ฟู่เจิงยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว เมื่อเห็นการกระทำของเธอ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “เข้าสังคมคืนนี้สนใจแต่พูดคุยกัน ไม่ค่อยได้กินข้าวเท่าไร เธออุ่นเกี๊ยวให้ฉันด้วยสักหน่อยสิ”เวินเหลียงหันหน้ากลับมาแล้วถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งฟู่เจิงฉีกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องรับแขกทันใดนั้นโทรศัพท์ที่เวินเหลียงวางไว้บนโต๊ะก็ดังขึ้นมาฟู่เจิงเดินมาดูทีหนึ่ง เป็นข้อความไลน์ภายใต้การล็อกหน้าจอเอาไว้ เห็นเพียงแค่ช่องโชว์ชื่อคนที่ส่งข้อความมาชื่อว่าตงเจ๋อ ทว่าดูรายละเอียดข้อความไม่ได้ฟู่ซือฝานเคยเล่าให้ฟู่เจิงฟังว่า ตงเจ๋อคือช่างถ่ายภาพที่เวินเหลียงไปลงเรียนคอร์สถ่ายภาพ เธอยังมีแผนไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนกับตงเจ๋อด้วยแต่จูฝานและฟู่ซือฝานก็จะตามไปด้วย ฟู่เจิงจึงไมได้คิดมากอะไร คิดแค่เพียงเวินเหลียงอยากเรียนถ่ายภาพจริง ๆ“เข้ามายกถ้วยไปหน่อย!”มีเสียงของเวินเหลียงแว่วดังขึ้นมาจากในห้องครัวฟู่เจิงเดินเข้าไป มือแต่ละข้างถือถ้วยออกมาวางไว้บนโต๊ะเวินเหลียงเดินตามอยู่ด้านหลัง ในมือถือตะเกียบพร้อมกับถ้วยใบหนึ่ง ในถ้วยเป็นน้ำส้มสายชูละกระเทียมสับทั้งสองคนนั่งกินเกี๊ยวน้ำอยู่บนโซฟา ฟู่ซื
“ขอโทษค่ะ ให้พวกคุณรอนานแล้ว”“พวกเราเองก็เพิ่งถึงเหมือนกัน” ฮั่วตงเฉิงมองประเมินเวินเหลียงตั้งแต่หัวจรดเท้า “แผลบนขมับของเธอมันเกิดอะไรขึ้นกัน? ร้ายแรงไหม?”“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ไม่ทันได้ระวังเลยหกล้มไป”“ไม่เจอกันหลายปี เธอยังสวยเหมือนตอนอยู่มหาลัยเลยนะ”“ที่ไหนกันล่ะคะ” เวินเหลียงยิ้มอย่างเขินอาย “พี่ตงเฉิง ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จักนะคะ สองคนนี้เป็นเพื่อนฉัน นี่คือซือซือ นี่คือจูฝาน จูจูเองก็เป็นช่างภาพเหมือนกัน คนที่ยังไม่ลงมาจากรถคือหลานสาวของฉัน” ถังซือซือยิ้มพลางเอ่ย “พี่สุดหล่อ สวัสดีค่ะ ฉันคือถังซือซือ”การเป็นทุกข์ใจความรู้สึกประเภทนี้ ไม่มีทางอยู่กับถังซือซือนาน เธอมักจะเยียวยาให้หายด้วยตัวเองได้เสมอ ไม่นานก็กลับมาร่าเริงอีกครั้งแล้วจูฝานพยักหน้าไปทางฮั่วตงเฉิง “สวัสดีค่ะ ฉันคือจูฝาน”สายตาของฮั่วตงเฉิงเบือนไปทางถังซือซือ ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเบือนไปมองที่จูฝาน พยักหน้าพลางยิ้มแย้มอย่างสุภาพบุรุษ “สวัสดีครับทุกคน ผมฮั่วตงเฉิง เป็นอาจารย์ของอาเหลียง รอถึงหนิงชิงแล้ว เราจะได้ศึกษากันมากขึ้น”ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับจูฝานจูฝานตอบกลับพร้อมยิ้มแย้ม “ด้วยความยินดีค่ะ”เบ
ประมาณห้าโมงเย็นกว่า ๆ ทุกคนก็มาถึงยังหนิงชิง รถยนต์แล่นตามกันเข้าไปยังลานจอดรถใต้ดินของโรงแรมที่จองเอาไว้แล้วหลังเวินเหลียงลงจากรถมาก็หันไปอุ้มฟู่ซือฝานลงมา จากนั้นก็เอากระเป๋าสัมภาระออกมา เดินไปทางลิฟต์พร้อมกับจูฝานและถังซือซือถังซือซือลากกระเป๋าสัมภาระพลางมองไปรอบ ๆ “พวกเขาล่ะ?”“รถพวกเขาจอดอยู่ทางนั้น เราไปทำเรื่องเช็กอินกันก่อนเถอะ” เวินเหลียงเอ่ยถังซือซือบ่นพึมพำ “ตรงนี้ก็มีที่ว่าง ทำไมพวกเขาถึงไปจอดไกลขนาดนั้น?”“ใครจะไปรู้ล่ะ”ทั้งสามคนบวกฟู่ซือฝานขึ้นลิฟต์ขึ้นไปชั้นหนึ่งก่อน แล้วไปทำเรื่องเช็กอินหลังพี่สาวหน้าเคาน์เตอร์ป้อนข้อมูลส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็ส่งคีย์การ์ดให้พวกเธอ “เรียบร้อยแล้วค่ะ หมายเลขห้องของพวกคุณคือ 1605 ขึ้นลิฟต์ทางด้านนี้ไปยังชั้นสิบหก จากนั้นเลี้ยวซ้ายห้องที่สี่ค่ะ”พวกเธอยังคงจองห้องสวีทที่มีสามห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นร่วมกัน แบ่งห้องนอนกันคนละห้อง ฟู่ซือฝานนอนกับเวินเหลียง“โอเคค่ะ”เวินเหลียงหยิบคีย์การ์ดมา แล้วเดินไปทางลิฟต์ลิฟต์ลงมาพอดี ทั้งสี่คนเดินเข้าไประหว่างประตูลิฟต์ปิดลงพอดี ประตูลิฟต์ข้าง ๆ ที่ขึ้นมาชั้นหนึ่งจากด้านล่างก็เปิดออก พวก
“ซือซือ เจอกันอีกแล้วนะ สุขสันต์วันปีใหม่” บนใบหน้าของเยี่ยนหวยแฝงความอบอุ่นและรอยยิ้มเอาไว้ เขาเดินมาล้างมือตรงก๊อกน้ำข้างถังซือซือถังซือซือถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”“มาทำธุระที่นี่นิดหน่อยน่ะ เธอล่ะ?” เยี่ยนหวยดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ดมือจากบนผนังข้าง ๆ สองแผ่น ทำทุกอย่างอย่างสบายอกสบายใจ“เที่ยว” ถังซือซือเปล่งเสียงออกมาแค่คำเดียวอย่างกับขี้งก จากนั้นก็สะบัดน้ำที่มือออก แล้วก้าวเท้าเดินออกไปเลยเยี่ยนหวยคว้าแขนของเธอเอาไว้ “จะมีโอกาสได้ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหม?”“ไม่มีโอกาส” ถังซือซือสลัดมือของเขาออก แล้วสาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปจากห้องน้ำทันทีกลับมาถึงโต๊ะกินข้าว เวินเหลียงเห็นสีหน้าเธอแปลกไป จึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไปเหรอ?”ถังซือซือแค่นเสียงฮึขึ้นมาเสียงหนึ่ง “เจอขยะชิ้นหนึ่งน่ะ เซ็งจริง ๆ”เวินเหลียงรู้ได้ในทันทีว่าที่เธอพูดหมายถึงใคร “เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”“อืม” ถังซือซือยัดอาหารเข้าปากไปอย่างไม่คิดอะไรอีกสองคำ ก่อนจะวางตะเกียบลง “ฉันไม่กินแล้ว ขอตัวกลับห้องก่อนนะ ตอนค่ำออกไปไหม?”เวินเหลียงมองไปที่ฮั่วตงเฉิงฮั่วตงเฉิงมองนาฬิกาข้อมือ แล้ว
“...ใช่ค่ะ...” เลขาหยางไม่กล้าส่งเสียงหายใจแรง ๆ ออกมาฟู่เจิงพลันลุกจากเก้าอี้ทันที ก่อนจะทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “มีอะไรโทรหาผมนะ” แล้วสาวเท้ากาวยาวออกไปจากห้องทำงานเลยเลขาหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาช่วยจองโรงแรมให้ฟู่เจิงพวกเวินเหลียงออกไปตอนสองทุ่ม เดินถ่ายรูปไปตามริมถนนของเมือง ถังซือซือไปเป็นนางแบบให้พวกเขาอยู่เป็นระยะทุกครั้งที่ฮั่วตงเฉิงเห็นว่ารูปถ่ายของเวินเหลียงมีจุดที่ต้องพยายามขึ้นอีกหน่อย ก็จะสาธิตให้ดูด้วยตัวเองเดินกันไปได้พักหนึ่ง ฟู่ซือฝานก็เหนื่อยหอบแฮก ๆ ๆ เดินต่อไม่ไหวแล้ว เสี่ยวโยวจึงอุ้มเธอเดินสี่ทุ่มกว่ากลับมาถึงโรงแรม หลังเวินเหลียงอาบน้ำเสร็จ ก็ไปเลื่อนดูเหล่ารูปภาพที่ถ่ายมาวันนี้บนเตียง รู้สึกได้ความรู้มากมายฟู่ซือฝานหลับฝันหวานไปแล้ว เธอวางโทรศัพท์ลง แล้วปิดไฟนอนคืนนี้เธอนอนหลับไม่สนิทดีรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝัน ทว่าทำยังไงก็ตื่นจากฝันไม่ได้ในภาพความฝัน ทุกคนต่างมาล้อมวงเล่นเกมกัน บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมากชายหนุ่มสวมชุดแสนประณีตคนหนึ่งถือแก้วเหล้าเดินเข้ามาชวนคุยเวินเหลียงรับมือคร่าว ๆ กระทั่งเธอหงุดหงิดจนไป
“คุณลุง!”เสียงไร้เดียงสาทลายบรรยากาศแสนเงียบสงัดลงฟู่ซือฝานตอบสนองกลับมาก่อนก้าวหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปด้านหน้าด้วยความดีอกดีใจ “คุณลุงมาได้ยังไงคะ?”“มาทำธุระแถวนี้น่ะ ก็เลยมาหาพวกเธอด้วย”ฟู่เจิงพูดกับฟู่ซือฝาน ทว่าสายตากลับมองมาที่เวินเหลียง ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความเป็นห่วงและการตำหนิ “เธอก็ด้วย แผลบนขมับยังไม่ทันหายดี เมื่อวานข้อเท้าก็เพิ่งจะดีขึ้น หมอบอกให้พักเยอะ ๆ หน่อย วันนี้เธอก็วิ่งแจ้นมาเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนซะแล้ว ไม่รู้จักดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองบ้างเลย”ซิกซ์เซนส์มันบอกเวินเหลียงว่า ฟู่เจิงไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แต่ตามเธอมาต่างหากแต่เวินเหลียงไม่ได้เปิดโปงอะไร เธอเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ร่างกายฉันไม่เป็นไร คุณไปทำงานเถอะ เราจะไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนกันแล้ว”สายตาของเธอเบือนไปทางฮั่วตงเฉิง “เราไปกันเถอะ ไกด์นำเที่ยวน่าจะมาถึงแล้ว”เห็นเวินเหลียงทำท่าทีเย็นชาใส่ฟู่เจิง บนใบหน้าของฮั่วตงเฉิงก็พลันแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่มีแต่ก็เหมือนไม่มี “โอเค”เวินเหลียงไม่ลืมที่จะถามฟู่ซือฝาน “ฝานฝาน เธอจะไปกับคุณลุงหรือว่า...”ไม่รอให้เธอพูดจบ ฟู่เจิงก็พูดตัดบท
ใบหน้าของลุงแก่ ๆ เต็มไปด้วยความฉงน อารมณ์เสียไม่ได้ดั่งใจ ทำไมถึงมีผู้ชายไร้อนาคตแบบนี้ได้เนี่ย?!ผู้ชายคนหนึ่งสูงหนึ่งร้อยแปดสิบหกยืนอยู่กลางรถ มันคับแคบเล็กน้อย ฟู่เจิงก้มหลังลงกึ่งหนึ่ง พลางมองไปรอบ ๆถังซือซือเล่นอุบาย เธอแยกกันนั่งกับจูฝาน พอเวินเหลียงขึ้นรถมา เธอก็โบกมือให้เวินเหลียงมานั่งข้างเธอ ห่างกับจูฝานด้วยทางเดินฟู่เจิงกับฟู่ซือฝานทำได้เพียงนั่งหน้าเวินเหลียงวันหยุดตรุษจีนผ่านไปแล้ว ทว่าคนที่มาท่องเที่ยวที่หนิงชิงกลับยังมีไม่น้อยมาถึงจุดชมวิวธรรมชาติแห่งหนึ่ง เวินเหลียงถือกล้องถ่ายรูปลงจากรถไปวิวที่ไม่เหมือนกันนั้น ก็มีวิธีแสดงออกที่ต่างกันออกไป ฮั่วตงเฉิงเดินไปด้วยพลางอธิบายความคุ้นชินของตัวเอง เวินเหลียงฟังอย่างตั้งใจ จูฝานเองก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองด้วยถังซือซือไม่เข้าใจ จึงมาเดินถ่ายรูปเองอยู่ข้าง ๆ พร้อมเป็นนางแบบให้ของพวกเขาไปด้วยฟู่เจิงมองเวินเหลียงอย่างเดือดดาลสองที พลางไปดูวิวทิวทัศน์เป็นเพื่อนฟู่ซือฝานจุดชมวิวมีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ที่อยู่ในกฎระเบียบกำลังขายขนมเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นเอย ของที่ระลึกเอย ฟู่ซือฝานสนใจเป็นอย่างมาก พอเห็นแผงลอยก็เป็นอัน
ห่างไปไม่ไกลนัก เวินเหลียงเอากล้องถ่ายรูปของเธอให้ฮั่วตงเฉิงดู ความรู้สึกสีและมุมของรูปในกล้องไม่เลวเลยทีเดียว ฮั่วตงเฉิงแสดงออกว่าชื่นชมในตัวเวินเหลียง แต่ก็เสนอความคิดเห็นของตัวเองไปด้วยเพียงแต่เวินเหลียงหามุมถ่ายอยู่หลายครั้งแล้ว ก็ยังถ่ายไม่ได้ผลลัพธ์ที่พอใจออกมาสักทีฉะนั้นฮั่วตงเฉิงจึงไปยืนข้างหลังเวินเหลียง แล้วใช้มือประคองมือเธอสอนหามุมที่ดีที่สุดมองไปจากมุมมองของฟู่เจิง ฮั่วตงเฉิงราวกับกำลังกอดเวินเหลียงไว้ในอ้อมอก ท่าทางสนิทสนมกันเป็นอย่างมากเขาหรี่ตาพลางเม้มริมฝีปากแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากกระตุก ก่อนจะพาฟู่ซือฝานเดินสับเท้าไปทางทั้งสองคนขณะใกล้ถึงแล้ว ฮั่วตงเฉิงก็ปล่อยมือลง แล้วมายืนดูหน้าจอของกล้องถ่ายรูปด้านข้าง “เป็นยังไงบ้าง?”เวินเหลียงสังเกตและศึกษารูปภายในกล้องถ่ายรูปอย่างละเอียด พลางยิ้มแล้วมองฮั่วตงเฉิง ก่อนจะเอ่ยชื่นชมว่า “จริง ๆ ด้วย วิวเดียวกันแต่มุมนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับรูปเมื่อกี้นั่นเลย สมแล้วที่เป็นช่างถ่ายภาพชื่อดังระดับนานาชาติ!”ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ฮั่วตงเฉิงมองเห็นไปถึงผิวขาวผ่องเรียบเนียนละเอียดดุจแพรไหม แววตาดอกซิ่งกลมโตโค้งขึ้นด้านบ