เกือบสามวันแล้วจิ่งหลัวคุนไม่ได้กลับเข้าจวนแม่ทัพ เขาออกไปนอกเมือง ตั้งใจตรวจสอบเรื่องจัดเตรียมเสบียงและเรือสำหรับใช้ลาดตระเวนทางน้ำ รวมถึงเสื้อเกราะแบบใหม่เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเรื่องสนิม
แต่ก่อนออกจากจวนจิ่ง เขาพบเรื่องปวดหัวจากน้องชายคนเล็ก ฝ่ายนั้นพยายามเหลือเกินที่จะให้เขาไปชมการแสดงละครที่หอลำนำรัก ซึ่งจิ่งป๋อได้ทุนจากมารดาเปิดกิจการใหญ่โต แต่เกือบสองปีแล้วที่ขาดทุนเรื่อยมา
“พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่านให้ช่วยพิจารณาเรื่องนี้ด้วยเถิด กำหนดการคือเดือนหน้า อย่างไรท่านต้องเป็นคนเปิดป้ายละครเรื่องใหม่ของข้า อีกอย่างตอนนี้มีเรื่องที่ชวนให้ข้ากลุ้มใจ ขุนนางจากวังหลวงที่มาใหม่ พวกของซือหม่าหู่ (หู่ฮาวเทียน) วางอำนาจเหลือเกิน อ้างว่าจะเก็บอากรเพิ่ม แต่พี่ตรองดูให้ดีเถิด หอของข้าไม่คิดหากำไรสักนิด ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้คณะละครกับนักแสดงข้างถนน มีสถานที่เล่นปาหี่อย่างถูกกฎหมาย ไม่ต้องไปตั้งแผงตามท้องถนนให้เกะเกะ อีกอย่างพวกขอทานเด็กก็มีงานทำด้วย”
“เฮ้อ แต่ที่ข้าเห็น เจ้ารักแต่จะเล่นสนุก ยามนี้มีจวนแม่ทัพใดในแคว้นเฉิงโจวบ้างที่ปล่อยให้บุรุษอกสามศอกร้องรำทำเพลงทั้งวัน และยังแต่งตัว วาดสีหน้าราวกับนายโลม!”
จิ่งป๋อหน้างอง้ำ เขานับว่าเป็นชายงามผู้หนึ่ง และอาจล่มเมืองกว่าสตรีในแคว้นนี้เสียด้วย “ทั้งหมดที่ข้าทำไป เพราะส่งเสริมพี่ใหญ่ คิดดู ตั้งแต่มีข่าวสมรสพระราชทาน ทั่วทั้งเมืองหลวงผู้คนซุบซิบกันว่า พี่ใหญ่กำลังจะเกาะชายกระโปรงของพี่สะใภ้ร้อยเล่ห์ แล้วสกุลเนี่ยก็เขี้ยวลากดินเหลือเกิน ปล่อยลูกสาวมาแต่งเข้าจวนจิ่งก็จริง แต่ไฉนจะไม่นำพาไส้ศึกเข้ามาสืบเรื่องต่าง ๆ ในจวนของเรา เช่นนี้ข้าผู้รักพี่ใหญ่ จำต้องทำชื่อเสียงของตนให้ฉ่าวโฉ่ เพื่อกลบข่าวเสียหายของท่านทั้งหมด”
จิ่งหลัวคุนเลิกคิ้วทั้งสองข้าง เรื่องนี้เขาไม่ใช่ไก่อ่อน เหตุใดจะมองไม่ออกถึงวัตถุประสงค์ของจิ้งจอกเฒ่าเนี่ยข่าย ที่ยินยอมให้ลูกสาวคนเดียวแต่งเข้าสกุลจิ่ง นั่นคงเป็นเพราะหาเหตุผลค้าขายกับกองทัพ และหลบเลี่ยงการถูกเพ่งเล็งจากขุนนางอื่น ที่จ้องหาผลประโยชน์จากพวกพ่อค้า ดังนั้นตำแหน่งแม่ทัพของเขาจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดี
“เรื่องของอาซู อย่าได้ใส่ใจให้มาก ปล่อยนางไว้ที่เรือน พอเบื่อคงหาเรื่องกลับสกุลของตนไปเอง”
“เอ พี่ใหญ่ ท่านกับนางเป็นสามีภรรยากัน กล่าวเช่นนั้นถูกต้องหรือ” จิ่งป๋อถามและมองใบหน้าพี่ชาย ด้วยมีริ้วรอยถูกทำร้ายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจมูก คิ้วข้างหนึ่งเป็นแผล มีรอยแดงบริเวณลำคอหลายแห่งเห็นได้ชัดว่าเป็นรอยถูกข่วนด้วยเล็บ จิ่งป๋อคาดเดาได้ว่าเขาคงโดนสตรีแซ่เนี่ยเล่นงานอย่างหนัก นางจิ้งจอกเก้าหางนั่นร้ายเหลือแสน
“มิได้ เมื่อคืนคนทั้งจวนได้ยินเสียงนางร้องโหยหวนราวกับแม่หมูถูกเชือด และเอาเถิด พอพบหน้าพี่ใหญ่ก็ฟ้องว่าไม่ได้มีความสุขสักนิด แล้วจะให้น้องชายเช่นข้าที่รักและเทิดทูนพี่ใหญ่นิ่งนอนใจได้หรือ”
“ฮึ...ถึงข้าจะเมาหนัก แต่หูไม่ได้ตึง เมื่อคืนหมาแมวที่ไหนมันร้องทั้งคืนที่เรือนไป๋เหลียนฮวา ไม่ใช่เพราะพวกมันคอยคาบข่าวต่าง ๆ มาให้เจ้าฟังหรอกหรืออาป๋อ”
ได้ยินเช่นนั้น แต่จิ่งป๋อเลยทำหน้าใสซื่อ และได้ผลทุกครั้งกับพี่ชาย เพราะเขาอายุห่างจากจิ่งหลัวคุนหลายปี อีกทั้งพี่ชายคนนี้รักและเอ็นดูเขายิ่งกว่าใคร มิหนำซ้ำเมื่อครั้งเป็นเด็กแบเบาะ เริ่มพูดได้ จิ่งป๋อเรียกอีกฝ่ายอย่างประจบว่า ‘ท่านพ่อเล็ก!’
“โอ้ หลังจากมอมสุราหมักท่าน เฮ้ย...หลังจากดื่มสุรายินดีกับพี่ใหญ่ที่ได้แต่งงาน เด็ก ๆ ก็หามข้าไปเรือนของตน ไฉนจะรู้เห็นสิ่งใดอีก”
“ให้มันจริงตามที่เจ้าพูด”
“พี่ใหญ่ น้องเล็กของพี่เคยโกหกตั้งแต่เมื่อใด อีกอย่าง อนุของพี่ใหญ่ ก็เป็นข้าที่คอยกำราบพวกนางไม่ให้แตกแถว มิเช่นนั้นป่านนี้คงมาตีโพยตีพาย ร้องขอความเมตตาจากท่าน เพื่อให้ไปฝังแท่งหยกเข้ากลีบของนางบ้าง!”
จิ่งหลัวคุนเกือบยกเท้าถีบน้องชายที่ใช้วาจาหยาบคาย แต่เมื่อมองอีกฝ่ายก็เห็นเป็นเพียงเด็กน้อยไม่เปลี่ยน “อาป๋อ...สิ่งใดที่เจ้าทำได้ดีอยู่แล้ว จงทำต่อไป แต่หากว่าก้าวก่ายเรื่องของข้ามากนัก รู้ใช่ไหมว่าจวนจิ่งจะไม่มีที่ให้เจ้าซุกหัวนอน”
จิ่งป๋อหน้าซีดสลดและไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดอีก กระนั้นก็อดมองหน้าพี่ชายคนโตไม่ได้ แผลเยอะขนาดนั้น ให้ตายเถอะ เขายังกล้าออกไปอวดโฉมให้ผู้อื่นเห็นอีกหรือ!
สามวันผ่านไป
เรือนไป๋เหลียนฮวากำลังพบเรื่องน่าหงุดหงิดอย่างที่สุด เนื่องจากคนรับใช้จากเรือนหลักซึ่งถูกส่งตัวมานั้นเป็นลมไปหลายคน บ้างก็อ่อนแรง ทำงานไม่ได้ ดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
ทว่าสำหรับเนี่ยหยวนซูหาได้มีสิ่งเดือดร้อนใจ แม้สาวใช้และบ่าวที่ถูกส่งให้นางเป็นฝ่ายไท่ฮูหยินคัดตัวมาให้ ทว่าทั้งหมดไม่ได้เข้ามาใกล้ชิด จะมีแต่ฝานเหอกับเสี่ยวฉุนที่อยู่ห้องด้านใน ตอนนี้ทั้งคู่บ่นไม่หยุดถึงความเอาเปรียบ และการทำเรื่องไม่สมควรกับบุตรีสกุลเนี่ย ทั้งที่เงินทองของจวนจิ่งในตอนนี้ได้สกุลเนี่ยจุนเจือ
“สามวันแล้วนะเจ้าคะ นอกจากโจ๊กจืดชืดและผลไม้ ก็ไม่มีสิ่งใดส่งมาจากครัวหลักเลยเจ้าค่ะคุณหนู”
“หมายถึง...” เนี่ยหยวนซูถามอย่างรำคาญ ยามนี้นางนั่งสบาย ๆ อยู่บนม้าโยก อ่านตำราสัปดนของคนในยุคสมัยนั้น
“ก็อาหารหลัก ขนมหวาน ของกินเล่น หรือแม้แต่ผ้าแพรที่เราควรได้ ล้วนไม่ถูกแจกจ่าย”
“พวกเขาให้เหตุผลหรือไม่” เนี่ยหยวนซูถามเสี่ยวฉุน
“คือ บ่าวที่ไปรับของจากครัวหลักแจ้งว่า ช่วงนี้ไท่ฮูหยินถือศีลกินแต่ผลไม้ ส่วนเรือนอื่นต่างปรุงอาหารเอง ดังนั้นครัวกลางจึงไม่ได้ทำสิ่งใด” เสี่ยวฉุนตอบ
“น่าขัน...และนี่คงไม่ได้หมายความว่าสกุลจิ่งกำลังอยากรับน้องฮูหยินใหญ่คนนี้หรอกนะ”
“รับน้อง!” เสี่ยวฉุนถามอย่างสงสัย
“หมายความว่า พวกเขาคงอยากลองดีกับข้าและคิดอย่างตื้นเขินว่า ข้าคงอดตายอยู่ในเรือนไป๋เหลียนฮวากระมัง”
“คุณหนูจะทำเช่นไรดี ส่งจดหมายไปให้เจ้าบ้านเนี่ยดีหรือไม่เจ้าคะ เช่นนี้ ถือว่าเป็นการลบหลู่เกียรติของเรา” ฝานเหอกล่าว และนางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“เหลวไหล...แม่นมฝานใจเย็นลงบ้าง เรื่องนี้ข้าจะบันทึกเอาไว้ในบัญชีหนังหมาดำ เดี๋ยวถึงเวลาเมื่อใดก็ชำระความทีเดียว ส่วนอาหารของข้า เราคงไม่อดตายหรอก ข้าวของที่เตรียมไว้มีมากพอกินอิ่มไปเกือบปี ถูกต้องหรือไม่”
ฝานเหอลอบถอนหายใจเบา ๆ สิ่งที่เนี่ยหยวนซูกล่าวถูกต้อง
“ถึงเราจะมีพร้อมทุกสิ่งอย่าง แต่เรื่องนี้คุณหนูจะยอมไม่ได้ ในภายหน้า กุญแจทุกดอกของจวนจิ่ง คุณหนูต้องนำมาถือไว้ ไม่ใช่ให้ยายแก่หนังเหี่ยวคนใดครอบครอง”
“แม่นมฝาน ดูเหมือนเจ้าจะเอานิสัยและคำพูดข้าไปใช้มากไปหน่อยแล้วนะ” เมื่อเนี่ยหยวนซูปราม ฝานเหอจึงยิ้มแหยและยอบตัวเตรียมไปจัดหาของว่างให้แก่หญิงสาว
ซึ่งก่อนหน้านั้นเนี่ยหยวนซูรู้ว่าตนต้องแต่งงานกับจิ่งหลัวคุน ชะตากรรมนี้นางมิอาจเลี่ยง จึงต้องรับมือให้ดีและเตรียมตัวให้พร้อม ดังนั้นการอยู่ในจวนจิ่ง ก่อนได้รับหนังสือหย่าร้างโดยถูกต้องและเป็นการพร้อมใจทั้งสองฝ่าย นางสมควรอยู่ดีกินดีในเรือนไป๋เหลียนฮวานับแต่กลายเป็นวิญญาณแล้วอาศัยร่างไซซีที่งามพร้อม ทั้งยังเป็นลูกสาวเจ้าบ้านเนี่ย หญิงสาวก็ได้วางแผนอย่างรัดกุม จัดอาหารยารักษาโรคใส่หีบต่าง ๆ ไว้พร้อม และส่งช่างฝีมือเข้ามาตรวจสอบเรือนหอ และขอให้บิดาออกหน้าคุยกับจิ่งหลัวคุนเพื่อขยายพื้นที่ด้านหลังให้เป็นโรงเก็บวัตถุต่าง ๆ กับโรงครัว มีห้องน้ำแบบใหม่ที่นางออกแบบเองด้วย ถึงสร้างความไม่พอใจให้คนในจวนจิ่ง แต่เจ้าบ้านเนี่ยผู้มีคนหนุนหลังมากมาย เมื่อเขาอยากให้ลูกสาวคนเดียวมีความสุข ดังนั้นแม้แต่ไท่ฮูหยินก็ไม่กล้ายื่นปากเข้ามาแส่“ซูเอ๋อร์...หากต้องการสิ่งใด แค่ให้บ่าวไปส่งข่าวถึงร้านค้าพันธมิตรของเรา ไม่เกินช่วงเวลาครึ่งก้านธูปดับ พ่อบ้านก็จะนำทุกอย่างมากองตรงเท้าเจ้าแล้ว” เนี่ยหยวนซูยิ้มกว้าง นางโชคดีเหลือเกิน การได้อยู่ในร่างนี้มีบิดาที่รักและเอาอกเอาใจ ทว่าฟ้าไม่ได้ลิขิตให้เนี่ยข่ายอายุยืน
เรือนไผ่หยกเชามี่ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น นางจิ้งจอกเนี่ยหยวนซูจากเรือนไป๋เหลียนฮวากล้าส่งสาวใช้และบ่าวที่ถูกคัดตัวไปโดยเป็นคำสั่งไท่ฮูหยินกลับเรือนเดิมที่เคยอยู่ยามนี้นางแต่งออกจากสกุลเนี่ยแล้ว ดังนั้นกฎของจวนจิ่งคือสิ่งที่นางต้องทำตาม“โง่ เหตุใดถึงไม่ยืนยันที่จะอยู่เป็นหูเป็นตาให้ข้า” เชามี่ตวาดใส่สาวใช้ของตนที่หวังให้เป็นสายลับสืบสิ่งต่าง ๆ“นายหญิงเชา สตรีผู้นั้นเป็นพวกนางกลางตลาด ปากร้าย เสียงดัง และกักขฬะเหลือเกิน นางบอกว่าหากใครที่อยู่เรือนไป๋เหลียนฮวา นางจะให้อดข้าวเป็นเวลาเจ็ดวัน และทำงานขนมูลกับคอยนำน้ำถ่ายเบาของนางไปรดแปลงผัก แต่หากใครยอมกลับเรือนของตนจะได้กินของดี และยังได้ส่วนแบ่งเป็นเนื้อหมู เนื้อกวางตากแห้งติดมือกลับมาด้วย”สาวใช้นามว่า อ้ายเหมย มองอนุคนโปรดของจิ่งหลัวคุน นางมาจากสกุลขุนนางเก่า บิดาเป็นถึงอดีตรองเจ้ากรมฝ่ายพิธีการ การมาอยู่ที่นี่ใครก็มองออกว่าหวังใช้เส้นสายของแม่ทัพหนุ่มเป็นใบเบิกทางให้สกุลเชากลับมามีหน้ามีตา และช่วยเหลือในงานราชการให้ไม่ต้องมีสิ่งใดติดขัดเชามี่ถลึงตาใส่สาวใช้ก่อนโยนพัดในมือใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความฉุนเฉียว“เจ้าเห็นแก่ของกินเช่นนั้
พอนางเห็นว่าซ่งหยูชุนมองกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ หญิงสาวจึงเอ่ยว่า“ท่านแม่ ลูกสะใภ้เพียงแต่อยากปรนนิบัติท่าน เช้าวันแรกหลังจากเข้าหอกับท่านแม่ทัพร่างกายข้าไม่อำนวยให้เดินเหิน แล้วสองสามวันต่อมา บ่าวและสาวใช้ที่ท่านช่วยจัดแจงส่งไปยังเรือนหลังเล็ก ๆ ของข้า มีจำนวนมากเหลือเกิน กว่าจะคัดเลือกคนที่เหมาะสม แล้วที่เหลือก็ส่งคืนให้พ่อบ้าน ต้องใช้เวลาจนล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ดูเอาเถิด ลูกสะใภ้ก็เหมือนนกหลงทางที่มาอาศัยจวนจิ่งอันยิ่งใหญ่ หลบฝนหลบแดด แต่กว่าจะมีโอกาสทำดีเพื่อท่านแม่ เวลาล่วงผ่านมาจนยามสายวันนี้”คำพูดเนี่ยหยวนซูทำให้ทั้งแม่และลูกชายอึ้ง ฝ่ายจิ่งป๋อมองหญิงสาวคนนี้ อายุนางไล่เลี่ยเขาแต่ฝีปากไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นการแสดงงิ้วชั้นเยี่ยมได้เลย“พี่สะใภ้ ท่านช่างเจรจายิ่ง พี่ใหญ่ข้าคงไม่เหงา!”จิ่งป๋อผู้อยู่ฝ่ายมารดา เขาเป็นผู้ชายหน้าเปื้อนยิ้มเสมอและหน้าตาดี ซึ่งกระเดียดไปทางงามแบบบุรุษล่มเมือง ผิดแต่ไม่ชอบงานด้านบู๊ ส่วนด้านบุ๋นก็ไร้ทักษะ แต่หากให้ร้องรำทำเพลงหรือวาดภาพ เขานับว่าเลื่องชื่อทีเดียว“โอ้ คุณชายสาม ตัวข้าอย่างที่บอก ต้องพึ่งทุกคนในจวนจิ่งอีกนาน แค่ปรุงน้ำแกงเช่นนี้นับว่าเล
ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหน้าสวนหินทางทิศเหนือของจวนจิ่ง แม้ยังไม่เข้ามาถึงด้านใน แต่เสียงร้องเพลงและเสียงหัวเราะดังมาถึงด้านนอกเมื่อสืบเท้าเข้ามาอีกนิด จิ่งหลัวคุนก็คำรามเสียงฮึ่ม ๆ ยามนี้ จวนจิ่งกลายเป็นโรงละครในตรอกชั้นต่ำแล้วหรือไรสตรีผู้นั้นกำลังร้องรำทำเพลง และยังมีสาวใช้กับแม่นมของนาง โดยคนหนึ่งเป่าขลุ่ย อีกคนตีกลองหนังวัวสองหน้า อันเป็นเครื่องดนตรีของชาวเผ่าทะเลทราย เสียงร้องเพลงเนี่ยหยวยซู แม้เพราะพริ้งแต่เนื้อหาเพลงฟังอย่างไรก็แจ้งชัดว่านางจงใจกระทบกระเทียบถึงเขาแม้ตัวข้าเป็นหญิงม่าย ยังไม่น่าอับอาย เท่ากับถูกสามีชั่วร้ายข่มเหงผู้ชายขี้เหล้าแสนเผด็จการ วัน ๆ เอาแต่อวดเบ่งคิดว่า ตัวเองเก่งทั้งที่โง่ดั่งลาสตรีเช่นข้าเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ยืนด้วยลำแข้งงาม ๆ ผู้ใดอย่าได้มาหยาม มิฉะนั้น แม่จะตัดหางปล่อยวัด ให้ร้องเอ๋ง ๆ สวรรค์โปรดเมตตา ให้หญิงม่ายคนงาม อย่าได้มีลูกผัวกวนใจชาตินี้ ข้าเกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่ ไม่มีสามีก็ลืมตาอ้าปากได้ด้วยหนึ่งสมอง และสองมือ สองบาทา...และที่ทำให้เขาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าหนักกว่านั้น คือจิ่งป๋อที่ยามนี้สวมชุดงิ้วกับเครื่องประดับหัวร่ายรำเอวอ่อน และข้าง
“อยู่ในบ้าน ไม่มีแม่ทัพ ข้าก็แค่บุรุษผู้หนึ่งที่ร่วมเตียงกับเจ้า คือสามี เป็นผู้ชายที่เจ้าสมควรเคารพ!” คำพูดเขาเผ็ดร้อนเหลือเกิน และเนี่ยหยวนซูหน้าแดงทั้งตัวสั่น หนึ่งคือนางโกรธ สองนางเจ็บทั้งข้อมือและปวดหนึบตรงหัวใจ“ใช่ ข้ากับท่านร่วมเตียงกันแล้ว คือสามีภรรยาที่ตบแต่งตามสมรสพระราชทาน”“ฮึ อย่าเล่นลิ้น บอกมา เหตุใด ถึงวางยาแม่เล็กกับเจ้าสาม”“ท่านแม่ทัพ...มีหลักฐาน หรือพยานอันใดงั้นรึ ถึงเสียงแข็งปรักปรำข้า ราวกับจะเอาผิดให้ได้”“ฮึ ข้าไม่ได้ตาบอด ยามนี้พวกเขาล้วนเหมือนคนต้องพิษ มิต่างจากข้าในคืนเข้าหอ”“เอ ท่านแม่ทัพยอมรับแล้วสินะว่าถูกวางยา ไม่ใช่แค่อาการเมาเหล้า”เนี่ยหยวนซูรุกเขากลับ“อย่าเฉไฉโยงเรื่องอื่น จงรีบเอายาถอนพิษออกมาแก้ไขเรื่องนี้เสีย”“โอ้ ท่านชอบล้อข้าเล่นจริงเชียว เมื่อไม่มียาพิษไฉนจะมียาถอนพิษเล่า”ฝ่ายเชามี่ที่ได้รับการพยุงตัวขึ้นโดยอ้ายเหมย นางก้าวกะเผลก ๆ มายืนข้างจิ่งหลัวคุน คราวแรกอยากออเซาะเรียกร้องความสนใจ แต่คนตัวโตรักษาท่าที พร้อมส่งสายตาให้เกอสวิน กันนางห่างจากเขา“ขอให้ผู้น้อยอนุภรรยาอยู่ตรงนี้ด้วยเถิดท่านแม่ทัพ เพราะข้าจะเป็นผู้กระชากหน้ากากนางจิ้งจอกเก
จิ่งหลัวคุนแบกเนี่ยหยวนซูขึ้นสะพานหินโค้ง ยามนั้นสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก ฟ้าที่ดูเหมือนไร้เมฆหนาทึบพลันมีก้อนสีดำทะมึนปรากฏให้เห็น สายลมพัดแรงหอบกลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้ากระทบร่างเนี่ยหยวนซู“ปล่อยเดี๋ยวนี้ ข้าเดินเองได้”“แต่ข้าพาเจ้าเดินย่อมดีกว่า!”คนตัวโตบอกและยังทำเสียงขรึม ติดจะโหดและดุดันเช่นเดิม“ไฉนข้าต้องเชื่อฟังท่าน เมื่อมิใช่ทหารหรือลูกน้อง แม้แต่เป็นสตรีที่มีป้ายแขวนคอในค่ายทหาร”น้ำเสียงนางดังสูง ๆ ต่ำ ๆ คำพูดก็เสียดแทงหัวใจเขา“หาญกล้าแต่งเข้าจวนจิ่ง ย่อมเป็นคนของสกุลจิ่ง ดังนั้นสมควรได้รับการอบรมจากหลัวคุน”“คนเผด็จการ!”ชายหนุ่มหยุดสืบเท้าไปเบื้องหน้า เสียงเขาดังกังวาน ชวนให้นางขนลุกโดยแท้ “สามเชื่อฟัง สี่จรรยา...เรื่องนี้ เจ้าเคยล่วงรู้หรือไม่ หากไม่เคยร่ำเรียน ข้าย่อมต้องสอนให้จดจำ ต่อไปจะได้ไม่แสดงความโง่เขลาจนข้าต้องขายหน้าผู้อื่น!”“เมื่อก่อน ข้าไม่คิดว่าต้องเป็นภรรยาของใคร การแต่งเข้าจวนจิ่ง เพราะเป็นประสงค์ของไทเฮากับฮ่องเต้ ที่อยากช่วยกู้หน้าตาและชื่อเสียงของท่านแม่ทัพที่นับวันดิ่งลงเหวนรกให้พอจะยืนหยัดในสังคมได้!” เมื่อนางเอ่ยจบ หญิงสาวก็ใจหาย ด้วยถูกจับให้ยื
“หยวนซู เป็นเจ้าที่เริ่มก่อน เมื่อข้าอดทนไม่ไหว จึงเกิดเรื่องเช่นนี้”ยามนั้นเนี่ยหยวนซูที่อยู่ในสระน้ำกราดเกรี้ยวหนัก และนางกำลังหาทางขึ้นมาด้านบน แล้วหลบหนีเขาไปเสียแต่บังเอิญว่า นางเหยียบก้อนหินในน้ำแล้วลื่น จนเป็นเหตุให้ร่างเสียหลัก ก่อนจมหายลงไปในผิวน้ำ และยามนี้ห่าสายฝนตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว หญิงสาวหวาดกลัวจับจิต ไม่อยากตายซ้ำสองหลายสิ่งพุ่งเข้ามาในหัวคือเรื่องต่าง ๆ ที่เคยทำให้โลกเก่าก่อน แน่นอนว่า เนี่ยหยวนซูย่อมไม่ใช่หญิงสาวแสนดี นางเป็นคนสีเทา ๆ ซึ่งเลี้ยงดูตัวเองด้วยลำแข้งคู่งามนี้ หากสุดท้ายชีวิตพลิกหลายตลบกระทั่งวิญญาณหลุดออกจากร่างและมาอยู่ในโลกที่มีระยะเวลาห่างกันนับพันปีสองมือเรียวมือไขว่คว้าไปข้างหน้าสะเปะสะปะ พร้อมกันนั้นภาพดำมืดก็ทาบทับทุกอย่างจนมองไม่เห็นสิ่งใด!ร่างกายหนาวสะท้าน และการหายใจยากเหลือเกินที่จะสูดอากาศเข้าปอด ชีวิตนางจบสิ้นลงแล้วหรือ มิทันได้พบความสุข ยังไม่ได้พิสูจน์ตนเองว่าเป็นฮูหยินม่ายที่หยัดยืนอย่างกล้าแกร่ง โดยไม่ต้องอาศัยบารมีสามี นางก็ต้องจากไปอย่างน่าเศร้าฝ่ายจิ่งหลัวคุนสบถออกมาชุดใหญ่ เขาเสียสติไปแล้วแน่ ๆ เรื่องนี้ไม่ต้องสืบความใด ๆ ทั้งเป็
เนี่ยหยวนซูยิ้มหยัน โลกที่จากมานางมักมีนิสัยหน้ามืดตามัวเห็นคนหล่อแล้วมั่นใจว่าพวกเขาคงเป็นบุรุษแสนดี คือพระเอกในนิยายรัก ซึ่งมีฉากจบสมหวัง หากความจริงกลับต้องช้ำใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางไม่เคยถูกทำร้ายร่างกาย อาจมีแผลในจิตใจอยู่บ้าง ซึ่งรักษาไม่นานก็ลุกขึ้นได้ด้วยสองขาของตนทว่าเมื่ออยู่ในโลกคล้ายจีนโบราณ กลับกลายเป็นว่าถูกผู้ชายที่มีอำนาจในมือ เป็นคนสมองกลวง ทำทุกอย่างเพื่อสนองอารมณ์ร้าย ๆ ของตน นางไม่แปลกใจหรอกที่ซ่งหยูชุนและจิ่งป๋อจะมองจิ่งหลัวคุนเป็นปีศาจหรือมัจจุราช เนื่องจากเขาเป็นเช่นนี้ อำมหิตและยังมักใช้กำลังเหนือเหตุผลใด ๆ จนทั้งจวนจิ่งปั่นปวน อยู่อย่างไม่สงบสุขเมื่อเขากลับมาจากการออกศึกสงครามยามนี้นางหายจากการเพ้อ แม้ในปากจะมีกลิ่นคาวจัด นางไม่ได้สนใจ สิ่งที่อยากสะสางกับบุรุษตรงหน้าสำคัญยิ่งกว่า ร่างนางสั่นอยู่สักหน่อย ขอบตาผะผ่าวร้อน น้ำตาเอ่อคลอหน่วย ถ้าจะบอกว่านางกลัวเขา ฝันไปเสียเถอะ นางโกรธตัวเองต่างหาก ที่ยามนี้ไม่มีมีดสักเล่ม ไม่อย่างนั้นคงได้แทงที่หน้าอกข้างซ้ายเขาแล้วกดให้มันทะลุถึงหัวใจ“อาซู...ได้ยินคำถามของข้าหรือไม่...เกลียดข้าถึงเพียงนั้นหรือ...และต้องทำอย
จากนั้นกายแกร่งก็แนบกับเนื้อนุ่มนิ่มของเนี่ยหยวนซู หน้าอกอวบเบียดชิด และมือหยาบกร้านของเขาแตะสลับการเคล้นคลึงและบีบทุกสัดส่วนที่ไวต่อความรู้สึก“ทุกส่วนในร่างกายนี้ เป็นของข้า...”“ฮึ คนโลภมักต้องเสียทุกอย่าง”“อย่างไร อาซูก็ต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”“เหตุใดถึงได้มั่นใจถึงเพียงนั้น”“คนงามของข้า ทั้งใต้หล้านี้จะหาใครหล่อเหลาและมีขาที่สามซึ่งงดงาม อุ่นจัด แล้วยังตั้งตรงได้เท่าข้าย่อมไม่มี”เนี่ยหยวนซูทั้งขันและสยิวใจ อันที่จริงนางเป็นสตรีรักสนุกอยู่มาก แต่จะให้มองความแข็งขันเขาตรง ๆ ในยามนี้ ต้องยอมรับว่าขัดเขินเหลือเกิน แท่งหยกนั้น เห็นแล้วนางก็ร้อนรุ่มไปทั้งร่าง บริเวณเนื้องาม ๆ ที่ฉ่ำแฉะก็ปรารถนาให้เขาล่วงเกินโดยเร็ว!“อ๊ะ...ท่านเป็นไข้สินะ ถึงได้ตัวร้อนเช่นนี้” นางถามราวกับสตรีไร้ประสบการณ์“โถ อาซู ข้าไม่ได้ตัวร้อน ที่เจ้าสัมผัสอยู่นั่นคือน้องชายคนเล็กของข้าต่างหาก ดูสิ...มันอยากให้เจ้าบอกรักรู้หรือไม่”เนี่ยหยวนซูจั๊กจี้ต่อคำพูดเขา และอยากจูบอีกฝ่ายให้หนักหน่วงด้วยต้องการโบยบินสู่สรวงสวรรค์แห่งความสุขอึดใจต่อมา เรียวลิ้นร้อนได้แทรกลึกเข้าไปในโพรงปากสัมผัสดังกล่าวหวานล้ำเหลือ
เนี่ยหยวนซูไม่ทันได้เห็นสิ่งใดต่อ เนื่องจากนางถูกใครก็ไม่รู้พยายามจับตัว หญิงสาวดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง ทว่าพวกมือสังหารรับจ้าง หาได้เมตตาปรานี มันใช้ท่อนไม้ฟาดเข้าใส่ศีรษะด้านหลังหญิงสาว พร้อมดึงมีดเล่มหนึ่งออกมาหมายแทงเข้าใส่ร่างของเนี่ยหยวนซูหญิงสาวแม้จะมึนงงทั้งปวดที่ศีรษะตุบ ๆ แต่นางจะไม่ขอจบชีวิตบนเรือ และจากไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ในขณะที่เนี่ยหยวนซูเคลื่อนร่างกายหลบการแทงของอีกฝ่ายอย่างหวุดหวิดหลายครั้งหลายหน นางก็ได้กลิ่นคาวจัด เลือดสีแดงสดไหลอาบใบหน้าเนี่ยหยวนซู ก่อนที่ร่างอีกฝ่ายจะทรุดลงหญิงสาวหวีดร้องเสียขวัญ และอึดใจต่อมาสองหูก็ได้ยินเสียงดังตูมเนี่ยหยวนซูเคยว่ายน้ำได้ และว่ายได้ดีเสียด้วย หากยามนี้ร่างกายกลับแข็งทื่อ นั่นเป็นเพราะนางเป็นตะคริวที่ขา!“ชะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที!” ห้าวันต่อมา เรือนหลังนั้นสะอาดมีความเป็นระเบียบ ด้านนอกห่างออกไปมีม้าตัวโตถูกผูกเอาไว้ เหตุการณ์ก่อนหน้าค่อนข้างเสี่ยงภัยมาก แต่สุดท้ายเนี่ยหยวนซูก็รอดชีวิต นางมีโอกาสอยู่บนโลกนี้อีกครั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนส่วนผู้ติดตามนางต่างได้รับบาดเจ็บ ซึ่งหนักสุดคือเสี่ยวฉุน กระนั้นด้วยย
เกือบรุ่งสางเสียงดังโครมครามเกิดขึ้นด้านบนเรือ สถานการณ์ดูไม่เป็นปกติอย่างที่สุด ฝ่ายเกอสวินเฝ้าอยู่ด้านนอกซึ่งตอนนี้หายตัวไป ส่วนเสี่ยวฉุนส่งสัญญาณให้ฝานเหอเพื่อแจ้งบางสิ่งแก่เนี่ยหยวนซู“คุณหนู ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ดูเหมือน...มีผู้ติดตามเรามา!”ฝานเหอเอ่ยจบ เสียงอาวุธและการต่อสู้ก็ดุเดือดขึ้น จนเป็นเหตุให้เนี่ยหยวนซูใจเต้นแรง อย่างไรนางก็ไร้วรยุทธ์ อีกทั้งรู้ว่าชีวิตนี้มีเพียงชีวิตเดียว หากตายทุกอย่างก็จบ!“เราจะปลอดภัยใช่หรือไม่”“บ่าวย่อมปกป้องคุณหนู ไม่ให้ผู้ใดทำอันตราย”เสียงต่อสู้ดังกว่าเดิม คนในเรือต่างหนีตายอลหม่าน พวกที่บุกเข้ามา บนเรือขนสินค้ามีจำนวนสองลำด้วยกัน และจุดประสงค์ชัดเจนคือฆ่าทุกคน“คุณหนู หากซ่อนตัวก็อาจถูกค้นหาได้ ใช้เรือลำเล็กแล้วหนีเข้าฝั่งดีหรือไม่เจ้าคะ”เนี่ยหยวนซูแม้ใจกล้าบ้าบิ่นแต่นางต้องคิดให้ถ้วนถี่“คนพวกนั้นย่อมฝีมือไม่ต่ำทราม ข้าว่ายน้ำได้แต่ไม่แข็งแรงนัก ส่วนแม่นมฝานก็ไม่ใช่สตรีแรกรุ่น”เนี่ยหยวนซูประเมินสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานตรงหน้าอย่างเร็ว“เยี่ยงนั้น ใช้เรือล่อพวกนั้น บ่าวจะพายเรือลำเล็กออกไป ส่วนคุณหนูหลบอยู่ท้ายเรือนะเจ้าคะ อย่างไรแม้ผู้
กลับกลายเป็นว่ายามนี้สตรีที่ไร้ปากเสียงได้พลิกสถานการณ์กลับด้าน และนางย่อมได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ รวมถึงมีอำนาจกลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง มิช้าซือหม่าหู่คงมองว่านางมีผลประโยชน์เช่นก่อนหน้านี้”เนี่ยหยวนซูเชื่อเช่นนั้นและที่คิดไว้ คือในงานเลี้ยงฮ่องเต้อาจปะปนอยู่ในกลุ่มแขกที่เข้ามาร่วมงาน และคอยสังเกตการณ์อยู่ฝ่ายเสี่ยวฉุนได้ฟังแล้วค่อนข้างครั่นคร้ามใจ นางจึงเอ่ยว่า“เช่นนั้น คนที่คุณหนูสมควรระวังให้มากที่สุด คงมิใช่ไทเฮาเสียแล้ว”“เด็กน้อยเสี่ยวฉุน เจ้าหลักแหลมนัก ถูกต้อง ฟานเลี่ยงคือสตรีหน้าเนื้อใจเสือผู้หนึ่ง อีกอย่างเจ้าคงมองออกว่านางเป็นผู้ฝึกยุทธ์!”เกอสวินซึ่งพยักหน้าตามตั้งแต่ต้น พอสบโอกาสก็เอ่ยว่า“ฮองเฮา คือนางเสือที่นุ่งห่มหนังแกะตัวจริง เรื่องนี้คุณชายสามเคยเล่าให้ข้าฟังนานแล้ว”เมื่อเกอสวินกล่าว เนี่ยหยวนซูก็จำสายตาอีกฝ่ายได้ ทั้งในวันที่พบกัน ณ โรงน้ำชา รวมถึงยามที่ฟานเลี่ยงมองสร้อยหยกที่เนี่ยหยวนซูสวมใส่“ตอนนี้พวกเราทั้งหมดคงลำบากมิน้อย การเดินทางไกลคงไม่สะดวก อีกอย่างอาจมีมือสังหารหรือผู้ประสงค์ร้ายติดตามมา ดังนั้นพูดกับผู้อื่นให้น้อย และอย่าออกไปพบใครจนกว่าเรือจะจอดที่
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เนี่ยหยวนซูต้องยอมรับว่าได้เจ้าของร่างช่วยเหลือเป็นอย่างมาก อีกทั้งนางสามารถปะติดปะต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้นจึงนำมาวางแผนแล้วขอความร่วมมือจากจิ่งป๋อ แรกเริ่มเขาแปลกใจ ทว่าเมื่อรู้ว่าฟานเลี่ยงมีความประสงค์เช่นไร ชายหนุ่มจึงไม่รีรอยอมสวมบทบาทเป็นคนของเชามี่ เพื่อวางแผนตลบหลังอนุภรรยาพี่ชายจิ่งป๋อเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้ารัดกุมสีเข้ม มองแล้วคล้ายคนจากสำนักคุ้มภัย แต่ดูแปลกตาก็คือหน้ากากที่เลือกสวมเพื่ออำพรางใบหน้า นอกจากนั้นเขายังดื่มชาชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เสียงแหบต่ำ ฟังแล้วไม่อาจจำได้ว่าคนที่เอ่ยคือจิ่งป๋อ ด้วยเหตุนี้แม้เชามี่จะสงสัย แต่นางที่ได้รับยากล่อมประสาทอ่อน ๆ จึงยากแยกแยะสิ่งใดได้ง่าย ๆ“พี่สะใภ้ การกระทำของท่านเสี่ยงภัยเกินไปหรือไม่”“ข้าเลือกทางเดินเช่นนี้ย่อมล่วงรู้อนาคต ส่วนคุณชายสมควรห่วงไท่ฮูหยิน อย่างไรนางก็คือผู้ให้กำเนิดท่าน เรื่องนี้เหมาะสมที่สุด”“ข้าขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แม้เรามีเรื่องบาดหมางใจกันมิน้อย แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดข้าถึงคิดว่าพี่สะใภ้เป็นสตรีที่พึ่งพาได้”“นั่นเป็นเพราะตำแหน่งฮูหยินใหญ่แห่งจวนจิ่งมิใช่เรื่องล้อเล่น เมื่อ
“อนุเชา ท่านได้รับบาดเจ็บเพราะมีคนต้องการฆ่าปิดปาก เรื่องที่ต้องการเปิดโปงการใช้ไสยเวทในจวนจิ่งของไท่ฮูหยิน แน่นอนหากจิ่งหลัวคุนล่วงรู้เรื่องนี้ว่าท่านเป็นคนเปิดโปงย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้นจงรีบช่วงชิงความได้เปรียบ จัดการเนี่ยหยวนซูแล้วป้ายความผิดไปให้นางย่อมดีที่สุดว่าเป็นผู้พยายามหาความผิดของไท่ฮูหยิน ในการใช้ไสยเวทเล่นงานมารดาของจิ่งหลัวคุน จนนางกลายเป็นสตรีวิปลาสส่วนเรื่องการที่นางกักขังไว้ก็ให้บอกทุกคนว่าเนี่ยหยวนซูมีแผนร้ายแอบแฝง ต้องการปิดปากท่าน ดังนั้นเมื่อไม่มีฮูหยินจิ่ง ทั้งเจ้าบ้านเนี่ยและแม่ทัพจิ่งย่อมสูญเสียกำลังใจ พวกเขาอาจคลั่งหนัก แต่...เชื่อข้าเถิด หากทำเช่นนี้สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนแน่นอน ใต้เท้าเชารวมถึงท่านย่อมไร้มลทิน และผู้อยู่เบื้องหลังแผนทั้งหมดจะส่งเสริมให้ท่านได้ก้าวขึ้นเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนจิ่ง...”เชามี่แม้จะฝันหวานตามคำพูดคนพวกนี้ ทว่าใจกลับกลัวเหลือเกิน มันเป็นเสียงเล็ก ๆ บอกให้นางอย่าหลงเชื่อคำพูดของคนพวกนี้“พวกเจ้าพูดเหมือนง่าย นังจิ้งจอกเก้าหางนั่นใครจะสามารถเข้าใกล้มันได้ง่าย ๆ”“อย่างที่บอก สาวใช้ของท่านที่ทรยศถึงขั้นฆ่าผู้เป็นนาย ด้วยมีมารดาและน้องชายที่ร
อ้ายเหมยสะดุ้งตื่นขึ้นเร็วกว่าที่นางคาดการณ์ และต้องประหลาดใจที่หูได้ยินเสียงร้องเพลงเสียงดนตรีอึกทึก เหนืออื่นใดที่ทำให้เหงื่อชื้นเต็มแผ่นหลัง เชามี่กลับยังไม่ตาย! อีกทั้งเรือนหลังที่เป็นส่วนห้องรับรองยังไม่ถูกเผาไหม้ นอกเหนือจากนั้น นางรู้ว่าตนได้รับพิษร้ายแรง รู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอนลอยคว้างอยู่รอบตัว ทั้งหมดสรุปได้ว่าเป็นฝีมือของเชามี่ทว่าสิ่งมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เชามี่สวมหน้ากากงูดำ ราวกับนางอยู่ในงานเลี้ยงของเนี่ยหยวนซู และสิ่งที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือเชามี่คงเป็นเพียงชุดที่สวมใส่ และกลิ่นถุงหอมของนางที่ลอยอบอวลอยู่ในห้องเล็กแคบอ้ายเหมยระแวดระวังภัยตนอย่างหนัก นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องที่ปิดตาย และเห็นว่ายังมีคราบเลือดอันเกิดจากบาดแผลของเชามี่เปรอะอยู่ตามพื้นห้อง“นายหญิงเชา ท่านยังยื้อชีวิตจากมัจจุราชได้อีกหรือ” อ้ายเหมยถามราวกับเป็นคนโง่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงแหลม ท่าทางดูราวกับมีความแค้นสุมอยู่ในอก ยิ่งกว่านั้น นางไม่เหมือนเชามี่ที่อ้ายเหมยรู้จัก “ฮึ ดูให้ดี...แท้จริง ข้าอาจตายไปตั้งแต่ถูกเจ้ากรีดข้อมือก็เป็นได้”อ้ายเหมยไม่อยากเสียเวลาอีก นางควรออกจากห้องนี้ แล้วมุ่งหน้าไปร
“ฮองเฮาต้องการแจ้งสิ่งใดต่อข้า” เมื่อเนี่ยหยวนซูตามหาเสียงตนเองพบ จึงเอ่ยถามฟานเลี่ยงย่อมเข้าใจนิสัยใจคอคนในวังหลวงดี พวกนั้นเห็นเพียงประโยชน์ของตน “แม่ทัพจิ่ง คาดการณ์ว่าข้าต้องได้มางานเลี้ยงคืนนี้ จึงขอให้ข้าได้ช่วยเหลือเรื่องสำคัญ โดยมีข้อแม้ว่าเมื่อเห็นฮูหยินจิ่งสวมสร้อยหยกก็หมายความว่าเจ้าคือสตรีที่คู่ควรให้เขาเรียกขานว่า ‘ภรรยา’ กระนั้นบ้านเมืองยามนี้ผู้มีอำนาจถึงจะเอาชีวิตรอด แต่...นอกจากอำนาจคงเป็นเงินที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ และหากข้าคาดการณ์ไม่ผิด เหล่าคหบดีและขุนนางที่อยู่นอกเมืองหลายคนย่อมได้รับโทษหนักเบาต่างกันไป โดยจุดหมายสำคัญครั้งนี้ ไทเฮาต้องการบีบคหบดีอันดับต้น ๆ ของเมืองเป่ยตูให้ย้ายข้างไปเป็นคนของนางโดยใช้ข้อหากบฏเป็นการข่มขู่”ฮองเฮากล่าวอย่างไม่ปิดบัง นี่คงทำให้เนี่ยหยวนซูตระหนักถึงภัยใหญ่หลวงที่กำลังเกิดขึ้น“ฮองเฮากล่าวทุกอย่างให้ข้าฟังเช่นนี้ ไม่คิดว่าข้าจะปากโป้งเผยความลับให้ผู้อื่นล่วงรู้หรอกหรือ”“ฮึ หากข้ากลัว ไฉนจะขึ้นเกี้ยวออกจากวังหลวง และเดินทางมาชมการแสดงพลุไฟในโรงละครเก่านี้เล่า ที่สำคัญอย่าดูถูกน้ำใจข้าให้มาก แม้ไม่เคยช่วยเหลือกันมาก่อน แต่ข้ายิน
จิ่งป๋ออยากติดตามเนี่ยหยวนซูเข้าไปด้านในด้วย แม้เขาจะเป็นลูกแหง่ ทว่ายามหน้าสิ่วหน้าขวานเขาสมควรปกป้องพี่สะใภ้ แต่เนี่ยหยวนซูยกมือห้ามและบอกว่าขอให้เขาช่วยต้อนรับแขกภายในงานแทนนางสักพัก ส่วนหู่ฮาวเทียน เมื่อเห็นว่าตนสร้างความน่าเกรงขามให้ผู้อื่นขยาดกลัวสำเร็จ เขาก็ดึงร่างนางรำมาสองคน แล้วบอกว่าอยากเปิดห้องพิเศษสำหรับดื่มและกินโดยห้ามให้ผู้ใดเข้าไปยุ่งวุ่นวาย“พี่สะใภ้ ท่านมั่นใจหรือว่าจะตกลงกับคนในวังได้ สุนัขจิ้งจอกว่าร้ายแล้ว แต่ห้าอสรพิษที่ถูกเลี้ยงจนกลายเป็นหนอนกู่ ย่อมไม่อาจรับมือง่าย ๆ”จิ่งป๋อว่าจบก็มองไปยังฟานเลี่ยง“คุณชายสาม แม้พี่ชายเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่อย่าคิดว่าเขาจะช่วยเหลือได้ตลอด หากเจ้ายังพยายามยื่นคอไปให้ผู้อื่นตัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะฝ่ายนั้นเป็นถึงแม่ของแผ่นดิน ก็คงไม่แคล้วได้ตายสมใจ”เนี่ยหยวนซูปรามจิ่งป๋อ ฝ่ายฟานเลี่ยงโบกมือไปมา ก่อนเอ่ยว่า“ฮูหยินจิ่ง ตอนนี้ข้าค่อยยังชั่วแล้ว ปะ ไปคุยกันข้างในจะดีกว่า!” เนี่ยหยวนซูอารมณ์ขุ่นมัวเป็นอย่างมาก การที่ฟานเลี่ยงจงใจทำสร้อยหยกที่แม่ทัพหนุ่มมอบให้นับว่าไม่สมควร แต่ให้นางโวยวายหรือแสดงความไม่พอใจคงเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดนัก ยิ่ง