ขณะที่ฉู่ซืออี๋กำลังถ่ายทำอยู่นั้น เวินเหลียงก็ไปเอาใบแจ้งรายละเอียดการถ่ายทำกับทีมงานหน้าเซ็ต วันนี้ฉู่ซืออี๋มีถ่ายทำสองฉาก ฉากแรกคือตอนนี้ ฉากที่สองคือตอนบ่ายฉากแรกถ่ายทำไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ผู้กำกับตะโกนบอกว่าผ่านก่อนที่ฉู่ซืออี๋จะเอ่ยปาก เวินเหลียงก็รีบเดินหน้าเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ไปคลุมให้เธอทันทีฉู่ซืออี๋เลิกคิ้วมองเธอทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกเลย “แก้วน้ำอยู่ในเต็นท์ แก้วสีชมพู ไปเอาน้ำร้อนมาให้ฉันที่รถแก้วหนึ่ง”“ได้” เวินเหลียงเข้าไปเอาแก้วในเต็นท์ จากนั้นก็ไปกดน้ำร้อนใส่แก้วให้ห่างจากปากแก้วสองนิ้ว เวลาเปิดจะได้ไม่มีน้ำร้อนกระเด็นออกมาฉู่ซืออี๋รับมาเปิดอย่างลวก ๆ พลางมองเวินเหลียงทีหนึ่ง “ฉันจะพักอยู่บนรถสักแป๊บ เธอไปยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาเรียกฉัน”พูดจบก็ปิดประตูไปเลยเวินเหลียงมองเวลา อีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลากินมื้อเที่ยง เธอพิงรถบ้านเล่นโทรศัพท์ครู่หนึ่ง ยืนขาก็ล้าจึงนั่งยองลงมาเมื่อถึงเวลากินข้าวเที่ยง เวินเหลียงก็ไปรับข้าวมาสองกล่องฉู่ซืออี๋เป็นโรครักความสะอาด เธอใช้อุปกรณ์ทานอาหารของตัวเอง หลังเธอกินเสร็จ ก็โยนอุปกรณ์ทานอาหารให้เวินเหลี
ในใจของเวินเหลียงผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา “เข้าฉาก คงไม่ใช่ว่า...”ช่างทำผมพยักหน้า “ใช่ค่ะ เป็นฉากที่ซูเมี่ยวใช้ความสวยยั่วยวนคน จากนั้นก็สูบจิตวิญญาณจนเกลี้ยงแล้วฆ่าทิ้ง”เวินเหลียง “...”ในวินาทีนั้น ไม่รู้เลยว่าในใจของเวินเหลียงผุดความสับสนขึ้นมามากแค่ไหนเธอปฏิเสธตอนนี้ยังทันอยู่ไหม?ช่างทำผมปลอบเธอ “วางใจเถอะค่ะ ฟุตนี้ไม่มีอะไรมากมายหรอกค่ะ ตอนนี้ตรวจสภาพแวดล้อมเข้มงวดขนาดนั้น โดดขึ้นมานิดหน่อยก็ออกอากาศไม่ได้แล้ว ไปค่ะ ยังต้องจัดการผมให้คุณอีก”เวินเหลียงยืนอยู่ที่เดิม เธอคลุมเสื้อคลุมขนสัตว์แล้วออกไปพร้อมกับช่างทำผมสายตาของฉู่ซืออี๋พลันตกไปบนตัวของเวินเหลียง จากนั้นก็กวาดตาไปเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของช่างแต่งหน้า เธอแอบเย้ยหยันอยู่ในใจ เวินเหลียงเคยผ่านการมีลูกมาก่อน จะไม่ให้ใหญ่ได้ยังไง?!ช่างทำผมทำผมทรงเดียวกันกับฉู่ซืออี๋ให้เวินเหลียงหลังออกมาจากห้องแต่งตัว ลมเย็นสายหนึ่งก็ปะทะหน้าเข้ามา ร่างกายท่อนบนที่คลุมด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์เอาไว้ยังพอทนไหว ทว่าตรงน่องเย็นสะท้านไปหมดเวินเหลียงเดินฉู่ซืออี๋ไปหาผู้กำกับอยู่เบื้องหลังผู้กำกับซ่งมองทั้งสองคน แล้วถามเวิน
เห็นสีหน้าขื่นขมของเวินเหลียง ฉู่ซืออี๋ก็อิ่มเอมหัวใจอย่างไร้ที่เปรียบ!ทำไมพอเป็นเธอถึงมีแต่ต้องเปลืองร่างกายของตัวเองไปประจบประแจงชายแก่พวกนั้น ถึงจะได้อยู่ในวงการต่อ แต่เวินเหลียงไม่ต้องใช้อะไรเลย กลับทำอะไรได้ตามใจชอบภายใต้การปกป้องคุ้มครองของฟู่เจิง?!ทำไมกันนะขนาดฟู่เจิงรู้แล้วแท้ ๆ ว่าเวินเหลียงเคยคลอดลูกอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ก็ยังรับเธอได้อย่างไร้ความแค้นเคือง?!ในเมื่อฟู่เจิงใจกว้างขนาดนั้น เธอก็อยากจะดูซิว่า ฟู่เจิงจะใจกว้างได้ไปถึงขั้นไหนกันเชียว!เวินเหลียงยังคิดว่าถ้าเชื่อฟังคำของเธอแล้ว เธอจะออกหน้ามาระบุตัวคนร้ายให้ ช่างโง่ใช้ได้เลยจริง ๆ!หลังถ่ายภาพซูมระยะใกล้ไปสองสามเทค แล้วผู้กำกับตะโกนว่าผ่าน เวินเหลียงก็รีบหมุนตัวสาวเท้าก้าวยาวไปหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์มาคลุมทันทีฉู่ซืออี๋เอ่ย “เธอกลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมมาบ้านฉันเร็ว ๆ ด้วยล่ะ ปลุกฉันก่อนเวลาที่แจ้งล่วงหน้าครึ่งชั่วโมง แล้วก็เตรียมอาหารเช้าด้วย”เวินเหลียงมองเธอด้วยความสงสัยทีหนึ่ง “ตอนนี้ไม่ต้องการฉันแล้ว?”“อืม”เวินเหลียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวทันที พร้อมถอดวิกออก หลังจัดการหน้าตาและเสื้อผ้าเรี
เวินเหลียงลงไปเตรียมอาหารเช้าให้ฉู่ซืออี๋ชั้นล่าง จากนั้นก็ยกมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาในห้องรับแขกทันใดนั้นแสงวาววับสายหนึ่งก็ส่องเข้ามาในดวงตาของเวินเหลียง เธอหมอบตัวลงดูใต้โต๊ะ มีนาฬิกาผู้ชายเรือนหนึ่งตกอยู่ตรงขอบใต้โต๊ะมีผู้ชายมาค้างคืนที่นี่เวินเหลียงเตะไปใต้โซฟาเงียบ ๆ แสร้งทำเป็นไม่เห็นในหัวเธอเต็มผุดความคิดวกไปวนมาเต็มไปหมด คนที่ทำให้ฉู่ซืออี๋ออกมาขายตัวได้ ต้องเป็นคนในวงการบันเทิงหรือคนที่มีอิทธิพลในการออกปากออกเสียงในฝ่ายผลิตคนหนึ่งแน่ ๆเธอลอบส่งข้อความหาอวิ๋นเฉียวเวินเหลียงไม่ใช่คนโง่ ถ้าเธอยอมอดทนอยู่กับฉู่ซืออี๋ไปฟรี ๆ เดือนหนึ่ง แล้วฉู่ซืออี๋เกิดมาเปลี่ยนใจนึกเสียใจทีหลังขึ้นมา เธอจะไปร้องไห้กับใครได้ล่ะ?หากจับจุดอ่อนของฉู่ซืออี๋ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บีบให้ฉู่ซืออี๋ออกหน้ามาระบุตัวผู้ต้องหาเลย อย่างน้อยก็ทำให้ฉู่ซืออี๋ชั่งน้ำหนักในตอนนี้ที่เธอนึกเสียใจขึ้นมาได้หลังฉู่ซืออี๋จัดการตัวเองเสร็จ ก็ลงมากินข้าวเช้าข้างล่าง เวินเหลียงไปช่วยเธอจัดการแต่งหน้าและเก็บของที่จะพกติดตัวไป อาทิกระจก พาวเวอร์แบงก์ น้ำหอม คอนแทคเลนส์ แฮนด์ครีมเป็นต้นขณะมาถึงหน้าเซ็ต กำลังแจ้
“เธอเป็นสแตนด์อินของฉู่ซืออี๋น่ะ” ผู้กำกับซ่งเอ่ย“อ๋อ” ผู้กำกับเจิ้งเข้าใจแล้ว พร้อมส่ายหน้าอย่างน่าเสียดายในสายงานนี้ สแตนด์อินไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพียงแต่เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ นานา น้อยครั้งที่จะมีสแตนด์อินได้เดินไปอยู่เบื้องหน้านักแสดงแทนในฉากต่อสู้ด้านรูปลักษณ์ภายนอกมีส่วนที่ขาดไป ทว่านักแสดงแทนในฉากพูดครึ่งหนึ่งจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับนักแสดง เบื้องหน้ามีใบหน้าแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว คนที่มีใบหน้าแบบนี้คนถัดไปก็ยากจะได้โงหัวขึ้นมา และอาจถูกโจมตีจากแฟนคลับของคนที่อยู่ก่อนหน้าแล้วอีกต่างหากผู้กำกับเจิ้งชำเลืองมองสแตนด์อินสาวที่อยู่กลางอากาศคนนั้น แม้จะไม่ปราดเปรียวอยู่บ้าง ทว่าก็กล้าหาญมากทีเดียว การเคลื่อนไหวมีกำลังและความรู้สึกงดงามเป็นอย่างมาก รับรู้ได้ถึงความเชื่อใจที่เธอมีต่อคนคุมสลิง เธอกำลังต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อหากไม่ใช่สแตนด์อิน ทำการตลาดจากการเข้าฉากต่อสู้ด้วยตัวเองออกไปเล็กน้อย คงได้รับการตอบรับที่ไม่เลวทีเดียวผู้กำกับซ่งเองก็ค่อนข้างพอใจมาก เขาใช้ให้เวินเหลียงถ่ายเพิ่มอีกสองสามเทคกระทั่งถึงตอนที่ผู้กำกับตะโกนว่าผ่าน เวินเหลียงก็เหนื่อยจนหายใจหอบแล้ว แขนเมื่อย
เวินเหลียงเม้มปากพลางยิ้ม “ฉันมีเรื่องขอร้องฉู่ซืออี๋น่ะ”“เรื่องอะไรงั้นเหรอ? ถึงต้องขอให้ฉู่ซืออี๋ช่วยให้ได้?”“เรื่องนี้ขาดเธอไม่ได้จริง ๆ”โจวอวี่อยากถามต่อ ทว่าในตอนนี้เองผู้ช่วยก็มาเรียกเขาไป “พี่อวี่ จะเริ่มถ่ายทำกันแล้วค่ะ”โจวอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เวินเหลียงโบกไม้โบกมือ “นายรีบไปเถอะ ฉันเองก็จะเปลี่ยนชุดกลับบ้านแล้ว”โจวอวี่ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดเตือนว่า “ฉันรู้สึกว่าที่สลิงขาดวันนี้มันดูแปลก ๆ เธอระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ”“อืม ฉันจะระวัง ขอบใจนะ”“งั้นฉันขอตัวไปถ่ายละครก่อนนะ”หลังโจวอวี่ออกไป เวินเหลียงก็มองดูรอบข้าง ไม่เห็นเงาร่างของฉู่ซืออี๋แล้วเวินเหลียงเปลี่ยนเอากล่องยาไปให้ทีมงานหน้าเซ็ต ก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังเธอจัดการเสื้อผ้าเสร็จ ก็เดินไปหาคนคุมสลิงทันทีคนคุมสลิงพูดขอโทษเธอทั้งละอายใจ “คุณเวิน ขอโทษนะครับ พวกเราทำงานผิดพลาดเอง จนทำให้คุณเกือบต้องเจออันตราย คุณไม่เป็นอะไรก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว”เวินเหลียงเม้มปากพลางยิ้ม “มันขาดได้ยังไงคะ? มองออกไหม?”คนคุมสลิงเอ่ย “ตอนแรกตัดสินว่าเป็นเพราะมันชำรุดหนักมาก เลยต้องรับแร
“ฝานฝานรู้เรื่องไหม? แล้วมีท่าทียังไง?” เวินเหลียงถาม“ฉันเคยถามฝานฝานแล้ว ทั้งสองครั้งดูเหมือนฝานฝานจะทำใจไม่ได้ ต้องมีคนมาช่วยฝานฝานตัดสินใจ”เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ว่า...”“ไม่ต้องการคำว่าแต่ว่า เรากับฝานฝานคลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหน ฝานฝานเห็นเราอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับคุณอาแล้ว เธอเข้าใจไหมว่ามันหมายความว่าอะไร?”“เข้าใจแล้ว”หลังวางสาย เวินเหลียงก็กลับรถตรงไหล่ทางแยกด้านหน้า แล้วมุ่งหน้าไปเจอกับฟู่เจิงที่หน้าประตูหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเธอจอดรถตรงลานจอดรถหน้าป้อมตำรวจบริการประชาชน ไม่นานเท่าไร ป้ายทะเบียนรถที่คุ้นเคยก็แล่นเข้ามาเวินเหลียงลงจากรถแล้วเดินไปยังที่ว่างหน้าประตูหน่วยงานบริการประชาชนฟู่เจิงเดินมาพร้อมฟู่ซือฝานเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยลงจากรถ เวินเหลียงก็โบกไม้โบกมือ “ฝานฝาน”ฟู่ซือฝานวิ่งเหยาะสองก้าว มุ่งหน้าเข้ามาจูงมือของเวินเหลียงเอาไว้ “คุณป้า”เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นเสียงหนึ่งฟู่เจิงปิดประตูรถ ก่อนจะใส่กุญแจรถเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พร้อมมองประเมินเวินเหลียงชืด ๆ สองสามทีมองไปเธอดูไม่ได้เป็นอะไรมาก คงจะบาดเจ็บแค่ตรงแขนที่เดียว?เวินเหลียงชำเลือ
ถึงยังไงฟู่เจิงก็มีความต้องการ และเธอไม่อาจสนองความต้องการนั้นได้เดิมทีเธอยังติดค้างเลี้ยงข้าวฟู่เจิงสองมื้อ แต่หากรับความช่วยเหลือของฟู่เจิง มีแต่จะค่อย ๆ พอกสิ่งที่ติดค้างเอาไว้เพิ่มมากขึ้นที่เรียกว่าไม่กล้าเอาผิดเพราะติดสินบนแม้เธออยากจะเริ่มต้นใหม่กับฟู่เจิงจริง ๆ แต่เธอก็หวังว่าทั้งสองคนจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันได้ แต่ไม่ใช่ติดค้างอะไรฟู่เจิงตั้งแต่ต้นแบบนี้ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเธอก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่กับฟู่เจิงอีกครั้งด้วยเจ้าหน้าที่เดินเข้ามา พร้อมถือแบบฟอร์มมาวางตรงหน้าเวินเหลียงและฟู่เจิงคนละแผ่น แล้วอธิบายว่า “ในทะเบียนบ้านจำเป็นต้องเขียนข้อมูลของพ่อแม่เด็กด้วยค่ะ”“ค่ะ”เวินเหลียงหยิบปากกาขึ้นมากรอกฟู่ซือฝานพาดตัวมองอยู่ข้าง ๆ ทันใดนั้นก็ถามขึ้นว่า “คุณป้าคะ หนูเรียกคุณป้าว่าแม่ได้แล้วใช่ไหมคะ?”เวินเหลียงเงยหน้ามองเธอทีหนึ่ง พร้อมยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “เธออยากเรียกว่าอะไรก็เรียกอย่างนั้นเลย ก็แค่คำเรียกเท่านั้น”ดวงตากลมโตของฟู่ซือฝานกะพริบปริบ ๆ ใบหน้าน้อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา เขินอายจนมุดตัวเข้าไปในอ้อมอกของเวินเหลียงเธอชอบคุณป้าสุด ๆ ไปเลย!เธอเองก