที่เคยทำให้โลกเก่าก่อน แน่นอนว่า เนี่ยหยวนซูย่อมไม่ใช่หญิงสาวแสนดี นางเป็นคนสีเทา ๆ ซึ่งเลี้ยงดูตัวเองด้วยลำแข้งคู่งามนี้ หากสุดท้ายชีวิตพลิกหลายตลบกระทั่งวิญญาณหลุดออกจากร่างและมาอยู่ในโลกที่มีระยะเวลาห่างกันนับพันปีสองมือเรียวมือไขว่คว้าไปข้างหน้าสะเปะสะปะ พร้อมกันนั้นภาพดำมืดก็ทาบทับทุกอย่างจนมองไม่เห็นสิ่งใด!ร่างกายหนาวสะท้าน และการหายใจยากเหลือเกินที่จะสูดอากาศเข้าปอด ชีวิตนางจบสิ้นลงแล้วหรือ มิทันได้พบความสุข ยังไม่ได้พิสูจน์ตนเองว่าเป็นฮูหยินม่ายที่หยัดยืนอย่างกล้าแกร่ง โดยไม่ต้องอาศัยบารมีสามี นางก็ต้องจากไปอย่างน่าเศร้าฝ่ายจิ่งหลัวคุนสบถออกมาชุดใหญ่ เขาเสียสติไปแล้วแน่ ๆ เรื่องนี้ไม่ต้องสืบความใด ๆ ทั้งเป็
เนี่ยหยวนซูยิ้มหยัน โลกที่จากมานางมักมีนิสัยหน้ามืดตามัวเห็นคนหล่อแล้วมั่นใจว่าพวกเขาคงเป็นบุรุษแสนดี คือพระเอกในนิยายรัก ซึ่งมีฉากจบสมหวัง หากความจริงกลับต้องช้ำใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางไม่เคยถูกทำร้ายร่างกาย อาจมีแผลในจิตใจอยู่บ้าง ซึ่งรักษาไม่นานก็ลุกขึ้นได้ด้วยสองขาของตนทว่าเมื่ออยู่ในโลกคล้ายจีนโบราณ กลับกลายเป็นว่าถูกผู้ชายที่มีอำนาจในมือ เป็นคนสมองกลวง ทำทุกอย่างเพื่อสนองอารมณ์ร้าย ๆ ของตน นางไม่แปลกใจหรอกที่ซ่งหยูชุนและจิ่งป๋อจะมองจิ่งหลัวคุนเป็นปีศาจหรือมัจจุราช เนื่องจากเขาเป็นเช่นนี้ อำมหิตและยังมักใช้กำลังเหนือเหตุผลใด ๆ จนทั้งจวนจิ่งปั่นปวน อยู่อย่างไม่สงบสุขเมื่อเขากลับมาจากการออกศึกสงครามยามนี้นางหายจากการเพ้อ แม้ในปากจะมีกลิ่นคาวจัด นางไม่ได้สนใจ สิ่งที่อยากสะสางกับบุรุษตรงหน้าสำคัญยิ่งกว่า ร่างนางสั่นอยู่สักหน่อย ขอบตาผะผ่าวร้อน น้ำตาเอ่อคลอหน่วย ถ้าจะบอกว่านางกลัวเขา ฝันไปเสียเถอะ นางโกรธตัวเองต่างหาก ที่ยามนี้ไม่มีมีดสักเล่ม ไม่อย่างนั้นคงได้แทงที่หน้าอกข้างซ้ายเขาแล้วกดให้มันทะลุถึงหัวใจ“อาซู...ได้ยินคำถามของข้าหรือไม่...เกลียดข้าถึงเพียงนั้นหรือ...และต้องทำอย
จิ่งป๋อร้อนใจหนัก นี่คงเป็นอีกครั้งที่เขาเครียดจนลืมว่าตนต้องปั้นสีหน้าเปื้อนยิ้มให้ดูดีอยู่เสมอ ยามนี้เขาเหงื่อแตกเต็มใบหน้าหล่อเหลา และไม่อาจหยุดเดินได้ แถมยังเดินเป็นวงกลมจนบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ต่างตาลาย บางคนต้องคว้ายาดมยาหอมมาประทังอาการวิงเวียนศีรษะ“โอ้ คุณชายสาม...ท่านกำลังทำให้บ่าวร้อนใจเหลือเกินแล้ว หยุดเดินได้หรือไม่ขอรับ” เกอสวินท้วง วันนี้เขาไม่ได้ติดตามจิ่งหลัวคุน เนื่องจากถูกสั่งให้สืบความต่าง ๆ ที่จวนจิ่ง ที่สำคัญ หลังจากถูกหนูสกปรกกลั่นแกล้ง เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าสู้หน้าคนภายนอกสักเท่าใด เขาอับอายหรือ? คงเป็นเช่นนั้น ตั้งแต่กลางดึกจนถึงรุ่งสาง มีคนเห็นเรือนร่างเขาไปมิน้อย มิหนำซ้ำยังมีรูปวาดเขาติดที่ป้ายประกาศจับล้อเลียนด้วย เรื่องนี้จะเป็นฝีมือใครได้หากไม่ใช่เสี่ยวฉุน!“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร เจ้าบ้านเนี่ยมาพร้อมคนนับร้อยชีวิต และยังอ้างเรื่องนั้นเรื่องนี้เพื่อพาพี่สะใภ้กลับให้ได้” จิ่งป๋อว่าแล้วก็อยากจะยกเท้าขึ้นก่ายหน้าผากฝ่ายเกอสวินเข้าใจดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่มีคนใดจะทักท้วงเนี่ยข่ายได้ แม้จะเป็นจิ่งหลัวคุน เขาก็อาจต้องยอมถอยสักสองสามก้าวเพื่อดูท่าทีคนสกุลเนี่
เชามี่ง่วงนอนและหาวติดกันหลายครั้ง นางหลับไปตอนไหนไม่ทราบได้ ภาพก่อนหน้าคือเสี่ยวฉุนกับฝานเหอวางสีหน้าราวกับต้องการฉีกเนื้อนางออกเป็นชิ้น ๆ“บอกไว้ก่อน คุณหนูของข้าไม่เอาความเจ้าก็แล้วไป แต่สำหรับข้ากับเสี่ยวฉุน อย่าคิดว่าจะปล่อยให้เจ้าลอยหน้าลอยตาอย่างสบายใจ จำเอาไว้ที่นี่ไม่ใช่จวนจิ่ง อีกทั้งคนของสกุลเนี่ยล้วนค้าขาย ออกแรงแบกหามเสมอ ดังนั้นมือหนักตีนหนักย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”เชามี่ตาเหลือกค้าง นางเป็นลูกสาวใต้เท้ากรมพิธีการ ได้มาเป็นอนุจวนจิ่งด้วยยามนั้นบิดาต้องการผูกมิตรกับอีกฝ่าย ทั้งที่ความจริงสวรรค์เปิดทางให้นางไปเป็นสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง ซึ่งโชคชะตานางอาจเป็นใหญ่ได้ก้าวเป็นถึงพระสนมหรือฮองเฮา แต่นางกลับกลายเป็นนกปีกหัก ต้องแต่งเข้าจวนจิ่งในฐานะอนุเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเพราะไท่ฮูหยินแจ้งว่าวันเดือนปีเกิดนางไม่เกื้อหนุนจิ่งหลัวคุน ให้นางเป็นอนุไปเสียก่อน หากดวงชะตาเปลี่ยน ดาวเคลื่อนย้าย นางจะเป็นฮูหยินใหญ่ในจวนจิ่งเมื่อใดก็มิสาย แต่สุดท้ายแม่ทัพหนุ่มก็ได้รับสมรสพระราชทานกับสตรีที่บิดาทำการค้าขาย ไร้ตำแหน่งทรงเกียรติ!“ตบปากมัน อ้ายเหมย ตบนังบ่าวชั้นต่ำให้ข้าเดี๋ยวนี้”อ้ายเหมยหม
เนี่ยหยวนซูมองจิ่งป๋อ อีกฝ่ายกับนางแม้เรียกได้ว่าเป็นญาติกันแล้ว ทว่าหญิงสาวไม่ใคร่จะรู้ตื้นลึกหนาบางของเขา ทราบเพียงแต่ว่าเขาเป็นลูกแหง่ของแม่สามี ทั้งยังนิยมร้องรำทำเพลง รักการแสดงมากกว่ารับใช้บ้านเมือง อีกทั้งหอลำนำรักซึ่งเปิดดำเนินการมาเกือบสองปีขาดทุนโดยตลอด นั่นเป็นเพราะเขาทุ่มทุนในการจัดเสื้อผ้า จ้างนางรำและนักดนตรีมีชื่ออยู่เสมอ คนพวกนั้นมักจะเจ้าอารมณ์เรียกร้องค่าตัวแพงเกินจริง ทั้งยังต้องการสิ่งที่ดีที่สุดในระหว่างเปิดการแสดงที่หอลำนำรัก“แม่ทัพจิ่งช่างดีต่อข้ายิ่ง” เนี่ยหยวนซูไม่ได้ต้องการประชด“เท่าที่ข้าจำได้ ตั้งแต่พี่ใหญ่ทราบว่าต้องแต่งงานกับพี่สะใภ้ เขาพยายามปรับปรุงตัวเอง คนผู้หนึ่งที่ไม่ชอบเอาใจสตรี ทั้งยังเผด็จการและไม่เคยรักใคร พอรู้ว่าต้องมีฮูหยินเป็นตัวตน เขาแทบทำให้จวนจิ่งแตกด้วยเกรงจะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคืนแรกในการเข้าหอไม่ได้ รวมถึงการเตรียมเรือนไป๋เหลียนฮวาไว้รอรับพี่สะใภ้”เนี่ยหยวนซูคิดทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปด้วย แน่นอนนางสั่งให้คนมาขยายเรือนดังกล่าว พร้อมโรงเรือนเก็บอาหารแห้ง และหากจิ่งหลัวคุนไม่อนุญาตหรืออำนวยความสะดวก เรื่องนี้ย่อมไม่อาจสำเร็จลงโดยง
เนี่ยหยวนซูย่อมตระหนักได้ถึงความไม่ปลอดภัยของบิดา ในขณะที่นางกำลังค่อนข้างเครียดและกดดันอยู่นั้น จิ่งหลัวคุนก็ส่งแมวหางกุดของเขามาคอยรับใช้หญิงสาว แต่นางยังไม่ไว้ใจอีกฝ่ายจึงให้เขารอด้านนอก จากนั้นก็สั่งคนให้คุมกันพื้นที่ให้แน่นหนา ตรวจสอบห้ามไม่ให้คนแปลกหน้ามาเพ่นพ่าน ส่วนคนที่จะเข้างานเลี้ยงคืนนี้ให้ลงนาม และสั่งให้รอบคอบในการตรวจเรื่องเทียบเชิญ หากผู้ใดไม่มีห้ามเข้าพื้นที่เด็ดขาดเมื่อเสี่ยวฉุนส่งเชามี่และอ้ายเหมยไปห้องพักเรียบร้อย นางสั่งให้คนคุมเอาไว้ ห้ามไม่ให้ทั้งคู่ออกมาเพ่นพ่านเด็ดขาด กระทั่งก้าวออกมาพื้นที่ด้านนอกจึงได้เห็นใบหน้าของเกอสวิน แม่นางน้อยกระโดดลงไปขวางทางเขาไว้ ด้วยท่าทางหาเรื่องอย่างที่สุด“ที่นี่ ไม่ต้องการแมวรับใช้ของจวนจิ่ง”“เสี่ยวฉุน เจ้าผ่อนปรนลงบ้าง ยามนี้พวกเราล้วนต้องรับมือกับคนที่มีอำนาจ และข้าอยู่ที่นี่ย่อมช่วยเหลือนายหญิงใหญ่ได้ พร้อมส่งข่าวแก่นายท่านที่ต้องรับมือจากภัยหลายด้าน”“คุณหนูของข้า มีหน่วยคุ้มกันหลายสิบชีวิต ไฉนต้องเพิ่งแรงของแมวตัวผอมและอ่อนหัด”เกอสวินแยกเขี้ยวขู่ ตอนนั้นเองที่เสี่ยวฉุนเตรียมกางเล็บแล้วพุ่งไปข่วนหน้าตาที่ยียวนของอีกฝ่าย
เมื่อเนี่ยหยวนซูรู้ว่าบิดายังไม่กลับเข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ย อีกทั้งให้คนออกไปตามข่าวจึงทราบว่า เขาถูกกักบริเวณไว้นอกเมือง ยามนี้มีกองกำลังทหารของลู่ไป๋อี้ล้อมอยู่ และสถานการณ์ในเมืองหลวงเป่ยตู แม้ดูปกติอย่างที่สุด หากเนี่ยหยวนซูไม่สบายใจสักนิด นางอยากยกเลิกงานเลี้ยงคืนนี้เสีย แต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ง่าย ๆ เพราะหู่ฮาวเทียนส่งของบางส่วนมาที่งานเลี้ยง นอกจากนั้นยังมีนางกำนัลของฮองเฮาแจ้งข่าวว่าฮองเฮาจะเข้าร่วมงานด้วย โดยที่ไม่ต้องมีพิธีการใด ๆ วุ่นวาย ให้ปฏิบัติต่อนางอย่างสามัญชนซึ่งในขณะที่ตรวจสอบของว่างและน้ำชา รวมถึงลำดับการแสดงอยู่นั้น เนี่ยหยวนซูต้องข่มกลั้นอารมณ์อย่างลำบาก เนื่องจากจู่ ๆ เชามี่ก็ปรากฏตัวตรงหน้าประตูใหญ่อันเป็นสถานที่รับรองแขกแรกเริ่มคนคุ้มกันเนี่ยหยวนซูไม่ให้เชามี่เข้ามาถึงด้านใน ทว่าอ้ายเหมยกลับคุกเข่าลงบนพื้น และถึงขั้นบ้าบิ่นด้วยการโขกศีรษะไปหลายหน จนได้แผลน่ากลัว เลือดนางไหลออกมาจนเปรอะไปทั่ว ขณะเดียวกันเชามี่ก็ร้องเสียงดังเรียกให้ผู้อื่นมามุงดูเหตุการณ์ดังกล่าว เนี่ยหยวนซูไม่อยากสนใจ กระนั้นเมื่อคิดให้ดี นางเชื่อว่าตนรับมืออนุของสามีได้“คารวะนายหญิงใหญ่...”ราว ๆ
บรรยากาศในห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยความกดดันอย่างมหาศาล ของว่างชั้นดีถูกจัดเตรียมไว้ สุราก็มีให้ดื่ม น้ำชาอุ่นอยู่ตลอด ทั้งกำยานถูกจุดช่วยให้ผ่อนคลาย ทว่าหลังจากที่ทั้งหมดต้องมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ร่วมสามชั่วยามโดยไม่ได้ล่วงรู้เรื่องใดไปมากกว่า ‘คำสั่งบอกให้รอ’ ซึ่งส่งผลให้พวกเขาต่างขบคิดหนัก และพยายามหาทางส่งข่าวให้คนของตน แต่เมื่อปิดประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา ดังนั้นยามนี้จึงไม่ต่างจากการปิดประตูตีแมวเนี่ยข่ายไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงถูกเรียกมาที่เรือนรับรองนอกเมืองหลวงตั้งแต่เช้ามืด คราแรกเขาแจ้งกลับไปว่าสะสางภารกิจยังไม่สำเร็จ ทว่าขันทีคนสนิทของฮ่องเต้มาด้วยตัวเองพร้อมราชโองการให้รีบไปตามจุดนัดหมายโดยด่วน และไม่ได้มีเพียงเขา หากคหบดีทั้งขุนนางหลายคนที่เกี่ยวกับกองคลัง กองพิธีการและฝ่ายภูษาล้วนถูกเรียกตัวมาทั้งหมด “ท่านพ่อ...มีเรื่องใดถึงต้องเดินทางตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้”เนี่ยหยวนซูก็นอนไม่ใคร่จะหลับ ด้วยตื่นเต้นสำหรับงานที่จะเกิดขึ้น เมื่อก้าวออกจากเรือน นางก็ได้รับรายงานจากเสี่ยวฉุนว่าบิดาได้รับราชโองการให้เดินทางไปกับรถม้าของฝ่ายใน ทั้งมีทหารกับขันทีมารออยู่ที่หน้าประตูใหญ่นับสิบคน“ซู
เมื่อสามีภรรยาได้อยู่กันสองต่อสองภายในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง จิ่งหลัวคุนก็ยิ้มกว้าง และเนี่ยหยวนซูสังเกตได้ว่ารอยยิ้มกับดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนกระนั้นแทนที่จะดีใจ เนี่ยหยวนซูกลับต้องระวังตัว ด้วยโลกที่นางโผล่เข้ามา ชีวิตลิขิตไว้เช่นไรนางย่อมรู้ดี และต้องหาวิธีเปลี่ยนมัน ทว่าสิ่งที่เนี่ยหยวนซูอยากไขว่คว้าในตอนนี้คือตักตวงความสุขให้ได้มากที่สุดเมื่อจิ่งหลัวคุนมีความสุข นางก็ชั่งน้ำหน้าอยู่สักหน่อย เลยเบ้ปากให้อีกฝ่าย และนั่นก็ทำให้จิ่งหลัวคุนคึกจัด ผู้ชายคนนี้มีมุมพิลึก ทั้งบ้าบออย่างไม่น่าเชื่อ“แม่ทัพจิ่ง ท่านสูบกัญชาหรือเคี้ยวใบกระท่อมก่อนมาพบข้าหรือไม่!”จิ่งหลัวคุนหัวเราะพรืดใหญ่ “อาซู เจ้าจะหาว่าสามีอารมณ์แจ่มใส เป็นเพราะ ‘พลังใบ’ หรอกหรือ”“ฮึ ก็สิ่งที่ข้าประจักษ์ด้วยสองตางาม ๆ ย่อมเป็นเยี่ยงนั้น”“ภรรยายอดรัก เจ้าล้อสามีเล่นแล้ว”ดูเอาเถิด นี่ยิ่งกว่าเจอผีทั้งป่าช้ากลางวันแสก ๆ จิ่งหลัวคุนกำลังประสาทกลับ พูดหนึ่งคำแล้วยิ้ม ยิ้มแล้วหัวเราะ การแสดงของเขาช่างน่าทึ่งโดยแท้“ไม่อย่างนั้น คงเป็นเพราะคุณชายสามสอนตำราการละครให้ท่านใช่หรือไม่ ถึงได้เป็นเช่
ปกติแล้วพื้นฐานนิสัยของหู่ฮาวเทียน ไฉนเขาจะจึงต้องคอยตามตอแยหรือตามก้นสตรี หากเขามีเหตุผลสำคัญที่คนผู้หนึ่งมอบหมาย นอกจากนั้นเมื่ออยู่ใกล้นางก็ต้องยอมรับว่า มันชุ่มชื่นหัวใจด้วยเนี่ยหยวนซูงดงามหยาดฟ้า มีเสน่ห์ในแบบที่เขาไม่เคยใกล้ชิดสตรีนางใดมาก่อน นางไม่ใช่หญิงสาวอ่อนหวาน ไม่ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเร่าร้อนเฉกเช่นนางโลม แต่คือความเข้มแข็ง ความแกร่ง ทั้งยังฉลาด สามารถโต้ตอบบุรุษได้ด้วยสติปัญญา สตรีเช่นนี้สมควรเป็นยอดหญิงแห่งยุค“ซือหม่าหู่...ท่านมิใช่คนเฉิงโจว ไฉนถึงได้รอบรู้ไปเสียทุกสิ่งอย่างในแผ่นดินนี้ และการพยายามเหลือเกินที่จะเอาอกเอาใจข้า มองอย่างไรก็มีสิ่งที่น่าสงสัย ปิ่นทองที่มีพลอยโลหิต คือน้ำใจที่ท่านมอบให้ ข้าเก็บไว้แล้ว ดังนั้นอย่าพยายามยัดเยียดสิ่งอื่นอีกเลย”“ฮูหยินจิ่ง...”กล่าวกันตามตรง คำที่เขาเรียกนางบั่นทอนจิตใจมิน้อย เนี่ยหยวนซูในโลกนี้ยังเยาว์วัย แต่หู่ฮาวเทียนแสร้งเล่นละครให้นางเป็นสตรีของจิ่งหลัวคุน พร้อมหาทางป้ายความผิดให้นางเป็นหญิงที่สวมหมวกเขียวให้สามี เรื่องนี้ไฉนนางจะไม่ล่วงรู้ เขามีแผนการร้ายและเป็นบุรุษที่ประเมินแล้วคบเพื่อผลประโยชน์ได้ ทว่าอย่าได้คิดผิดใจกับเ
ฝานเหอเข้าใจคำพูดของเนี่ยหยวนซู และนางไม่อยากรื้อฟื้นหลายสิ่งก่อนหน้านี้ ด้วยจำภาพในคืนที่คุณหนูของตนเพ้อหนักได้อาการดังกล่าวนับว่าน่ากลัวยิ่งนัก ดวงตาหญิงสาวเหลือกค้าง สองมือหงิกงอ ก่อนที่ร่างจะสั่นเทารุนแรงราวกับถูกความชั่วร้ายเข้าสิงสู่ หากพอรุ่งเช้าวันใหม่อาการไข้ของเนี่ยหยวนซูลดลง และคำแรกที่นางถามก็คือ“ฝานเหอ เสี่ยวฉุน พะ...พวกเจ้าตามเก็บกระดูกของข้าครบทุกชิ้นส่วนหรือไม่!”ยามนั้นหนึ่งแม่นมและหนึ่งสาวใช้รุ่นเล็กต่างอกสั่นขวัญแขวน มีเรื่องน่ากลัวอันใดถึงเพียงนั้น“กะ...กระดูกอันใดหรือเจ้าคะคุณหนู”เนี่ยหยวนซูทำเสียงหึ ๆ ๆ ในลำคอ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหี้ยม สีหน้าสีตาก็แตกต่างจากที่เคยเห็น ทั้งที่นางคือเด็กสาวอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปีด้วยซ้ำ“พวกมันเลาะกระดูกข้าออกจากเนื้อหนัง ส่วนวิญญาณถูก...คนผู้นั้นสะกดไว้ เพื่อชาตินี้และชาติหน้า ข้าจะไม่อาจหนีไปจากเขา!” น้ำเสียงเนี่ยหยวนซู เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ดวงตากลมโตซึ่งเคยงดงามแดงก่ำ นั่นคือครั้งแรกที่ฝานเหอได้สัมผัสน้ำเสียงและพลังลึกลับบางอย่างจากเนี่ยหยวนซู ราวกับวิญญาณคุณหนูที่นางเคยรู้จักและเลี้ยงดูมาสิบกว่าปีหลุดลอยออกไปจากร่างกายอร
“แม่นมฝาน ที่แม่ทัพจิ่งกล่าววันนั้น หมายความเช่นไร ข้ายังสงสัยจนนอนไม่หลับ”“เจ้าหมายถึงขี้ผึ้งเย็นตลับนั้น ตัวปัญหาที่ทำให้มัจจุราชเดินดินโมโหจนแทบกระอักเลือด?!”“ใช่ เขามองมาที่ข้า แล้วถามย้ำจนตอนนี้ยังขนลุกมิหาย สายตาเขาเอาแต่จ้องตลับยาที่คุณหนูได้รับจากคุณชายโจว จะว่าไปดูเหมือนของล้ำค่าที่หายาก แล้วเหตุใดฝ่ายนั้นถึงมอบแก่คุณหนู”“ผู้อื่นมีน้ำใจหาใช่เรื่องต้องสงสัย อีกอย่างคุณหนูงดงามจนบุปผายังอายคุณชายโจวคงต้องการให้ความช่วยเหลือ ส่วนตัวเจ้านั้นเป็นหนูนักสำรวจ ทั้งยังถูกเกอสวินไล่กวดตลอด หากจะเคล็ดขัดยอกตามร่างกายบ้างก็ไม่เห็นแปลก การที่แม่ทัพจิ่งมองตลับยาดังกล่าวเพราะเขาช่างสังเกต อีกอย่างบุรุษผู้นี้เผด็จการก็จริง แต่มากกว่านั้นคือชอบหึงหวง และชอบตอแยคุณหนูเก่งเป็นที่หนึ่ง”“เอ...หรือแท้จริงแล้ว แม่ทัพจิ่งล่วงรู้ว่าคนที่ใช้ขี้ผึ้งไอเย็นเป็นคุณหนูมิใช่ข้า และยังมีบุรุษหล่อเหลามอบให้ไว้”เสี่ยวฉุนกล่าวเช่นนั้น เนี่ยหยวนซูก็นึกถึงดวงตาคม ๆ ของจิ่งหลัวคุน และคำถามของเขา ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะแยกตัวจากไป ในวันที่นางกับเขานัดพบกันที่อารามเชิงเขา “ดูเหมือนหนูน้อยตัวจิ๋วของอาซูคงพลัดตกหลังค