ฉู่ซืออี๋หวนนึกขึ้นได้ว่า ปีนั้นตอนที่เธอเพิ่งถูกช่วยกลับมา และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการพบหน้าเธอ ในช่วงเวลานั้นฟู่เจิงดูเงียบมาก และไม่เคยพูดถึงเรื่องเลิกกันเลยเธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตกต่ำ การโทษตัวเอง ความกลัดกลุ้มใจ การไม่ได้นอนทั้งคืนของเขา แม้จะเป็นแบบนี้แต่เขาก็ไม่เคยสูบบุหรี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฟู่เจิงที่มีฐานะเป็นคุณชายแห่งตระกูลฟู่ลืมกินลืมนอน ทุ่มเทกายใจเรียนอย่างหนัก เป็นนักเรียนสามดี[1]คนหนึ่งตอนที่ตามจีบเขา ฉู่ซืออี๋ที่มีความมั่นใจมาตลอดพบเจอกับล้มเหลวไม่เป็นท่า ถึงได้เผชิญหน้าหน้ากับฟู่เจิงอย่างจริงจัง เขาเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่เหมือนกับลูกหลานตระกูลไฮโซทั่วไปเลยเขามีการแสวงหาของตัวเอง มีการยืนหยัดเป็นของตัวเองเธอคิดว่าเขาจะยืนหยัดในหลักการของตัวเองมาโดยตลอดทว่าไม่นึกเลยว่าจะถูกเวินเหลียงพังทลายลงอย่างง่ายดายฟู่เจิงบีบก้นบุหรี่กดลงไปในที่เขี่ยบุหรี่ ขณะยกแขนขึ้นเสื้อผ้าตรงไหล่ย่อมเลิกขึ้นจนเผยให้เห็นเค้าโครงของกล้ามเนื้อออกมา “ออกหน้ามาระบุตัวผู้ต้องหา คุณมีเงื่อนไขอะไรก็พูดมาได้เลย”ขณะรับสายฟู่เจิง ฉู่ซืออี๋ก็คาดเดาจุดประสงค์ของเขาเอาไว้แล้ว ในใจเธออดไม่ได
...เวินเหลียงพบว่าสายตาที่ฉู่ซืออี๋มองเธอมันดูแปลก ๆ ราวกับแฝงไปด้วยการมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนและมองประเมินบางอย่าง นับตั้งแต่เช้าวันนี้ ก็เป็นแบบนี้เลย มิหนำซ้ำยังใช้เธอเป็นบ้าเป็นหลัง แค่เพราะเรื่องเล็ก ๆ ก็เหวี่ยงแล้ว“วันนี้เธอกินดินระเบิดมาเหรอ?”ในระหว่างว่างเพื่อรอเข้าฉากถ่ายละคร ในที่สุดเวินเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วถาม“ชีวิตเธอนี่ดีจริง ๆ” ฉู่ซืออี๋จ้องเวินเหลียง จู๋ ๆ ก็พ่นประโยคนี้ออกมาสองคนพี่น้อง เจอผู้ชายคนเดียวกัน ทว่าจุดจบกลับต่างกันโดยสิ้นเชิงฉู่ซืออี๋บีบบทละครในมือแน่น ความรู้สึกอิจฉาคุกรุ่นความแตกต่างระหว่างทั้งสองคน ทั้งหมดมาจากพ่อเวินเหลียงได้เจอกับพ่อที่มีความรับผิดชอบอย่างเวินหย่งคัง แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ทว่าก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพ่อผู้ให้กำเนิด ยอมเสียสละทั้งหมดเพื่อลูกสาวส่วนฉู่เจี้ยนกั๋วแม้จะเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดเธอ ทว่ากลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย ขนาดตายยังตายได้โง่เง่าที่สุดไม่ต้องพูดถึงว่าฉู่เจี้ยนกั๋วจะยอมตายเพื่อเธอเลย แค่ขอให้เขาก้าวหน้าขึ้นอีกหน่อยเหมือนอย่างคุณลุง เธอก็คงไม่ต้องตกต่ำมาถึงขั้นอย่างวันนี้หรอก!ในใจฉู่ซืออี๋
หลังผู้กำกับตะโกนว่าผ่าน เวินเหลียงก็หยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ไปให้ฉู่ซืออี๋ตอนบ่ายยังมีฉากของฉู่ซืออี๋อีก พวกเธอกินข้าวเที่ยงกันที่กองถ่ายขณะที่เวินเหลียงเอาข้าวเที่ยงไปให้ฉู่ซืออี๋ ก็ได้ยินฉู่ซืออี๋รับสายอยู่ในรถ ราวกับว่าเป็นคนจากออฟฟิศของเธอโทรมา แสดงออกประมาณว่าทางนักลงทุนส่งบทละครมาสองสามเรื่อง มาถามให้ฉู่ซืออี๋เลือกหน่อยในบทละครสองสามเรื่องนั้น เวินเหลียงเคยได้ยินสองเรื่อง ล้วนเป็นบทละครนักลงทุนขั้นถัดไปเห็นดีเห็นงามแล้วทั้งนั้น ศิลปินมากมายต่างตบตีแย่งชิงกันเพื่อเข้าไปผู้กำกับและคนเขียนบทละครของบทละครหนึ่งในนั้นเข้าขาทำงานด้วยกันมาหลายครั้ง ได้รับรางวัลมานับไม่ถ้วน ล้วนเป็นบุคคลผู้ประสบความสำเร็จที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งในวงการ เป็นละครฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งที่เหลืออีกสองสามเรื่องเธอลองตรวจสอบดูแล้ว ล้วนเป็นละครที่สร้างขึ้นมาจากนิยายชื่อดังทั้งสิ้น แน่นอนว่าย่อมมีกระแสอยู่ในตัวเองอยู่แล้วเวินเหลียงประหลาดใจไปครู่หนึ่งในสองวันนี้ตอนที่เธอพัก ได้ยินทีมงานในกองถ่ายและนักแสดงตัวประกอบคุยกัน ก็พอจะเข้าใจวงการนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว คนที่เป็นฝ่ายเลือกบทละครได้ก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะด
ผ่านไปไม่กี่นาที่ ฉู่ซืออี๋ก็มาถึงเช่นกัน ก่อนจะเรียกให้เวินเหลียงขึ้นไปยังห้องรับรองที่จองเอาไว้ชั้นบนพร้อมกัน ภายในห้องรับรองมีคนมารออยู่สองสามคนแล้ว ล้วนเป็นนักแสดงที่เวินเหลียงเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อนทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่เป็นนักแสดงมากฝีมือวัยกลางคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากพวกเขาคงเป็นนักแสดงที่ร่วมแสดงในรายการนี้เมื่อเห็นฉู่ซืออี๋เข้ามา ทั้งสองสามคนนั้นก็ทักทายกันอย่างเกรงอกเกรงใจฉู่ซืออี๋หาที่นั่งแล้วนั่งลงภายในห้องรับรองกลับไปเงียบสงัดลงอีกครั้ง บรรยากาศค่อย ๆ หยุดนิ่งไปนักแสดงมากฝีมือวัยกลางคนคนนั้นเป็นคนเอ่ยปากออกมาก่อน พร้อมเลือกหัวข้อสนทนาขึ้นมาขณะพูดคุยกันแม้จะมีความผิวเผิน ขานรับไปเรื่อย ทว่าดีร้ายยังไงก็ต้องทลายบรรยากาศอิหลักอิเหลื่อแปลกพิกลนี่เวินเหลียงครุ่นคิด นี่ก็คือวงการบันเทิงเหรอ?แม้จะเป็นเพื่อนร่วมงานกัน แต่ก็ยากจะพูดคุยเหมือนอย่างปกติ เพราะไม่แน่ว่าเมื่อไรจะมีผลประโยชน์เข้ามาพัวพัน กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกันเวลาประมาณเก้าโมงสิบนาที คนอื่น ๆ ก็ทยอยมากันทุกคนต่างลุกขึ้นต้อนรับคนที่มาในครั้งนี้ เป็นผู้กำกับของรายการ รองผู้กำกับสองคนและค
“หา?”เวินเหลียงที่จู่ ๆ ก็ถูกขานชื่อสะดุ้งโหยง เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะพบว่าทุกคนมองมาที่เธอเป็นสายตาเดียวกันในฐานะผู้ช่วยคนหนึ่ง เธอพยายามลดความรู้สึกการมีตัวตนของตัวเองลงต่ำที่สุดแล้ว ทว่าทำไมผู้กำกับยังถามความคิดเห็นจากเธออีกล่ะ?เดี๋ยวนะเหมือนว่าผู้กำกับจะรู้จักเธอด้วย?“คุณคิดว่าตรงนี้อวี้หม่านควรมีปฏิกิริยายังไง?” ผู้กำกับเจิ้งถามขึ้นอีกรอบเวินเหลียงเห็นสีหน้าของผู้กำกับดูจริงจังเป็นอย่างมาก เธอจึงไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน “ฉันยังไม่เคยอ่านบทละคร ไม่รู้ว่าตรงนี้เป็นฉากประมาณไหน ฉันจะพูดในมุมของผู้ชมคนหนึ่งนะคะ ถ้าในใจของอวี้หม่านเต็มไปด้วยการแสวงหาตั้งแต่เริ่มแรก กลับกันได้สูญเสียคุณค่าของการตั้งค่าบทละครตัวนี้ไปแล้ว สูญเสียความเป็นตัวเองในตอนแรกไปท่ามกลางพวกตัวร้าย ฉันคิดว่า คนดูอาจจะยิ่งชอบดูการแสดงที่คนดี ๆ คนหนึ่งถูกบีบให้เปลี่ยนไปอยู่ในเส้นทางดำมืดภายใต้แรงกดดันของชีวิตมากกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ตัวละครอวี้หม่านก็จะยิ่งมีอรรถรสมากขึ้น และเพิ่มความรู้สึกอินไปด้วยในขณะเดียวกัน”บทตัวร้ายที่ถูกบีบจนกลายเป็นพวกตัวร้ายมักจะดึงดูดความโศกเศร้าและความเห็นอกเห็นใจมากกว่าพ
พูดไปพลางเธอก็กระดกดื่มอึกเดียวหมด เกลี้ยงจนเห็นก้นแก้วแวววับเด็กใหม่อีกคนกลัวว่าจะสู้ไม่ได้ จึงเริ่มดื่มเหล้าคารวะเช่นกัน และเวินเหลียงก็ดื่มเหล้าแทนฉู่ซืออี๋อย่างเดิมหลังดื่มแก้วนี้หมด ต่อมานักแสดงคนอื่น ๆ ก็เริ่มมาดื่มเหล้าคารวะด้วยเช่นกัน ต่างพูดคุยกับฉู่ซืออี๋ ทว่าชนแก้วเหล้ากับเวินเหลียงหลังหญิงสามชายสองดื่มเหล้าคารวะกันเสร็จ ฉู๋ซืออี๋กับเวินเหลียงก็อื่มคารวะให้กับทุกคนที่อยู่บนโต๊ะหลังคารวะผู้กำกับเจิ้งเสร็จ ฉู่ซืออี๋ก็รินเหล้าให้เวินเหลียง พร้อมพยักหน้าให้รองผู้กำกับหม่า “รองผู้กำกับหม่าคะ ต่อไปตอนทำงานร่วมกันฝากเนื้อปากตัวด้วยนะคะ”“ฉันขอดื่มเหล้าคารวะคุณแทนคุณฉู่ค่ะ” เวินเหลียงยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับแก้วของรองผู้กำกับหม่ารองผู้กำกับหม่ายิ้มตาหยี “เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เราร่วมแรงร่วมใจกัน ปีหน้าต้องดังระเบิดระเบ้อแน่นอน”ไม่รู้ว่าเวินเหลียงรู้สึกไปเองหรือเปล่า เธอมักรู้สึกว่าสายตาที่รองผู้กำกับหม่ามองเธอมันดูแปลก ๆดื่มลงคอไปแก้วแล้วแก้วเล่า เวินเหลียงรู้สึกได้ว่าในท้องมีเปลวเพลิงกำลังแผดเผาอยู่ก้อนหนึ่ง หลังดื่มเหล้าไปแก้มก็แดงระเรื่อไปหมด ดวงตาทั้งสองชุ่มน้ำ ค่อ
เธอเมาหมดสติไปแล้วไม่ใช่เหรอ?ความคิดเพิ่งผุดวาบขึ้นมาในหัว รองผู้กำกับหม่ายังไม่ทันได้ตอบสนองใด ๆ เลยด้วยซ้ำ ก็เห็นเวินเหลียงยกมือขึ้นมาแล้ว...เสียง ‘ซี๊ด’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง“อ๊า...”รองผู้กำกับหม่าเอามือปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้ พร้อมเปล่งเสียงโอดครวญแสนเจ็บปวดออกมาอาการแสบร้อนที่มาพร้อมกับสเปรย์พริกไทยทำเอาเขาอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมาโดยอัตโนมัติ เบื้องหน้ากลายเป็นสีดำสนิท“นังคนชั้นต่ำ!”เขาหลับตาลง มือทั้งสองคว้านไปที่คอของเวินเหลียงโดยอาศัยภาพในความทรงจำ ทว่าคลำเจอเพียงไหล่ของเวินเหลียงเท่านั้นเวินเหลียงดิ้นออกไป ขวดเหล้าขวดหนึ่งถูกแกว่งไปบนศีรษะของรองผู้กำกับหม่า‘เพล้ง...’ขวดแก้วแตกกระจัดกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ของเหลวกระเด็นไปทั่วบนศีรษะของรองผู้กำกับหม่ามีเลือดสีแดงสดสายหนึ่งไหลออกมา เขาใช้มือปิดศีรษะเอาไว้ก่อนจะสลบไปเห็นเขานอนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่บนเตียง เวินเหลียงก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะใช้เท้าเตะเขา เมื่อเห็นว่าเขาไร้ซึ่งการตอบสนองใด ๆ เธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งฉู่ซืออี๋ให้เธอมาเป็นผู้ช่วย ก็เพื่อทำให้เธอลำบากไม่ใช่เหรอ?ตอนที่ฉู่ซืออี๋ให้เธอมาร่วมกินข้าวด้
คนที่โทรเข้ามาก็คือคนที่เธอส่งไปคอยจับตาดูหน้าห้องนั่นแหละเมื่อเห็นว่าเป็นเขา ฉู่ซืออี๋ก็ประหลาดใจ หลังกดรับสายเธอก็ถามขึ้นว่า “มีอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”คนที่อยู่ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง “เมื่อกี้มีรถพยาบาลมารับตัวรองผู้กำกับหม่าไปแล้วครับ”ฉู๋ซืออี๋ “?”หรือว่ารองผู้กำกับหม่าทำกิจหลังดื่มเหล้า แล้วไม่ได้ระวังน้องชายติดอยู่ข้างใน?ฮึ ตาแก่วัยสี่สิบกว่าปี ไขมันเต็มตัว เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นฉู่ซืออี๋ไม่แปลกใจเลยสักนิด!ทุกครั้งที่อยู่กับรองผู้กำกับหม่า สำหรับเธอแล้วราวกับถูกทรมานด้วยการเลาะกระดูกเมื่อนึกถึงว่าเวินเหลียงเองก็ต้องมาประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกัน อารมณ์ของฉู่ซืออี๋ก็ดีขึ้นไม่น้อย“เมื่อกี้ผมเข้าไปดูใกล้ ๆ เสื้อผ้าของรองผู้กำกับหม่ายังอยู่ครบครับ เหมือนว่าบนหัวจะถูกคนทุบจนแตกด้วย...”ฉู่ซืออี๋เอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “นายว่าอะไรนะ? นายแน่ใจนะว่ามองไม่ผิด?!”“ไม่ผิดแน่ครับ”ฉู่ซืออี๋ “...”เธอไม่รู้ว่าควรอธิบายอารมณ์ในตอนนี้ยังไงดีเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หัวใจของฉู่ซืออี๋ก็เต้นตึกตักขึ้นมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะถามออกไปว่า “นายเข้าไปด