เห็นสีหน้าขื่นขมของเวินเหลียง ฉู่ซืออี๋ก็อิ่มเอมหัวใจอย่างไร้ที่เปรียบ!ทำไมพอเป็นเธอถึงมีแต่ต้องเปลืองร่างกายของตัวเองไปประจบประแจงชายแก่พวกนั้น ถึงจะได้อยู่ในวงการต่อ แต่เวินเหลียงไม่ต้องใช้อะไรเลย กลับทำอะไรได้ตามใจชอบภายใต้การปกป้องคุ้มครองของฟู่เจิง?!ทำไมกันนะขนาดฟู่เจิงรู้แล้วแท้ ๆ ว่าเวินเหลียงเคยคลอดลูกอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ก็ยังรับเธอได้อย่างไร้ความแค้นเคือง?!ในเมื่อฟู่เจิงใจกว้างขนาดนั้น เธอก็อยากจะดูซิว่า ฟู่เจิงจะใจกว้างได้ไปถึงขั้นไหนกันเชียว!เวินเหลียงยังคิดว่าถ้าเชื่อฟังคำของเธอแล้ว เธอจะออกหน้ามาระบุตัวคนร้ายให้ ช่างโง่ใช้ได้เลยจริง ๆ!หลังถ่ายภาพซูมระยะใกล้ไปสองสามเทค แล้วผู้กำกับตะโกนว่าผ่าน เวินเหลียงก็รีบหมุนตัวสาวเท้าก้าวยาวไปหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์มาคลุมทันทีฉู่ซืออี๋เอ่ย “เธอกลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมมาบ้านฉันเร็ว ๆ ด้วยล่ะ ปลุกฉันก่อนเวลาที่แจ้งล่วงหน้าครึ่งชั่วโมง แล้วก็เตรียมอาหารเช้าด้วย”เวินเหลียงมองเธอด้วยความสงสัยทีหนึ่ง “ตอนนี้ไม่ต้องการฉันแล้ว?”“อืม”เวินเหลียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวทันที พร้อมถอดวิกออก หลังจัดการหน้าตาและเสื้อผ้าเรี
เวินเหลียงลงไปเตรียมอาหารเช้าให้ฉู่ซืออี๋ชั้นล่าง จากนั้นก็ยกมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาในห้องรับแขกทันใดนั้นแสงวาววับสายหนึ่งก็ส่องเข้ามาในดวงตาของเวินเหลียง เธอหมอบตัวลงดูใต้โต๊ะ มีนาฬิกาผู้ชายเรือนหนึ่งตกอยู่ตรงขอบใต้โต๊ะมีผู้ชายมาค้างคืนที่นี่เวินเหลียงเตะไปใต้โซฟาเงียบ ๆ แสร้งทำเป็นไม่เห็นในหัวเธอเต็มผุดความคิดวกไปวนมาเต็มไปหมด คนที่ทำให้ฉู่ซืออี๋ออกมาขายตัวได้ ต้องเป็นคนในวงการบันเทิงหรือคนที่มีอิทธิพลในการออกปากออกเสียงในฝ่ายผลิตคนหนึ่งแน่ ๆเธอลอบส่งข้อความหาอวิ๋นเฉียวเวินเหลียงไม่ใช่คนโง่ ถ้าเธอยอมอดทนอยู่กับฉู่ซืออี๋ไปฟรี ๆ เดือนหนึ่ง แล้วฉู่ซืออี๋เกิดมาเปลี่ยนใจนึกเสียใจทีหลังขึ้นมา เธอจะไปร้องไห้กับใครได้ล่ะ?หากจับจุดอ่อนของฉู่ซืออี๋ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บีบให้ฉู่ซืออี๋ออกหน้ามาระบุตัวผู้ต้องหาเลย อย่างน้อยก็ทำให้ฉู่ซืออี๋ชั่งน้ำหนักในตอนนี้ที่เธอนึกเสียใจขึ้นมาได้หลังฉู่ซืออี๋จัดการตัวเองเสร็จ ก็ลงมากินข้าวเช้าข้างล่าง เวินเหลียงไปช่วยเธอจัดการแต่งหน้าและเก็บของที่จะพกติดตัวไป อาทิกระจก พาวเวอร์แบงก์ น้ำหอม คอนแทคเลนส์ แฮนด์ครีมเป็นต้นขณะมาถึงหน้าเซ็ต กำลังแจ้
“เธอเป็นสแตนด์อินของฉู่ซืออี๋น่ะ” ผู้กำกับซ่งเอ่ย“อ๋อ” ผู้กำกับเจิ้งเข้าใจแล้ว พร้อมส่ายหน้าอย่างน่าเสียดายในสายงานนี้ สแตนด์อินไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพียงแต่เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ นานา น้อยครั้งที่จะมีสแตนด์อินได้เดินไปอยู่เบื้องหน้านักแสดงแทนในฉากต่อสู้ด้านรูปลักษณ์ภายนอกมีส่วนที่ขาดไป ทว่านักแสดงแทนในฉากพูดครึ่งหนึ่งจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับนักแสดง เบื้องหน้ามีใบหน้าแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว คนที่มีใบหน้าแบบนี้คนถัดไปก็ยากจะได้โงหัวขึ้นมา และอาจถูกโจมตีจากแฟนคลับของคนที่อยู่ก่อนหน้าแล้วอีกต่างหากผู้กำกับเจิ้งชำเลืองมองสแตนด์อินสาวที่อยู่กลางอากาศคนนั้น แม้จะไม่ปราดเปรียวอยู่บ้าง ทว่าก็กล้าหาญมากทีเดียว การเคลื่อนไหวมีกำลังและความรู้สึกงดงามเป็นอย่างมาก รับรู้ได้ถึงความเชื่อใจที่เธอมีต่อคนคุมสลิง เธอกำลังต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อหากไม่ใช่สแตนด์อิน ทำการตลาดจากการเข้าฉากต่อสู้ด้วยตัวเองออกไปเล็กน้อย คงได้รับการตอบรับที่ไม่เลวทีเดียวผู้กำกับซ่งเองก็ค่อนข้างพอใจมาก เขาใช้ให้เวินเหลียงถ่ายเพิ่มอีกสองสามเทคกระทั่งถึงตอนที่ผู้กำกับตะโกนว่าผ่าน เวินเหลียงก็เหนื่อยจนหายใจหอบแล้ว แขนเมื่อย
เวินเหลียงเม้มปากพลางยิ้ม “ฉันมีเรื่องขอร้องฉู่ซืออี๋น่ะ”“เรื่องอะไรงั้นเหรอ? ถึงต้องขอให้ฉู่ซืออี๋ช่วยให้ได้?”“เรื่องนี้ขาดเธอไม่ได้จริง ๆ”โจวอวี่อยากถามต่อ ทว่าในตอนนี้เองผู้ช่วยก็มาเรียกเขาไป “พี่อวี่ จะเริ่มถ่ายทำกันแล้วค่ะ”โจวอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เวินเหลียงโบกไม้โบกมือ “นายรีบไปเถอะ ฉันเองก็จะเปลี่ยนชุดกลับบ้านแล้ว”โจวอวี่ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดเตือนว่า “ฉันรู้สึกว่าที่สลิงขาดวันนี้มันดูแปลก ๆ เธอระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ”“อืม ฉันจะระวัง ขอบใจนะ”“งั้นฉันขอตัวไปถ่ายละครก่อนนะ”หลังโจวอวี่ออกไป เวินเหลียงก็มองดูรอบข้าง ไม่เห็นเงาร่างของฉู่ซืออี๋แล้วเวินเหลียงเปลี่ยนเอากล่องยาไปให้ทีมงานหน้าเซ็ต ก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังเธอจัดการเสื้อผ้าเสร็จ ก็เดินไปหาคนคุมสลิงทันทีคนคุมสลิงพูดขอโทษเธอทั้งละอายใจ “คุณเวิน ขอโทษนะครับ พวกเราทำงานผิดพลาดเอง จนทำให้คุณเกือบต้องเจออันตราย คุณไม่เป็นอะไรก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว”เวินเหลียงเม้มปากพลางยิ้ม “มันขาดได้ยังไงคะ? มองออกไหม?”คนคุมสลิงเอ่ย “ตอนแรกตัดสินว่าเป็นเพราะมันชำรุดหนักมาก เลยต้องรับแร
“ฝานฝานรู้เรื่องไหม? แล้วมีท่าทียังไง?” เวินเหลียงถาม“ฉันเคยถามฝานฝานแล้ว ทั้งสองครั้งดูเหมือนฝานฝานจะทำใจไม่ได้ ต้องมีคนมาช่วยฝานฝานตัดสินใจ”เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ว่า...”“ไม่ต้องการคำว่าแต่ว่า เรากับฝานฝานคลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหน ฝานฝานเห็นเราอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับคุณอาแล้ว เธอเข้าใจไหมว่ามันหมายความว่าอะไร?”“เข้าใจแล้ว”หลังวางสาย เวินเหลียงก็กลับรถตรงไหล่ทางแยกด้านหน้า แล้วมุ่งหน้าไปเจอกับฟู่เจิงที่หน้าประตูหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเธอจอดรถตรงลานจอดรถหน้าป้อมตำรวจบริการประชาชน ไม่นานเท่าไร ป้ายทะเบียนรถที่คุ้นเคยก็แล่นเข้ามาเวินเหลียงลงจากรถแล้วเดินไปยังที่ว่างหน้าประตูหน่วยงานบริการประชาชนฟู่เจิงเดินมาพร้อมฟู่ซือฝานเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยลงจากรถ เวินเหลียงก็โบกไม้โบกมือ “ฝานฝาน”ฟู่ซือฝานวิ่งเหยาะสองก้าว มุ่งหน้าเข้ามาจูงมือของเวินเหลียงเอาไว้ “คุณป้า”เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นเสียงหนึ่งฟู่เจิงปิดประตูรถ ก่อนจะใส่กุญแจรถเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พร้อมมองประเมินเวินเหลียงชืด ๆ สองสามทีมองไปเธอดูไม่ได้เป็นอะไรมาก คงจะบาดเจ็บแค่ตรงแขนที่เดียว?เวินเหลียงชำเลือ
ถึงยังไงฟู่เจิงก็มีความต้องการ และเธอไม่อาจสนองความต้องการนั้นได้เดิมทีเธอยังติดค้างเลี้ยงข้าวฟู่เจิงสองมื้อ แต่หากรับความช่วยเหลือของฟู่เจิง มีแต่จะค่อย ๆ พอกสิ่งที่ติดค้างเอาไว้เพิ่มมากขึ้นที่เรียกว่าไม่กล้าเอาผิดเพราะติดสินบนแม้เธออยากจะเริ่มต้นใหม่กับฟู่เจิงจริง ๆ แต่เธอก็หวังว่าทั้งสองคนจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันได้ แต่ไม่ใช่ติดค้างอะไรฟู่เจิงตั้งแต่ต้นแบบนี้ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเธอก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่กับฟู่เจิงอีกครั้งด้วยเจ้าหน้าที่เดินเข้ามา พร้อมถือแบบฟอร์มมาวางตรงหน้าเวินเหลียงและฟู่เจิงคนละแผ่น แล้วอธิบายว่า “ในทะเบียนบ้านจำเป็นต้องเขียนข้อมูลของพ่อแม่เด็กด้วยค่ะ”“ค่ะ”เวินเหลียงหยิบปากกาขึ้นมากรอกฟู่ซือฝานพาดตัวมองอยู่ข้าง ๆ ทันใดนั้นก็ถามขึ้นว่า “คุณป้าคะ หนูเรียกคุณป้าว่าแม่ได้แล้วใช่ไหมคะ?”เวินเหลียงเงยหน้ามองเธอทีหนึ่ง พร้อมยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “เธออยากเรียกว่าอะไรก็เรียกอย่างนั้นเลย ก็แค่คำเรียกเท่านั้น”ดวงตากลมโตของฟู่ซือฝานกะพริบปริบ ๆ ใบหน้าน้อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา เขินอายจนมุดตัวเข้าไปในอ้อมอกของเวินเหลียงเธอชอบคุณป้าสุด ๆ ไปเลย!เธอเองก
ฉะนั้น ในวันก่อนตรุษจีนนั่นดูเหมือนเว่าเขาจะเป็นคนบังคับให้เวินเหลียงเลิก ทว่าอันที่จริงเวินเหลียงแค่พายเรือไปตามน้ำเท่านั้นทั้ง ๆ ที่เธอเองก็อยากเลิกกับเมิ่งเซ่อ ทว่าต่อหน้าเขาดันทำท่าทางไม่อยากเลิกแถมยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟใส่เขาอีกผู้หญิงคนนี้ หลังจากหย่ากับเขา ก็กล้าหาญขึ้นมากจริง ๆ!ฟู่เจิงถอดหูฟังบลูทูธออก แล้วลวดมือโยนไปในช่องเก็บของเลยเปลวเพลิงในใจของเขาเริ่มลุกโชนขึ้นเรื่อย ๆ ใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้วในหัวโห่ร้องไห้หันกลับไปคิดบัญชีกับเวินเหลียง กดเธอลงบนที่นอนแล้วทำให้เธอร้องไห้ ดูซิว่าเธอยังกล้าทำให้เขาโกรธอยู่อีกไหม!ทว่าก็มีสติส่วนหนึ่งบอกให้เขากดความคิดนี้เอาไว้ขณะที่รอติดไฟแดง ฟู่เจิงล้วงกล่องบุหรี่และไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง จากนั้นดึงบุหรี่มาคาบไว้ระหว่างฟันมวนหนึ่ง กำลังจะจุดไฟ ทันใดนั้นก็นึกถึงฟู่ซือฝานที่อยู่ที่นั่งด้านหลังขึ้นมา เขาจึงเก็บไฟแช็กวางกลับไปอีกครั้งไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ฟู่เจิงสตาร์ตรถอีกครั้งขณะมาถึงยังคฤหาสน์ย่านซิงเหอวาน บุหรี่ที่คาบไว้ในปากก็ถูกเขากัดจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วหลังพาฟู่ซือฝานกลับมาส่งที่บ้าน ฟู่เจิงก็กลับรถมุ่งหน้า
“ผมจะทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การแต่งงานมีแค่คนสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นยังไง ต่อไปรบกวนคุณอาช่วยอย่าทำพฤติกรรมบางอย่างที่มันทำลายการแต่งงานของผม ด้วยการแอบอ้างว่าหวังดีกับผมอีกนะครับ” ฟู่เจิงพูดเตือนเมื่อเห็นว่าตัวเองพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ฟู่ชิงเยว่ก็เดือดพล่านจนแทบกระอักเลือดเก่าออกมาคำหนึ่งแล้วเธอเองก็ไม่อยากต้องมาตึงเครียดทุกครั้งที่คุยกับฟู่เจิงเช่นกัน จึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยก่อน “ช่างเถอะ แล้วแต่เธอแล้วกัน จริงสิ ฉันได้ยินผู้ถือหุ้นคนอื่นบอกว่า ช่วงนี้บริษัทขัดแย้งกับตระกูลฮั่วในด้านธุรกิจนิดหน่อย ตระกูลฮั่วชิงโปรเจกต์ของบริษัทไปสองสามโปรเจกต์?”เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตตอนที่ยังเป็นสาว ฟู่ชิงเยว่ก็พอจะเดาได้ว่าทำไมฮั่วตงเฉิงผู้กุมอำนาจถึงมาทำให้ตระกูลฟู่ลำบาก นัยน์ตาของเธอพลันประกายความสับสนออกมา“อืม”“ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ผู้กุมอำนาจของตระกูลฮั่วคือฮั่วตงเฉิง เธอเคยเจอเขาไหม?” ฟู่ชิงเยว่ถามลองเชิง“คุณอารู้จักเขาเหรอครับ?”“เคยได้ยินมาบ้างน่ะ”“ผมเคยเจอเขาสองครั้ง แต่แค่เขาไม่ยอมพูดอะไรมาก อีกอย่างผมยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมเขาถึงมาหาเรื่องตระกูลฟู่” ฟู่เ