ขณะที่เยี่ยนหวยส่งโทรศัพท์ของถังซือซือให้ถังซือซือ เธอไม่อยากรับด้วยซ้ำ ทว่าจนใจรอบข้างมีคนกำลังจับจ้องอยู่มากมาย เธอจึงทำเพียงยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มา ก่อนจะเช็ดหน้าจอแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณ”“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย” ใบหน้าของเยี่ยนหวยแฝงรอยยิ้มชืด ๆ เอาไว้ ความแวววาวจากทองของแว่นกรอบทองสะดุดตาสุด ๆถังซือซือถามขึ้นอย่างเย็นชา “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”“ได้ยินว่าวิวของที่นี่ไม่เลวเลย ก็เลยมาผ่อนคลายอารมณ์ ไม่นึกว่าจะเจอเธอที่นี่พอดี”ถังซือซือมองเขาพร้อมความสงสัยทีหนึ่งเยี่ยนหวยหันหน้าไปมองขโมยที่ถูกคนผ่านไปผ่านมากดอยู่บนถนน ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้ง 191หลังวางสายเขาก็พูดว่า “อีกเดี๋ยวตำรวจจะมาถึงแล้ว รออยู่ที่นี่สักแป๊บก็แล้วกัน”เวินเหลียงรีบเดินมาหา “ถัง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”ถังซือซือเอ่ย “ไม่เป็นไร พวกเธอไปเดินเล่นกันก่อนเถอะ เดี๋ยวตำรวจมาสอบปากคำเสร็จแล้ว ฉันค่อยไปหาพวกเธอ”“เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เวินเหลียงมองเยี่ยนหวยที่อยู่ข้างเธอทีหนึ่งถังซือซือกลอกตาขาว พร้อมชำเลืองมองฟู่เจิง “เขาบอกว่าจะมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ ใครจะไปรู้ได้ล่ะ!”ฟู่เจิงที่ถูกกระแนะกระแหน
ขณะที่ทั้งสองคนเดินผ่านไป เยี่ยนหวยแอบชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของฟู่เจิง จู่ ๆ ก็รู้สึกคุ้นหน้าอยู่หน่อย ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ความรู้สึกคุ้นหน้าประเภทนี้ ไม่ได้มาจากความคลับคล้ายคลับคลาของฟู่เจิงและฮั่วตงเฉิงแต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนบางทีพวกเขาอาจมีวาสนาเคยได้พบกันครั้งหนึ่งตอนที่ฟู่เจิงไปทำงานที่ต่างประเทศก็ได้เยี่ยนหวยมองเงาเบื้องหลังของทั้งสองคนที่เดินจากไป ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า “นั่นคือฟู่เจิงที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการใหญ่ของฟู่ซื่อ กรุ๊ปคนใหม่?”“อืม”“ฉันจำได้ว่าเหมือนพวกเขาจะหย่ากันแล้ว?”“หย่าแล้ว แต่จนใจฟู่เจิงดันเกาะติดหนึบ อย่างกับกอเอี๊ยะหนังหมาเหมือนคนบางคนไง” ถังซือซือเอ่ยขึ้นเบา ๆหลังจากนั้นเธอก็ไม่สนว่าสีหน้าของเยี่ยนหวยจะเป็นยังไง แต่เดินไปขอบคุณพี่ใหญ่ทั้งสองคนที่กำลังกดโจรเอาไว้เลย เสนอจะเลี้ยงข้าวพวกเขาหลังให้การเสร็จแล้วพี่ใหญ่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอกครับ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมว่านะ คุณควรเลี้ยงข้าวพ่อหนุ่มคนนั้นดีกว่า ถ้าไม่ได้เขาไม่แน่ว่าจะจับโจรได้จริง ๆ”ถังซือซือหันหน้าไปมองเยี่ยนหวยทีหนึ่ง ก่อนจะเ
เธอกัดฟัน “เลี้ยงก็เลี้ยง”หลังต่อสายติด ก็มีเสียงของเวินเหลียงแว่วดังมาจากปลายสาย “ถัง เธอเสร็จเรื่องหรือยัง? ตอนนี้เราอยู่ที่...”“อาเหลียง ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ ตอนนี้ฉันต้องเลี้ยงข้าวเจ้าคนแซ่เยี่ยน ไปกับเธอไม่ได้แล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยว่ากันนะ”เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “สมควรแล้ว แต่ว่าเธอระวังตัวด้วยนะ มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉัน”“วางใจได้เลย”หลังวางสาย เวินเหลียงก็ยัดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกง และหยิบกล้องถ่ายรูปออกมา แล้วสั่งการฟู่เจิงกับฟู่ซือฝานที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร “ชิดกันอีกหน่อย...ใช่ แบบนี้แหละ ยิ้มหน่อย...เรียบร้อย!”ฟู่เจิงไม่ชอบถ่ายรูป แต่ฟู่ซือฝานอยากลากเขามาถ่ายรูปด้วยกันให้ได้เขาเดินมาตรวจดูรูปบนหน้าจอของกล้องกับเวินเหลียง ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่คิดอะไรว่า “เมื่อกี้สายของคุณถังเหรอ?”“อืม เธอบอกว่าตอนนี้มาไม่ได้แล้ว” เวินเหลียงตั้งใจดูรูป แล้วตอบกลับไปลวก ๆ“แฟนเก่าเขาเป็นลูกครึ่งเหรอ?”เวินเหลียงประหลาดใจพลางเลิกคิ้วมองเขา “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ?”“ก็ไหนจะตาเอย โครงหน้าเอย”“ไม่เคยได้ยินถังพูดถึงนะ” เวินเหลียงเอ่ยฟู่เจิงอาจจะคาดเดาไปเองละมั้ง หน้
หลังสิ้นเสียง ทั้งสองคนก็มองหน้ากันทีหนึ่ง ถังซือซือเอ่ยปากก่อนว่า “ไม่ต้อง สั่งอาหารปกตินั่นแหละ ใช่ว่าฉันจะจ่ายไม่ไหวสักหน่อย”เยี่ยนหวยกระตุกยิ้มมุมปากทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย “คุณถังใจกว้างจริง ๆ!”พูดจบเขาก็รับเมนูมาและเริ่มอ่านชื่ออาหารจานแล้วจานเล่าถังซือซือสัมผัสได้ นี่เยี่ยนหวยจงใจสั่งชุดใหญ่เพื่อแก้แค้นเธอ!เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินออกไป เธอก็เอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจว่า “เยี่ยนหวน นายเปลี่ยนไปแล้ว”เยี่ยนหวยเลิกคิ้ว “หืม?”“นายไม่ใช่แค่ขี้งก แต่ยังกินจุขึ้นด้วย ใช่ว่าตอนอยู่ต่างประเทศไม่มีปัญญากินข้าวหรอกนะ?”เยี่ยนหวยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เข้าคู่กับแว่นตากรอบทอง ดูสุภาพเรียบร้อยสุด ๆ “สองสามวันก่อนเห็นเธอกินข้าวกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ที่ร้านอาหารฝรั่ง คู่นัดบอดของเธอเหรอ? หัวล้านสะท้อนแสงเชียว มองไปเหมือนอายุสี่ห้าสิบแล้ว หรือว่าเธอฝืนกินข้าวมื้อหนึ่งได้”พอพูดถึงนัดบอด ถังซือซือก็นึกถึงน้องชายเผียนอี[1]ที่วาบตัวออกมาคนนั้น ในใจเธอพลันหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบเธอตอบกลับทั้งเดือดดาลว่า “อย่างนาย เกรงว่าแม้แต่คู่นัดบอดก็ไม่มีละมั้ง?”เยี่ย
เห็นสีหน้าถังซือซือเป็นธรรมชาติปกติดี ไร้ร่องรอยของความหึงหวง เยี่ยนหวยก็เม้มปากแน่น ก่อนจะดื่มน้ำอึกหนึ่ง “อิเลียมักจะถูกคนชมว่าตาเฉียบแหลม”“อ๋อ หมูที่มาจากคำว่าตือโป้ยก่าย”เยี่ยนหวย “...”พนักงานเริ่มทยอยมาเสิร์ฟอาหาร ในนั้นรวมไปถึงเหล้าขาวราคาแพงขวดหนึ่งด้วยถังซือซือเปิดขวดเหล้าแล้วรินให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ก่อนจะรินให้เยี่ยนหวยอีกแก้วหนึ่งเยี่ยนหวนไม่ได้ดื่ม ทว่าเห็นถังซือซือดื่มหมดไปสองแก้วอย่างรวดเร็วเห็นถังซือซือยังคิดจะเทลงไปในแก้วอีก เขาก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า “อย่าดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นสิ”“นายจะมายุ่งอะไรด้วย?”ถังซือซือตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ แล้วเทให้ตัวเองจนเต็มแก้วอีกครั้งขณะกำลังจะกระดกแก้วดื่มลงไป เยี่ยนหวยก็เย้ยหยันทำหน้ายิ้มทว่าก็ไม่ได้ยิ้ม ราวกับได้ใจสุด ๆ “เธอคงไม่ได้เกิดหึงหวงขึ้นมาเพราะรู้ว่าฉันมีแฟนหรอกใช่ไหม?”ถังซือซือชะงักไป อย่างกับได้ยินเรื่องตลก “ฉันหึง? ฉันจะหึงนายเนี่ยนะ? นายกำลังพูดเรื่องตลกอะไรอยู่? ฝันซะหวานเชียว!”“งั้นทำไมเธอถึงดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้ล่ะ?”“นึกถึงเรื่องไม่สบายใจ ไม่ได้หรือไง?”“ฉันว่าเป็นเพราะเธอหึงนั่นแหละ”“ฉันไม่ได้หึง!”“เ
มีเสียงเคร่งขรึมบอกให้ “เข้ามา” แว่วดังขึ้นมาจากด้านในเสียงหนึ่งฮั่วตงเฉิงผลักประตูเข้าไป “พ่อ พ่อเรียกผมเหรอครับ?”คุณท่านฮั่วอายุเกินหกสิบแล้ว เดิมทีร่างกายยังนับว่าแข็งแรงทีเดียว ทว่าจู่ ๆ ปีที่แล้วก็เกิดป่วยหนักขึ้นมา เรี่ยวแรงหดหายไปมาก แต่สีหน้าเขายังเคร่งขรึม พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาสุกสกาว ทั้งตัวยังเผยอำนาจของผู้อยู่เบื้องบนออกมาสายหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถละเลยได้หน้าตาของเขามีความคลับคล้ายคลับคลากับฮั่วตงเฉิง มองออกได้ไม่ยากว่าตอนหนุ่ม ๆ ก็เป็นหนุ่มหล่อที่มีใบหน้าที่มีความเป็นมุมมนและชัดเจน“ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้แกอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง?” คุณท่านฮั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง“ครับ”“แกไปทำอะไรที่เมืองเจียงเฉิง”ฮั่วตงเฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบกับสายตาของคุณท่านฮั่ว “พ่อไม่ได้รู้แล้วหรอกเหรอครับ? ไม่งั้นจะเรียกผมกลับมาทำไม?”คุณท่านฮั่วเองก็ไม่ปกปิดอีกต่อไป เขาพูดสั่งออกไปเลยว่า “โปรเจกต์ที่ชิงมาได้แล้วก็ดำเนินไปให้ดี ๆ แกรีบกลับมาเมืองจิงซะ แล้วหลังจากนี้ไม่ต้องไปหาเรื่องตระกูลฟู่อีก”ฮั่วตงเฉิงยิ้ม “พ่อครับ ผมไม่ได้หาเรื่องตระกูลฟู่สักหน่อย ผมแค่ดำ
กลับมาที่ฝั่งของเวินเหลียง พรุ่งนี้เธอต้องไปรายงานตัวที่บริษัทฉู่ซืออี๋ เลยคิดจะฝากฟู่ซือฝานไว้กับฟู่เจิงหลังไปเที่ยวชมชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจบลง ฟู่ชิงเยว่คิดจะพาฟู่ซือฝานกลับลอสแอนเจลิสแน่ ๆ ส่วนฟู่เจิงเขาเองก็คงต้องยอมถอยให้กับเรื่องที่เขาคิดจะรั้งตัวฟู่ซือฝานไว้ก้าวหนึ่ง?เวินเหลียงมองกระจกมองหลังทีหนึ่ง รถของฟู่เจิงขับตามหลังมาอยู่ไม่ห่างและไม่ใกล้จนเกินไปตลอดเธอหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้ฟู่เจิง แล้วบอกจูฝานว่า “จูจู เธอจอดรถข้างหน้าให้หน่อย ฉันกับฝานฝานจะลงแล้ว”“ให้รอเธอไหม?”“ไม่ต้อง ฉันมีเรื่องอะไรจะคุยกับฟู่เจิงนิดหน่อยน่ะ”“โอเค” จูฝานหาจังหวะจอดข้างทางเมื่อเวินเหลียงกับฟู่ซือฝานลงจากรถ จูฝานก็ขับรถออกไปก่อน จากนั้นรถของฟู่เจิงก็มาหยุดตรงหน้าพวกเธอเวินเหลียงเปิดประตูด้านหลังของรถ แล้วเข้าไปนั่งกับฟู่ซือฝานมือใหญ่ ๆ ของฟู่เจิงประคองพวงมาลัยอยู่ ตรงข้อมือเผยให้เห็นนาฬิกาข้อมือที่ราคาไม่ธรรมดาออกมา มืออีกข้างหูถอดฟังบลูทูทที่อยู่ตรงหูออก พร้อมมองกระจกมองหลัง “มื้อค่ำอยากกินอะไร?”“แล้วแต่”“ฝานฝาน เธอล่ะ?”ฟู่ซือฝานเอียงศีรษะครุ่นคิด “หนูอยากกินเป็ดย่างค
เธอไม่เชื่อใจเขาขนาดนี้เลยเหรอ อยากขีดเส้นความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจนขนาดนี้เลยเหรอ?ขณะที่เดือดดาล มีความปวดใจสายหนึ่งเอ่อล้นขึ้นมาพร้อมกันด้วยความรู้สึกที่เธอมีต่อเวินหย่งคัง ตอนที่รู้ว่าพ่อที่ตนสนิทสนมที่สุดถูกคนฆาตกรรม ในใจจะรู้สึกยังไงกันนะ?เวินเหลียงเป็นคนที่จริงจังมากคนหนึ่งใช่จริงจังมากเธอไม่เคยสองจิตสองใจเลย เธอตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ตั้งใจใช้ชีวิตมาตลอด ตั้งใจปฏิบัติกับคนที่ชอบ และตั้งใจจดจำคนที่ในความทรงจำเธอพยายามใช้วิธีของตัวเองมาแก้แค้นให้พ่อ แม้เวินหย่งคังจะตายไปสิบปีแล้ว แม้ว่าเธออาจต้องเจอกับการแก้แค้น และต้องมีจุดจบเหมือนกับเวินหย่งคัง เธอก็ยืนกรานที่จะทำต่อหลังวางสาย ฟู่เจิงก็สูบบุหรี่อยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง ถึงกลับไปยังห้องรับรองเวินเหลียงกำลังถกประเด็นว่าทำไมปูถึงขาเกกับฟู่ซือฝานอยู่ฟู่เจิงมองใบหน้าด้านข้างที่ขาวผ่องและเรียบสงบของเธอด้วยความหมายลึกซึ้ง นัยน์ตาประกายความสับสนออกมาหลังกินมื้อค่ำเสร็จ ฟู่ซือฝานก็ง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้วฟู่เจิงอุ้มเธอเข้าไปยังเบาะที่นั่งด้านหลังรถ ก่อนจะกลับมาสตาร์ตรถเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว แสงไฟนีออนของไฟถนนจากนอกหน