เห็นสีหน้าถังซือซือเป็นธรรมชาติปกติดี ไร้ร่องรอยของความหึงหวง เยี่ยนหวยก็เม้มปากแน่น ก่อนจะดื่มน้ำอึกหนึ่ง “อิเลียมักจะถูกคนชมว่าตาเฉียบแหลม”“อ๋อ หมูที่มาจากคำว่าตือโป้ยก่าย”เยี่ยนหวย “...”พนักงานเริ่มทยอยมาเสิร์ฟอาหาร ในนั้นรวมไปถึงเหล้าขาวราคาแพงขวดหนึ่งด้วยถังซือซือเปิดขวดเหล้าแล้วรินให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ก่อนจะรินให้เยี่ยนหวยอีกแก้วหนึ่งเยี่ยนหวนไม่ได้ดื่ม ทว่าเห็นถังซือซือดื่มหมดไปสองแก้วอย่างรวดเร็วเห็นถังซือซือยังคิดจะเทลงไปในแก้วอีก เขาก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า “อย่าดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นสิ”“นายจะมายุ่งอะไรด้วย?”ถังซือซือตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ แล้วเทให้ตัวเองจนเต็มแก้วอีกครั้งขณะกำลังจะกระดกแก้วดื่มลงไป เยี่ยนหวยก็เย้ยหยันทำหน้ายิ้มทว่าก็ไม่ได้ยิ้ม ราวกับได้ใจสุด ๆ “เธอคงไม่ได้เกิดหึงหวงขึ้นมาเพราะรู้ว่าฉันมีแฟนหรอกใช่ไหม?”ถังซือซือชะงักไป อย่างกับได้ยินเรื่องตลก “ฉันหึง? ฉันจะหึงนายเนี่ยนะ? นายกำลังพูดเรื่องตลกอะไรอยู่? ฝันซะหวานเชียว!”“งั้นทำไมเธอถึงดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้ล่ะ?”“นึกถึงเรื่องไม่สบายใจ ไม่ได้หรือไง?”“ฉันว่าเป็นเพราะเธอหึงนั่นแหละ”“ฉันไม่ได้หึง!”“เ
มีเสียงเคร่งขรึมบอกให้ “เข้ามา” แว่วดังขึ้นมาจากด้านในเสียงหนึ่งฮั่วตงเฉิงผลักประตูเข้าไป “พ่อ พ่อเรียกผมเหรอครับ?”คุณท่านฮั่วอายุเกินหกสิบแล้ว เดิมทีร่างกายยังนับว่าแข็งแรงทีเดียว ทว่าจู่ ๆ ปีที่แล้วก็เกิดป่วยหนักขึ้นมา เรี่ยวแรงหดหายไปมาก แต่สีหน้าเขายังเคร่งขรึม พร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาสุกสกาว ทั้งตัวยังเผยอำนาจของผู้อยู่เบื้องบนออกมาสายหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถละเลยได้หน้าตาของเขามีความคลับคล้ายคลับคลากับฮั่วตงเฉิง มองออกได้ไม่ยากว่าตอนหนุ่ม ๆ ก็เป็นหนุ่มหล่อที่มีใบหน้าที่มีความเป็นมุมมนและชัดเจน“ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้แกอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง?” คุณท่านฮั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง“ครับ”“แกไปทำอะไรที่เมืองเจียงเฉิง”ฮั่วตงเฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบกับสายตาของคุณท่านฮั่ว “พ่อไม่ได้รู้แล้วหรอกเหรอครับ? ไม่งั้นจะเรียกผมกลับมาทำไม?”คุณท่านฮั่วเองก็ไม่ปกปิดอีกต่อไป เขาพูดสั่งออกไปเลยว่า “โปรเจกต์ที่ชิงมาได้แล้วก็ดำเนินไปให้ดี ๆ แกรีบกลับมาเมืองจิงซะ แล้วหลังจากนี้ไม่ต้องไปหาเรื่องตระกูลฟู่อีก”ฮั่วตงเฉิงยิ้ม “พ่อครับ ผมไม่ได้หาเรื่องตระกูลฟู่สักหน่อย ผมแค่ดำ
กลับมาที่ฝั่งของเวินเหลียง พรุ่งนี้เธอต้องไปรายงานตัวที่บริษัทฉู่ซืออี๋ เลยคิดจะฝากฟู่ซือฝานไว้กับฟู่เจิงหลังไปเที่ยวชมชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจบลง ฟู่ชิงเยว่คิดจะพาฟู่ซือฝานกลับลอสแอนเจลิสแน่ ๆ ส่วนฟู่เจิงเขาเองก็คงต้องยอมถอยให้กับเรื่องที่เขาคิดจะรั้งตัวฟู่ซือฝานไว้ก้าวหนึ่ง?เวินเหลียงมองกระจกมองหลังทีหนึ่ง รถของฟู่เจิงขับตามหลังมาอยู่ไม่ห่างและไม่ใกล้จนเกินไปตลอดเธอหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้ฟู่เจิง แล้วบอกจูฝานว่า “จูจู เธอจอดรถข้างหน้าให้หน่อย ฉันกับฝานฝานจะลงแล้ว”“ให้รอเธอไหม?”“ไม่ต้อง ฉันมีเรื่องอะไรจะคุยกับฟู่เจิงนิดหน่อยน่ะ”“โอเค” จูฝานหาจังหวะจอดข้างทางเมื่อเวินเหลียงกับฟู่ซือฝานลงจากรถ จูฝานก็ขับรถออกไปก่อน จากนั้นรถของฟู่เจิงก็มาหยุดตรงหน้าพวกเธอเวินเหลียงเปิดประตูด้านหลังของรถ แล้วเข้าไปนั่งกับฟู่ซือฝานมือใหญ่ ๆ ของฟู่เจิงประคองพวงมาลัยอยู่ ตรงข้อมือเผยให้เห็นนาฬิกาข้อมือที่ราคาไม่ธรรมดาออกมา มืออีกข้างหูถอดฟังบลูทูทที่อยู่ตรงหูออก พร้อมมองกระจกมองหลัง “มื้อค่ำอยากกินอะไร?”“แล้วแต่”“ฝานฝาน เธอล่ะ?”ฟู่ซือฝานเอียงศีรษะครุ่นคิด “หนูอยากกินเป็ดย่างค
เธอไม่เชื่อใจเขาขนาดนี้เลยเหรอ อยากขีดเส้นความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจนขนาดนี้เลยเหรอ?ขณะที่เดือดดาล มีความปวดใจสายหนึ่งเอ่อล้นขึ้นมาพร้อมกันด้วยความรู้สึกที่เธอมีต่อเวินหย่งคัง ตอนที่รู้ว่าพ่อที่ตนสนิทสนมที่สุดถูกคนฆาตกรรม ในใจจะรู้สึกยังไงกันนะ?เวินเหลียงเป็นคนที่จริงจังมากคนหนึ่งใช่จริงจังมากเธอไม่เคยสองจิตสองใจเลย เธอตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ตั้งใจใช้ชีวิตมาตลอด ตั้งใจปฏิบัติกับคนที่ชอบ และตั้งใจจดจำคนที่ในความทรงจำเธอพยายามใช้วิธีของตัวเองมาแก้แค้นให้พ่อ แม้เวินหย่งคังจะตายไปสิบปีแล้ว แม้ว่าเธออาจต้องเจอกับการแก้แค้น และต้องมีจุดจบเหมือนกับเวินหย่งคัง เธอก็ยืนกรานที่จะทำต่อหลังวางสาย ฟู่เจิงก็สูบบุหรี่อยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง ถึงกลับไปยังห้องรับรองเวินเหลียงกำลังถกประเด็นว่าทำไมปูถึงขาเกกับฟู่ซือฝานอยู่ฟู่เจิงมองใบหน้าด้านข้างที่ขาวผ่องและเรียบสงบของเธอด้วยความหมายลึกซึ้ง นัยน์ตาประกายความสับสนออกมาหลังกินมื้อค่ำเสร็จ ฟู่ซือฝานก็ง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้วฟู่เจิงอุ้มเธอเข้าไปยังเบาะที่นั่งด้านหลังรถ ก่อนจะกลับมาสตาร์ตรถเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว แสงไฟนีออนของไฟถนนจากนอกหน
ฟู่เจิงเม้มริมฝีปากทีหนึ่ง พลางมองเวินเหลียงด้วยนัยน์ตาเคร่งขรึมผ่านกระจกมองหลัง พร้อมกัดฟันถามขึ้นว่า “ไม่เกี่ยวกับฉัน?”เขาให้โอกาสเธอได้พูดความจริงออกมาแล้วเธอยอมกอดความเสี่ยงของการถูกแก้แค้น และคิดจะปิดบังเขา!เขาไม่คู่ควรให้เธอเชื่อใจและหวังพึ่งขนาดนี้เลยเหรอ?เธอไม่หวงแหนชีวิตของตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ?เมื่อเวินเหลียงเงยหน้าขึ้น ก็ไปสบเข้ากับสายตาที่อดกลั้นความเดือดดาลเอาไว้ เธอไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุนิดหน่อย “เรื่องของฉัน เดิมทีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณอยู่แล้ว แล้วก็คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังสืบเรื่องคดีลักพาตัวอยู่? คุณสืบเรื่องฉันอีกทีใช่ไหม? เรื่องที่คุณสะกดรอยตามฉันไปถึงหนิงชิง ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับคุณเลยนะ!”เห็นเวินเหลียงตอกกลับเขาทั้งเดือดพล่านพร้อมเหตุผลเต็มประดา ในใจของฟู่เจิงก็โกรธจนแทบระเบิดออกมา มือใหญ่ ๆ ที่จับพวงมาลัยอยู่กำแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เส้นเลือดบนฝ่ามือพลันปูดขึ้นมา “ที่ฉันสืบเรื่องเธอ ก็เพราะเธอได้รับคำขู่ ที่ตามเธอไปถึงหนิงชิง ก็เพราะคืนก่อนหน้านั้นเธอได้รับบาดเจ็บ ฉันเป็นห่วงเธอ ตอนนี้ฉันก็แค่อยากช่วยเธอเท่านั้น!”เวินเหลียงยิ้มเบา ๆ ทีหนึ่ง “ฟู่เจิง
เวินเหลียงไปหาฉู่ซืออี๋ตามที่อยู่ที่พี่สาวตัวน้อยส่งมาให้ พร้อมฉวยโอกาสสำรวจไปตามท้องถนนซีรีส์ที่ฉู่ซืออี๋ไปร่วมถ่ายอยู่ตอนนี้เป็นซีรีส์แนวโบราณเทพเซียนไม่มีฟู่เจิง ทรัพยากรของเธอก็ไม่เหมือนอย่างแต่ก่อน ในซีรีส์เรื่องนี้เป็นนักแสดงรับเชิญพิเศษคนหนึ่งเท่านั้น มีฉากออกไม่เยอะ ทว่าฉู่ซืออี๋ไม่มีโอกาสให้เลือกหลังเวินเหลียงมาถึงยังเซ็ตถ่ายก็ส่งข้อความหาฉู่ซืออี๋ทันที ผ่านไปสองสามนาที ก็มีทีมงานที่ติดบัตรประจำตัวไว้ที่หน้าอกคนหนึ่งออกมารับเธอเข้าไปฉู่ซืออี๋อยู่ในชุดเข้าฉาก ด้านนอกสวมเสื้อคลุมขนสัตว์เอาไว้ กำลังถือบทละครพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้กำกับอยู่ พร้อมมองมาทางด้านนอกอยู่เป็นระยะครั้นเห็นเวินเหลียงเข้ามา มุมปากของฉู่ซืออี๋ก็กระตุกรอยยิ้มออกมารอยยิ้มหนึ่ง เธอโบกไม้โบกมือมาทางเวินเหลียง “ผู้กำกับซ่งคะ ต่อไปนี้ฉากที่ฉันเล่นไม่ได้ เธอจะมาเล่นแทนฉันนะคะ”เวินเหลียงยิ้มพร้อมโบกไม้โบกมือให้ผู้กำกับซ่งไปด้วย พลางมองฉู่ซืออี๋ด้วยนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยการถามกลับทีหนึ่งฉู่ซืออี๋ให้เธอมาเป็นผู้ช่วยไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลายเป็นสแตนด์อินไปแล้วล่ะ?ฉู่ซืออี๋ได้แต่ยิ้มแย้ม ละเลยสายตาของเวินเหลียงไป
ขณะที่ฉู่ซืออี๋กำลังถ่ายทำอยู่นั้น เวินเหลียงก็ไปเอาใบแจ้งรายละเอียดการถ่ายทำกับทีมงานหน้าเซ็ต วันนี้ฉู่ซืออี๋มีถ่ายทำสองฉาก ฉากแรกคือตอนนี้ ฉากที่สองคือตอนบ่ายฉากแรกถ่ายทำไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ผู้กำกับตะโกนบอกว่าผ่านก่อนที่ฉู่ซืออี๋จะเอ่ยปาก เวินเหลียงก็รีบเดินหน้าเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ไปคลุมให้เธอทันทีฉู่ซืออี๋เลิกคิ้วมองเธอทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกเลย “แก้วน้ำอยู่ในเต็นท์ แก้วสีชมพู ไปเอาน้ำร้อนมาให้ฉันที่รถแก้วหนึ่ง”“ได้” เวินเหลียงเข้าไปเอาแก้วในเต็นท์ จากนั้นก็ไปกดน้ำร้อนใส่แก้วให้ห่างจากปากแก้วสองนิ้ว เวลาเปิดจะได้ไม่มีน้ำร้อนกระเด็นออกมาฉู่ซืออี๋รับมาเปิดอย่างลวก ๆ พลางมองเวินเหลียงทีหนึ่ง “ฉันจะพักอยู่บนรถสักแป๊บ เธอไปยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาเรียกฉัน”พูดจบก็ปิดประตูไปเลยเวินเหลียงมองเวลา อีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลากินมื้อเที่ยง เธอพิงรถบ้านเล่นโทรศัพท์ครู่หนึ่ง ยืนขาก็ล้าจึงนั่งยองลงมาเมื่อถึงเวลากินข้าวเที่ยง เวินเหลียงก็ไปรับข้าวมาสองกล่องฉู่ซืออี๋เป็นโรครักความสะอาด เธอใช้อุปกรณ์ทานอาหารของตัวเอง หลังเธอกินเสร็จ ก็โยนอุปกรณ์ทานอาหารให้เวินเหลี
ในใจของเวินเหลียงผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา “เข้าฉาก คงไม่ใช่ว่า...”ช่างทำผมพยักหน้า “ใช่ค่ะ เป็นฉากที่ซูเมี่ยวใช้ความสวยยั่วยวนคน จากนั้นก็สูบจิตวิญญาณจนเกลี้ยงแล้วฆ่าทิ้ง”เวินเหลียง “...”ในวินาทีนั้น ไม่รู้เลยว่าในใจของเวินเหลียงผุดความสับสนขึ้นมามากแค่ไหนเธอปฏิเสธตอนนี้ยังทันอยู่ไหม?ช่างทำผมปลอบเธอ “วางใจเถอะค่ะ ฟุตนี้ไม่มีอะไรมากมายหรอกค่ะ ตอนนี้ตรวจสภาพแวดล้อมเข้มงวดขนาดนั้น โดดขึ้นมานิดหน่อยก็ออกอากาศไม่ได้แล้ว ไปค่ะ ยังต้องจัดการผมให้คุณอีก”เวินเหลียงยืนอยู่ที่เดิม เธอคลุมเสื้อคลุมขนสัตว์แล้วออกไปพร้อมกับช่างทำผมสายตาของฉู่ซืออี๋พลันตกไปบนตัวของเวินเหลียง จากนั้นก็กวาดตาไปเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของช่างแต่งหน้า เธอแอบเย้ยหยันอยู่ในใจ เวินเหลียงเคยผ่านการมีลูกมาก่อน จะไม่ให้ใหญ่ได้ยังไง?!ช่างทำผมทำผมทรงเดียวกันกับฉู่ซืออี๋ให้เวินเหลียงหลังออกมาจากห้องแต่งตัว ลมเย็นสายหนึ่งก็ปะทะหน้าเข้ามา ร่างกายท่อนบนที่คลุมด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์เอาไว้ยังพอทนไหว ทว่าตรงน่องเย็นสะท้านไปหมดเวินเหลียงเดินฉู่ซืออี๋ไปหาผู้กำกับอยู่เบื้องหลังผู้กำกับซ่งมองทั้งสองคน แล้วถามเวิน