ประมาณห้าโมงเย็นกว่า ๆ ทุกคนก็มาถึงยังหนิงชิง รถยนต์แล่นตามกันเข้าไปยังลานจอดรถใต้ดินของโรงแรมที่จองเอาไว้แล้วหลังเวินเหลียงลงจากรถมาก็หันไปอุ้มฟู่ซือฝานลงมา จากนั้นก็เอากระเป๋าสัมภาระออกมา เดินไปทางลิฟต์พร้อมกับจูฝานและถังซือซือถังซือซือลากกระเป๋าสัมภาระพลางมองไปรอบ ๆ “พวกเขาล่ะ?”“รถพวกเขาจอดอยู่ทางนั้น เราไปทำเรื่องเช็กอินกันก่อนเถอะ” เวินเหลียงเอ่ยถังซือซือบ่นพึมพำ “ตรงนี้ก็มีที่ว่าง ทำไมพวกเขาถึงไปจอดไกลขนาดนั้น?”“ใครจะไปรู้ล่ะ”ทั้งสามคนบวกฟู่ซือฝานขึ้นลิฟต์ขึ้นไปชั้นหนึ่งก่อน แล้วไปทำเรื่องเช็กอินหลังพี่สาวหน้าเคาน์เตอร์ป้อนข้อมูลส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็ส่งคีย์การ์ดให้พวกเธอ “เรียบร้อยแล้วค่ะ หมายเลขห้องของพวกคุณคือ 1605 ขึ้นลิฟต์ทางด้านนี้ไปยังชั้นสิบหก จากนั้นเลี้ยวซ้ายห้องที่สี่ค่ะ”พวกเธอยังคงจองห้องสวีทที่มีสามห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นร่วมกัน แบ่งห้องนอนกันคนละห้อง ฟู่ซือฝานนอนกับเวินเหลียง“โอเคค่ะ”เวินเหลียงหยิบคีย์การ์ดมา แล้วเดินไปทางลิฟต์ลิฟต์ลงมาพอดี ทั้งสี่คนเดินเข้าไประหว่างประตูลิฟต์ปิดลงพอดี ประตูลิฟต์ข้าง ๆ ที่ขึ้นมาชั้นหนึ่งจากด้านล่างก็เปิดออก พวก
“ซือซือ เจอกันอีกแล้วนะ สุขสันต์วันปีใหม่” บนใบหน้าของเยี่ยนหวยแฝงความอบอุ่นและรอยยิ้มเอาไว้ เขาเดินมาล้างมือตรงก๊อกน้ำข้างถังซือซือถังซือซือถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”“มาทำธุระที่นี่นิดหน่อยน่ะ เธอล่ะ?” เยี่ยนหวยดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ดมือจากบนผนังข้าง ๆ สองแผ่น ทำทุกอย่างอย่างสบายอกสบายใจ“เที่ยว” ถังซือซือเปล่งเสียงออกมาแค่คำเดียวอย่างกับขี้งก จากนั้นก็สะบัดน้ำที่มือออก แล้วก้าวเท้าเดินออกไปเลยเยี่ยนหวยคว้าแขนของเธอเอาไว้ “จะมีโอกาสได้ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหม?”“ไม่มีโอกาส” ถังซือซือสลัดมือของเขาออก แล้วสาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปจากห้องน้ำทันทีกลับมาถึงโต๊ะกินข้าว เวินเหลียงเห็นสีหน้าเธอแปลกไป จึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไปเหรอ?”ถังซือซือแค่นเสียงฮึขึ้นมาเสียงหนึ่ง “เจอขยะชิ้นหนึ่งน่ะ เซ็งจริง ๆ”เวินเหลียงรู้ได้ในทันทีว่าที่เธอพูดหมายถึงใคร “เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”“อืม” ถังซือซือยัดอาหารเข้าปากไปอย่างไม่คิดอะไรอีกสองคำ ก่อนจะวางตะเกียบลง “ฉันไม่กินแล้ว ขอตัวกลับห้องก่อนนะ ตอนค่ำออกไปไหม?”เวินเหลียงมองไปที่ฮั่วตงเฉิงฮั่วตงเฉิงมองนาฬิกาข้อมือ แล้ว
“...ใช่ค่ะ...” เลขาหยางไม่กล้าส่งเสียงหายใจแรง ๆ ออกมาฟู่เจิงพลันลุกจากเก้าอี้ทันที ก่อนจะทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “มีอะไรโทรหาผมนะ” แล้วสาวเท้ากาวยาวออกไปจากห้องทำงานเลยเลขาหยางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาช่วยจองโรงแรมให้ฟู่เจิงพวกเวินเหลียงออกไปตอนสองทุ่ม เดินถ่ายรูปไปตามริมถนนของเมือง ถังซือซือไปเป็นนางแบบให้พวกเขาอยู่เป็นระยะทุกครั้งที่ฮั่วตงเฉิงเห็นว่ารูปถ่ายของเวินเหลียงมีจุดที่ต้องพยายามขึ้นอีกหน่อย ก็จะสาธิตให้ดูด้วยตัวเองเดินกันไปได้พักหนึ่ง ฟู่ซือฝานก็เหนื่อยหอบแฮก ๆ ๆ เดินต่อไม่ไหวแล้ว เสี่ยวโยวจึงอุ้มเธอเดินสี่ทุ่มกว่ากลับมาถึงโรงแรม หลังเวินเหลียงอาบน้ำเสร็จ ก็ไปเลื่อนดูเหล่ารูปภาพที่ถ่ายมาวันนี้บนเตียง รู้สึกได้ความรู้มากมายฟู่ซือฝานหลับฝันหวานไปแล้ว เธอวางโทรศัพท์ลง แล้วปิดไฟนอนคืนนี้เธอนอนหลับไม่สนิทดีรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝัน ทว่าทำยังไงก็ตื่นจากฝันไม่ได้ในภาพความฝัน ทุกคนต่างมาล้อมวงเล่นเกมกัน บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมากชายหนุ่มสวมชุดแสนประณีตคนหนึ่งถือแก้วเหล้าเดินเข้ามาชวนคุยเวินเหลียงรับมือคร่าว ๆ กระทั่งเธอหงุดหงิดจนไป
“คุณลุง!”เสียงไร้เดียงสาทลายบรรยากาศแสนเงียบสงัดลงฟู่ซือฝานตอบสนองกลับมาก่อนก้าวหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปด้านหน้าด้วยความดีอกดีใจ “คุณลุงมาได้ยังไงคะ?”“มาทำธุระแถวนี้น่ะ ก็เลยมาหาพวกเธอด้วย”ฟู่เจิงพูดกับฟู่ซือฝาน ทว่าสายตากลับมองมาที่เวินเหลียง ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความเป็นห่วงและการตำหนิ “เธอก็ด้วย แผลบนขมับยังไม่ทันหายดี เมื่อวานข้อเท้าก็เพิ่งจะดีขึ้น หมอบอกให้พักเยอะ ๆ หน่อย วันนี้เธอก็วิ่งแจ้นมาเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนซะแล้ว ไม่รู้จักดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองบ้างเลย”ซิกซ์เซนส์มันบอกเวินเหลียงว่า ฟู่เจิงไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แต่ตามเธอมาต่างหากแต่เวินเหลียงไม่ได้เปิดโปงอะไร เธอเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ร่างกายฉันไม่เป็นไร คุณไปทำงานเถอะ เราจะไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนกันแล้ว”สายตาของเธอเบือนไปทางฮั่วตงเฉิง “เราไปกันเถอะ ไกด์นำเที่ยวน่าจะมาถึงแล้ว”เห็นเวินเหลียงทำท่าทีเย็นชาใส่ฟู่เจิง บนใบหน้าของฮั่วตงเฉิงก็พลันแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่มีแต่ก็เหมือนไม่มี “โอเค”เวินเหลียงไม่ลืมที่จะถามฟู่ซือฝาน “ฝานฝาน เธอจะไปกับคุณลุงหรือว่า...”ไม่รอให้เธอพูดจบ ฟู่เจิงก็พูดตัดบท
ใบหน้าของลุงแก่ ๆ เต็มไปด้วยความฉงน อารมณ์เสียไม่ได้ดั่งใจ ทำไมถึงมีผู้ชายไร้อนาคตแบบนี้ได้เนี่ย?!ผู้ชายคนหนึ่งสูงหนึ่งร้อยแปดสิบหกยืนอยู่กลางรถ มันคับแคบเล็กน้อย ฟู่เจิงก้มหลังลงกึ่งหนึ่ง พลางมองไปรอบ ๆถังซือซือเล่นอุบาย เธอแยกกันนั่งกับจูฝาน พอเวินเหลียงขึ้นรถมา เธอก็โบกมือให้เวินเหลียงมานั่งข้างเธอ ห่างกับจูฝานด้วยทางเดินฟู่เจิงกับฟู่ซือฝานทำได้เพียงนั่งหน้าเวินเหลียงวันหยุดตรุษจีนผ่านไปแล้ว ทว่าคนที่มาท่องเที่ยวที่หนิงชิงกลับยังมีไม่น้อยมาถึงจุดชมวิวธรรมชาติแห่งหนึ่ง เวินเหลียงถือกล้องถ่ายรูปลงจากรถไปวิวที่ไม่เหมือนกันนั้น ก็มีวิธีแสดงออกที่ต่างกันออกไป ฮั่วตงเฉิงเดินไปด้วยพลางอธิบายความคุ้นชินของตัวเอง เวินเหลียงฟังอย่างตั้งใจ จูฝานเองก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองด้วยถังซือซือไม่เข้าใจ จึงมาเดินถ่ายรูปเองอยู่ข้าง ๆ พร้อมเป็นนางแบบให้ของพวกเขาไปด้วยฟู่เจิงมองเวินเหลียงอย่างเดือดดาลสองที พลางไปดูวิวทิวทัศน์เป็นเพื่อนฟู่ซือฝานจุดชมวิวมีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ที่อยู่ในกฎระเบียบกำลังขายขนมเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นเอย ของที่ระลึกเอย ฟู่ซือฝานสนใจเป็นอย่างมาก พอเห็นแผงลอยก็เป็นอัน
ห่างไปไม่ไกลนัก เวินเหลียงเอากล้องถ่ายรูปของเธอให้ฮั่วตงเฉิงดู ความรู้สึกสีและมุมของรูปในกล้องไม่เลวเลยทีเดียว ฮั่วตงเฉิงแสดงออกว่าชื่นชมในตัวเวินเหลียง แต่ก็เสนอความคิดเห็นของตัวเองไปด้วยเพียงแต่เวินเหลียงหามุมถ่ายอยู่หลายครั้งแล้ว ก็ยังถ่ายไม่ได้ผลลัพธ์ที่พอใจออกมาสักทีฉะนั้นฮั่วตงเฉิงจึงไปยืนข้างหลังเวินเหลียง แล้วใช้มือประคองมือเธอสอนหามุมที่ดีที่สุดมองไปจากมุมมองของฟู่เจิง ฮั่วตงเฉิงราวกับกำลังกอดเวินเหลียงไว้ในอ้อมอก ท่าทางสนิทสนมกันเป็นอย่างมากเขาหรี่ตาพลางเม้มริมฝีปากแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากกระตุก ก่อนจะพาฟู่ซือฝานเดินสับเท้าไปทางทั้งสองคนขณะใกล้ถึงแล้ว ฮั่วตงเฉิงก็ปล่อยมือลง แล้วมายืนดูหน้าจอของกล้องถ่ายรูปด้านข้าง “เป็นยังไงบ้าง?”เวินเหลียงสังเกตและศึกษารูปภายในกล้องถ่ายรูปอย่างละเอียด พลางยิ้มแล้วมองฮั่วตงเฉิง ก่อนจะเอ่ยชื่นชมว่า “จริง ๆ ด้วย วิวเดียวกันแต่มุมนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับรูปเมื่อกี้นั่นเลย สมแล้วที่เป็นช่างถ่ายภาพชื่อดังระดับนานาชาติ!”ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ฮั่วตงเฉิงมองเห็นไปถึงผิวขาวผ่องเรียบเนียนละเอียดดุจแพรไหม แววตาดอกซิ่งกลมโตโค้งขึ้นด้านบ
เขารู้มาตลอดว่าเธอมีคนที่ชอบ จากปากของเธอ เขาถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเธอชอบคนคนนั้นมากแค่ไหน ถึงจงใจย้ำตั้งสองครั้งคนคนนั้นเป็นใครกันแน่!?เวินเหลียงจบปริญญาตรีด้วยการเป็นท็อปอันดับสอง หลังเรียนจบก็เข้าทำงานที่ฟู่ซื่อ กรุ๊ป ประวัติแบบนี้นับว่าดีสุด ๆ แล้ว ไหนจะบวกกับพื้นหลังของตระกูลฟู่ คบกับใครก็ไร้ซึ่งคำว่าไม่คู่ควร แต่ไม่คิดเลยว่าคนคนนั้นจะไม่ชอบเธอ?!ทว่าก็โชคดีที่คนคนนั้นตาบอด ไม่อยากนั้นเธอคงไม่ได้แต่งงานกับเขาฟู่เจิงราวกับกลืนเม็ดทรายลงไปในคอ เสียงเขาแหบพร่าไร้ที่เปรียบ “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เธอได้สารภาพรักกับเขาหรือเปล่า?”“เปล่า อันที่จริงตอนที่ฉันรู้จักเขา เขามีแฟนอยู่แล้วแถมยังรักกันมากด้วย...เพราะงั้นฉันเลยไม่เคยกล้าเปิดเผยอะไรต่อหน้าเขา...”ฟู่เจิงกำมือแน่น กำแน่นจนข้อกระดูกขาวซีดไปหมด ในใจราวกับถูกกระแสน้ำซัดเข้าใส่ ทั้งขมขื่นทั้งปวดใจและทั้งเจ็บช้ำ ขนาดโคนลิ้นยังรู้สึกเปรี้ยวฝาดไปหมดต้องทนเห็นคนคนนั้นกับแฟนของเขาพลอดรักกัน ในใจเวินเหลียงราวกับถูกมีดกรีด ทว่าทำได้เพียงเผยรอยยิ้มอย่างคล้อยตามไปด้วยออกมา ได้แต่ขดตัวเลียแผลของตัวเองอยู่ในมุมเงียบ ๆ คนเดียว ไม่แน่ว่า
ขณะที่เยี่ยนหวยส่งโทรศัพท์ของถังซือซือให้ถังซือซือ เธอไม่อยากรับด้วยซ้ำ ทว่าจนใจรอบข้างมีคนกำลังจับจ้องอยู่มากมาย เธอจึงทำเพียงยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มา ก่อนจะเช็ดหน้าจอแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณ”“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย” ใบหน้าของเยี่ยนหวยแฝงรอยยิ้มชืด ๆ เอาไว้ ความแวววาวจากทองของแว่นกรอบทองสะดุดตาสุด ๆถังซือซือถามขึ้นอย่างเย็นชา “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”“ได้ยินว่าวิวของที่นี่ไม่เลวเลย ก็เลยมาผ่อนคลายอารมณ์ ไม่นึกว่าจะเจอเธอที่นี่พอดี”ถังซือซือมองเขาพร้อมความสงสัยทีหนึ่งเยี่ยนหวยหันหน้าไปมองขโมยที่ถูกคนผ่านไปผ่านมากดอยู่บนถนน ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้ง 191หลังวางสายเขาก็พูดว่า “อีกเดี๋ยวตำรวจจะมาถึงแล้ว รออยู่ที่นี่สักแป๊บก็แล้วกัน”เวินเหลียงรีบเดินมาหา “ถัง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”ถังซือซือเอ่ย “ไม่เป็นไร พวกเธอไปเดินเล่นกันก่อนเถอะ เดี๋ยวตำรวจมาสอบปากคำเสร็จแล้ว ฉันค่อยไปหาพวกเธอ”“เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เวินเหลียงมองเยี่ยนหวยที่อยู่ข้างเธอทีหนึ่งถังซือซือกลอกตาขาว พร้อมชำเลืองมองฟู่เจิง “เขาบอกว่าจะมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ ใครจะไปรู้ได้ล่ะ!”ฟู่เจิงที่ถูกกระแนะกระแหน