เลขาหยางจะพูดแต่หยุดเอาไว้ถ้าเธอจำไม่ผิด ฮั่วตงเฉิงคนนี้ก็คือหัวหน้าสมาคมหัวเฉียวตอนที่คุณผู้หญิงไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศในปีนั้นยังไงล่ะ เคยช่วยคุณผู้หญิงมาไม่น้อย เป็นหนึ่งในผู้ชายที่สนิทกับคุณผู้หญิง และอาจเป็นพ่อของลูกที่คุณผู้หญิงเคยคลอดออกมาก็ได้!ไม่แน่ว่าที่เขาเหม็นขี้หน้าประธานฟู่ถึงขนาดนี้ เป็นเพราะรู้ว่าประธานฟู่คืออดีตสามีของคุณผู้หญิง!หนึ่งในสาเหตุที่ฟู่เจิงหวนกลับฟู่ซื่อในครั้งนี้ ก็เพราะตระกูลฮั่วกว้านซื้อตัวเหล่าบุคคลที่เป็นหัวใจหลักในโปรเจกต์พลังงานใหม่ของฟู่ซื่อ กรุ๊ปไปในราคาสูง โปรเจกต์จึงต้องหยุดพักไปต่อไม่ได้ทุกวันที่ล่าช้าไป จะมีความเสียหายมูลค่าหลายบาทก่อนหน้านี้ฟู่เจิงเป็นคนประคองโปรเจกต์นี้คนเดียว ลงทุนไปไม่น้อย ผู้บริหารระดับสูงไม่ยอมให้ความพยายามที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า ฟู่เจิงเองก็ไม่ยอมเช่นกันถึงยังไงก็ไม่ควรประมาทคนแซ่ฮั่วนี่เลขาหยางกำลังคิดจะพูดเตือนฟู่เจิงเรื่องความสัมพันธ์ของฮั่วตงเฉิงและเวินเหลียง ทว่าในจังหวะนี้เองประตูลิฟต์ก็เปิดออก ฟู่เจิงสาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปเลขาหยางทำได้เพียงสับเท้าเดินตามไปอย่างรวดเร็วการทานอาหารในครั้งนี้ ที่ส
เธอถือกระเป๋าเดินเข้าไปในร้านอาหาร แล้วมุ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสองเลย ก่อนจะเดินหน้าไปยังห้องรับรองที่จองไว้เดินผ่านตรงหัวมุม เวินเหลียงขึ้นบันไดไปพลางเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงปากบันไดชั้นสอง ซึ่งคือเงาร่างที่เธอเห็นเมื่อครู่ ฉู่ซืออี๋!ฉู่ซืออี๋แต่งตัวสวยสะดุดตา กำลังยืนพิงอยู่บนราวบันได ใบหน้าแฝงรอยยิ้มอันงดงามเอาไว้ เธอมองเวินเหลียงตาไม่กะพริบ ราวกับจงใจมารอเธออย่างนั้น “ที่แท้ฉันก็ไม่ได้ตาฝาดไป นั่นเป็นรถเธอจริง ๆ!”ฝีเท้าของเวินเหลียงชะงัก ก่อนจะขึ้นบันไดต่อ “ทำไม? ที่คุณฉู่มายืนรอฉันตรงนี้ เพราะอยากพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับฉันเหรอ?”“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว” ฉู่ซืออี๋ยิ้มไปพูดไป นัยน์ตาประกายความโหดร้ายออกมาสายหนึ่ง “ฉันก็แค่อยากเอาของขวัญสุดพิเศษชิ้นหนึ่งให้เธอเท่านั้น...”เมื่อสิ้นเสียง จู่ ๆ เธอก็ยื่นมือออกไปแล้วออกแรงผลัก“อ๊า...”เวินเหลียงไม่ทันได้ระวังตัว เท้าลอยขึ้นกลิ้งตกลงไปจากบนบันไดเลยในวินาทีนั้นโลกหมุนติ้วไปหมดเมื่อเธอได้สติกลับมา ก็ตกลงมาบนพื้นอย่างแรงแล้ว ความเจ็บปวดทำให้ตรงหน้าเธอมืดไปหมดเมื่อเธอเงยหน้ามองขึ้นไป ฉู่ซืออี๋หายไปแล้วแ
มิน่าล่ะ มิน่าล่ะหาอยู่ในอินเทอร์เน็ตตั้งนานสองนานก็หาข่าวที่เกี่ยวข้องกับปีนั้นไม่เจอเลยมิน่าล่ะเมื่อกี้ฉู่ซืออี๋ถึงได้ผลักเธออย่างกำเริบเสิบสาน เพราะรู้ว่าเธอมีเรื่องอยากจะขอร้องเขา จึงไม่กล้าแจ้งตำรวจอยู่แล้วในวินาทีนี้ ความคิดที่เดิมทีแจ่มชัดของเวินเหลียงพลันเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงไปหมด ราวกับเส้นด้ายที่ม้วนพันอยู่ด้วยกัน จะคลี่ยังไงก็คลี่ไม่ออกก่อนหน้าจะเข้ามา เธอคิดเอาไว้แล้วว่าจะโน้มน้าวให้เหยื่อพูดให้การทว่าข่าวที่ว่าฉู่ซืออี๋คือเหยื่อคนนั้น ทำเอาเธอรับมือไม่ทัน กวนการเตรียมการที่เธอเตรียมเอาไว้แล้วยุ่งเหยิงไปหมดทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงดีฉู่ซืออี๋จะออกหน้าไประบุตัวไหม?เวินเหลียงไม่แน่ใจเลยเธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกมานั่งลงข้างโซฟา “บุญคุณความแค้นของเราก่อนหน้านี้ยังไม่ต้องไปพูดถึง เธอรู้จุดประสงค์ที่ฉันนัดเจอเธอ ฉันหวังว่าเธอจะออกหน้ามาระบุตัวเมิ่งจินถัง เขาคือโจรเรียกค่าไถ่ที่ทำให้เกิดเรื่องกับเธอ หรือว่าเธอไม่อยากให้พวกเขาได้รับโทษตามกฎหมายที่สมควรได้รับ?”ฉู่ซืออี๋หัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปชี้หน้า
เวินเหลียงกระตุกยิ้มมุมปาก “...”เธอจ้องฉู่ซืออี๋เขม็งอย่างเคียดแค้น ในใจเดือดดาลจนแทบจะระเบิดออกมา นิ้วกำเข้าหากันแน่นจนเป็นหมัด ถึงได้ควบคุมความพลุ่งพล่านที่ตัวเองอยากเข้าไปตบฉู่ซืออี๋สักสองฉาดได้ในใจเวินเหลียงรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมากไปแล้ว โดยพื้นฐานแล้วทางฝ่ายฉู่ซืออี๋คงตั้งความหวังไว้ไม่ได้แล้วเธอทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับจี้ตัน หวังว่าเขาจะไม่ใช่จอมลวงโลก หวังว่าเขาจะพาตัวจางกั๋วอันกลับมาประเทศได้ในขณะนี้เอง จู่ ๆ โทรศัพท์ของเวินเหลียงก็มีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าแว่วดังขึ้นมาเธอกดเปิดอ่าน เป็นข้อความตอบกลับของจี้ตันอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆเขาตอบ “โอ้ชิต! เราจับตัวจางกั๋วอันได้แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนที่ใกล้จะถึงชายแดน เขาจะหนีไปได้!”กลัวเธอไม่เชื่อ จี้ตันยังส่งเอ็มเอ็มเอสมาสองสามภาพ เป็นรูปภาพที่จางกั๋วอันถูกมัดเวินเหลียงตรวจสอบดู รูปร่างหน้าตาคล้ายกับในรูปที่ถูกประกาศจับของจางกั๋วอันจริง ๆ ดูท่าจี้ตันจะไม่ใช่จอมลวงโลก แต่จางกั๋วอันหนีไปแล้ว...การหนีไปครั้งนี้ เขามีการระแวดระวังตัวแล้ว จะจับตัวได้อีกคงยาก!ในใจเวินเหลียงพลันจมดิ่งลงไปใต้หุบเหว อารมณ์หดหู่อย่
ฟู่เจิงอุ้มเวินเหลียงเข้าไปวางในที่นั่งด้านหลังของรถ พร้อมมองประเมินเธออย่างจริงจังตรงขมับมีเลือดออก แปะปลาสเตอร์ยาเอาไว้ลวก ๆ สองอัน ใบหน้าซีกซ้ายบวมแดง ด้านบนมีรอยประทับห้านิ้วมือชัดเจน และยังมีเท้าซ้าย...เขายกเท้าซ้ายของเวินเหลียงขึ้นมา กำลังจะถอดรองเท้าบูตออก เวินเหลียงคิดจะชักเท้ากลับไป ทว่าถูกเขากดน่องเอาไว้ เมื่อถอดรองเท้าบูตออกมา แม้ยังใส่ถุงเท้าเอาไว้อยู่ แต่ยังคงเห็นส่วนที่บวมนูนปูดขึ้นมาตรงข้อเท้าสรุปก็คือมองไปทั้งตัวเธอน่าอนาถสุด ๆนัยน์ตาฟู่เจิงลึกซึ้งไปหมด เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ตกลงนี่มันเกิดอะไรเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แผลพวกนี้มาได้ยังไง? ใครตบตีเธอ?”เวินเหลียงเงียบไปอยู่สองสามวินาที “คุณไม่ต้องยุ่งหรอก”“เวินเหลียง!”เผชิญหน้ากับสายตาบีบให้ตอบคำถามของฟู่เจิง เวินเหลียงก็เบือนหน้าหนีไปเลยพลางหลับตาลงฟู่เจิง “...”เขาทั้งจนใจและทั้งโกรธเธอไม่พูดเขาก็จะไม่รู้งั้นเหรอ?ตกลงเป็นใครกันแน่ ที่ทำให้เธอต้องมาลำบากแบบนี้แถมยังปกปิดแทนคนนั้นอีก?ในการเข้าสังคมฟู่เจิงไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เลย เลขาที่ช่วยดื่มแทนเขาก็ถูกส่งตัวกลับไปเรียบร้อยแล้ว เขาขับรถ
ฟู่เจิงยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว เมื่อเห็นการกระทำของเธอ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “เข้าสังคมคืนนี้สนใจแต่พูดคุยกัน ไม่ค่อยได้กินข้าวเท่าไร เธออุ่นเกี๊ยวให้ฉันด้วยสักหน่อยสิ”เวินเหลียงหันหน้ากลับมาแล้วถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งฟู่เจิงฉีกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องรับแขกทันใดนั้นโทรศัพท์ที่เวินเหลียงวางไว้บนโต๊ะก็ดังขึ้นมาฟู่เจิงเดินมาดูทีหนึ่ง เป็นข้อความไลน์ภายใต้การล็อกหน้าจอเอาไว้ เห็นเพียงแค่ช่องโชว์ชื่อคนที่ส่งข้อความมาชื่อว่าตงเจ๋อ ทว่าดูรายละเอียดข้อความไม่ได้ฟู่ซือฝานเคยเล่าให้ฟู่เจิงฟังว่า ตงเจ๋อคือช่างถ่ายภาพที่เวินเหลียงไปลงเรียนคอร์สถ่ายภาพ เธอยังมีแผนไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนกับตงเจ๋อด้วยแต่จูฝานและฟู่ซือฝานก็จะตามไปด้วย ฟู่เจิงจึงไมได้คิดมากอะไร คิดแค่เพียงเวินเหลียงอยากเรียนถ่ายภาพจริง ๆ“เข้ามายกถ้วยไปหน่อย!”มีเสียงของเวินเหลียงแว่วดังขึ้นมาจากในห้องครัวฟู่เจิงเดินเข้าไป มือแต่ละข้างถือถ้วยออกมาวางไว้บนโต๊ะเวินเหลียงเดินตามอยู่ด้านหลัง ในมือถือตะเกียบพร้อมกับถ้วยใบหนึ่ง ในถ้วยเป็นน้ำส้มสายชูละกระเทียมสับทั้งสองคนนั่งกินเกี๊ยวน้ำอยู่บนโซฟา ฟู่ซื
“ขอโทษค่ะ ให้พวกคุณรอนานแล้ว”“พวกเราเองก็เพิ่งถึงเหมือนกัน” ฮั่วตงเฉิงมองประเมินเวินเหลียงตั้งแต่หัวจรดเท้า “แผลบนขมับของเธอมันเกิดอะไรขึ้นกัน? ร้ายแรงไหม?”“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ไม่ทันได้ระวังเลยหกล้มไป”“ไม่เจอกันหลายปี เธอยังสวยเหมือนตอนอยู่มหาลัยเลยนะ”“ที่ไหนกันล่ะคะ” เวินเหลียงยิ้มอย่างเขินอาย “พี่ตงเฉิง ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จักนะคะ สองคนนี้เป็นเพื่อนฉัน นี่คือซือซือ นี่คือจูฝาน จูจูเองก็เป็นช่างภาพเหมือนกัน คนที่ยังไม่ลงมาจากรถคือหลานสาวของฉัน” ถังซือซือยิ้มพลางเอ่ย “พี่สุดหล่อ สวัสดีค่ะ ฉันคือถังซือซือ”การเป็นทุกข์ใจความรู้สึกประเภทนี้ ไม่มีทางอยู่กับถังซือซือนาน เธอมักจะเยียวยาให้หายด้วยตัวเองได้เสมอ ไม่นานก็กลับมาร่าเริงอีกครั้งแล้วจูฝานพยักหน้าไปทางฮั่วตงเฉิง “สวัสดีค่ะ ฉันคือจูฝาน”สายตาของฮั่วตงเฉิงเบือนไปทางถังซือซือ ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเบือนไปมองที่จูฝาน พยักหน้าพลางยิ้มแย้มอย่างสุภาพบุรุษ “สวัสดีครับทุกคน ผมฮั่วตงเฉิง เป็นอาจารย์ของอาเหลียง รอถึงหนิงชิงแล้ว เราจะได้ศึกษากันมากขึ้น”ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับจูฝานจูฝานตอบกลับพร้อมยิ้มแย้ม “ด้วยความยินดีค่ะ”เบ
ประมาณห้าโมงเย็นกว่า ๆ ทุกคนก็มาถึงยังหนิงชิง รถยนต์แล่นตามกันเข้าไปยังลานจอดรถใต้ดินของโรงแรมที่จองเอาไว้แล้วหลังเวินเหลียงลงจากรถมาก็หันไปอุ้มฟู่ซือฝานลงมา จากนั้นก็เอากระเป๋าสัมภาระออกมา เดินไปทางลิฟต์พร้อมกับจูฝานและถังซือซือถังซือซือลากกระเป๋าสัมภาระพลางมองไปรอบ ๆ “พวกเขาล่ะ?”“รถพวกเขาจอดอยู่ทางนั้น เราไปทำเรื่องเช็กอินกันก่อนเถอะ” เวินเหลียงเอ่ยถังซือซือบ่นพึมพำ “ตรงนี้ก็มีที่ว่าง ทำไมพวกเขาถึงไปจอดไกลขนาดนั้น?”“ใครจะไปรู้ล่ะ”ทั้งสามคนบวกฟู่ซือฝานขึ้นลิฟต์ขึ้นไปชั้นหนึ่งก่อน แล้วไปทำเรื่องเช็กอินหลังพี่สาวหน้าเคาน์เตอร์ป้อนข้อมูลส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็ส่งคีย์การ์ดให้พวกเธอ “เรียบร้อยแล้วค่ะ หมายเลขห้องของพวกคุณคือ 1605 ขึ้นลิฟต์ทางด้านนี้ไปยังชั้นสิบหก จากนั้นเลี้ยวซ้ายห้องที่สี่ค่ะ”พวกเธอยังคงจองห้องสวีทที่มีสามห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นร่วมกัน แบ่งห้องนอนกันคนละห้อง ฟู่ซือฝานนอนกับเวินเหลียง“โอเคค่ะ”เวินเหลียงหยิบคีย์การ์ดมา แล้วเดินไปทางลิฟต์ลิฟต์ลงมาพอดี ทั้งสี่คนเดินเข้าไประหว่างประตูลิฟต์ปิดลงพอดี ประตูลิฟต์ข้าง ๆ ที่ขึ้นมาชั้นหนึ่งจากด้านล่างก็เปิดออก พวก