วันนี้เวินเหลียงไม่ได้ไปที่ออสโล และได้บอกเรื่องที่ลู่เย่าเอากระเป๋าสตางค์กลับมาให้เธอกับพวกถังซือซือทั้งสองคนแล้วถังซือซือใช้ไหล่กระทุ้งเวินเหลียงทีหนึ่ง ยิ้มจนใบหน้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ “ไม่ให้พวกเราตามไปจริง ๆ เหรอ?”“ฉันไปคนเดียวก็พอ” ริมฝีปากของเวินเหลียงกระตุกรอยยิ้มออกมาถ้าบอกว่าเป็นเพราะรู้สึกขอบคุณลู่เย่าก็เลยจะเลี้ยงข้าวลู่เย่า เวินเหลียงให้ถังซือซือกับจูฝานไปด้วยก็ได้แต่เธออยากไปคนเดียวถังซือซือคิดเพียงเวินเหลียงรู้สึกดีกับลู่เย่า เธอตบไหล่ของเวินเหลียง แล้วยักคิ้วให้เธอ “เอาละ สู้ ๆ นะ คืนนี้ต้องช่วงชิงมาให้ได้!”จูฝานเองก็คิดว่าเวินเหลียงชอบลู่เย่า เธอแอบรู้สึกเสียใจแทนโจวอวี่ “อาเหลียง เธอก็ระวังตัวหน่อยนะ ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้รู้จักลู่เย่าเท่าไร ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”“ฉันเข้าใจ วางใจเถอะ ไม่ใช่อย่างที่พวกเธอคิดหรอก”เธอแค่รู้สึกว่าลู่เย่าแปลก อยากจะพิสูจน์การคาดเดาของตัวเองสักหน่อยถังซือซือทำหน้าอย่างเข้าใจทุกอย่าง “การอธิบายก็คือการปิดบัง...”เวินเหลียง “...”ร้านอาหารที่ลู่เย่าจอง เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่พวกเวินเหลียงทั้งสามคนไม่เคยมาด้านขวาสุดข
ข้อศอกของเวินเหลียงเท้าอยู่บนโต๊ะ มือทั้งสองเท้าอยู่ที่คาง พลางมองลู่เย่าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “พูดตามตรงนะ ฉันชอบคนอย่างคุณนี่แหละ!”‘แก๊ก…’มีเสียงอะไรบางอย่างแว่วดังมาจากห้องวีไอพีที่อยู่ข้าง ๆ อีกแล้วเวินเหลียงไม่ได้สนใจ เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “เพราะเหตุผลของครอบครัว ฉันเลยมีนิสัยขี้ระแวง คอยควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เพราะงั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันอิจฉาคนที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำแบบพวกคุณมาก ไม่สนใจสายตาของคนในสังคม มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวบอกจะไปก็ไป ความคิดที่สามารถปล่อยวางทุกอย่างได้เพื่อความอิสระ เป็นสิ่งที่ไม่มีในตัวฉันเลย”เวินเหลียงดื่มน้ำอึกหนึ่งแล้วพูดต่อ “อีกอย่าง คุณยังเที่ยงธรรมขนาดนี้ ช่วยชิงกระเป๋าสตางค์ฉันกลับมายังไม่ต้องพูดถึง คุณไม่ยอมไปเตะถ่วงผู้หญิงคนอื่นนี่สิ ถ้าคิดจะเตะถ่วงคนอื่น คงอาศัยใบหน้านี้หว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงไปทั่วตั้งนานแล้ว”“...ชมเกินไปแล้ว คุณประเมินผมสูงไป” ลู่เย่าเห็นสีหน้าจริงจังของเวินเหลียง สีหน้าบนหน้าเขาก็ค่อย ๆ แข็งทื่อเล็กน้อยเธอคงไม่ได้ชอบเขาจริง ๆ ใช่ไหม?คงไม่หรอกมั้ง?ลู่เย่ารู้สึกแค่เบื้องหลังเริ่มเย็นยะเยียบขึ
‘เพล้ง...’ห้องข้าง ๆ มีอะไรบางอย่างตกลงบนพื้น แตกกระจายไปทั่ว หลังจากนั้นก็มีพนักงานรีบวิ่งเข้าไปเก็บกวาดลู่เย่าไม่สนใจความรู้สึกของฟู่เจิงแล้ว ทั้งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแข็งทื่อเวินเหลียงชอบเขา?!เวินเหลียงชอบเขาได้ยังไง?!มือใหญ่ ๆ ของเขาวางพาดอยู่บนเข่า เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง พยายามสงบระลอกคลื่นภายในใจให้กลับมาสงบ จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน “คุณเวิน นี่คุณจริงจังหรือเปล่า?”“จริงจังสิ ไม่งั้นวันนี้ฉันจะมาคนเดียวทำไม?” เวินเหลียงกระตุกยิ้มริมฝีปาก ขนตายาวราวกับขนนกกะพริบลู่เย่าเกือบจะหายใจไม่ออก “คุณ...คุณเวิน ถึงยังไงผมก็ยังขอแนะนำให้คุณคิดให้รอบคอบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าในตัวผมมีอะไรที่มันไปดึงดูดคุณเข้า สรุปก็คือ...”“คุณรังเกียจที่ฉันเคยแต่งงานมาก่อนใช่ไหม?” เวินเหลียงพูดแทรกคำพูดของเขา“เปล่าครับ...”“อันที่จริงจุดนี้คุณไม่ต้องกังวลเลย เดิมทีฟู่เจิงก็ไม่มีน้ำยาอยู่แล้ว”ลู่เย่าอ้าปากใหญ่ ๆ อย่างตกตะลึง “...”“ไม่เชื่อใช่ไหม? ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ภายนอกดูแข็งแกร่ง แต่อันที่จริงเป็นคนไร้น้ำยาคนหนึ่ง ทั้งเคยผ่าตัดมาแล้ว ยาโด๊ปก
เวินเหลียงยืนกอดอก จากนั้นเธอก็ยกมือข้างหนึ่งมาปัดม่านร้อยด้วยไข่มุกออก พร้อมทั้งก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยท่าทางขึงขังและสงบจิตสงบใจ มองประเมินฟู่เจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าสองที “คุณอย่าบอกฉันนะว่าคุณมาทำงานนอกสถานที่ที่นี่? และมากินข้าวกับลูกค้าที่นี่พอดี?”ฟู่เจิงเม้มริมฝีปากล่าง “...เธอเดาได้แล้ว?”เพราะงั้นคำพูดเหล่านั้นที่เวินเหลียงพูดกับลู่เย่าเมื่อกี้เธอก็จงใจพูดออกมา?“ลู่เย่าเป็นเพื่อนของคุณ หลายวันมานี้คุณตามฉันมาตลอด?!”ที่แท้ที่เวินเหลียงรู้สึกว่าลู่เย่าแปลก และน่าสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ก็ถูกคำพูดของถังซือซือตัดทอนความคิดไป ทว่าต่อมาฟู่เจิงปรากฏตัวที่สนามบิน เรื่องนี้ทำให้ในใจของเวินเหลียงเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่มีเหตุผลอื่น ท่าทีของเขาในวันนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีทีท่าเหมือนเพิ่งถึงนอร์เวย์แต่อย่างใดมิหนำซ้ำ เธอเป็นฝ่ายแสดงออกก่อนว่ารู้สึกดี ทว่าปฏิกิริยาของลู่เย่านั้นไม่เหมือนชอบเธอเลยแม้แต่น้อย บางเรื่องก็พูดไม่ได้“ใช่” ฟู่เจิงสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง พร้อมทั้งตอบขานรับด้วยน้ำเสียงขึงขังเขาค่อย ๆ เดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง พลางจ้องเวินเหลียงด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย
ฟู่เจิงถูกมืออีกข้างหนึ่งของเวินเหลียงปิดปากเอาไว้ เขาหยุดพูด นัยน์ตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มสองสามส่วนเวินเหลียงถอนหายใจเบา ๆ เฮือกหนึ่ง บนหน้าแดงระเรื่ออยู่เล็กน้อย จ้องฟู่เจิงเขม็งสองที “ถ้าฉันปล่อย คุณห้ามพูดไปเรื่อยอีกนะ”ฟู่เจิงราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ไม่พยักหน้าและไม่ส่ายหน้าเวินเหลียงขมวดคิ้ว กำลังคิดจะพูดอะไรต่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกคันฝ่ามือ ทั้งฝ่ามือเปียกชุ่มไปหมด“อ๊า...” เวินเหลียงรีบเอามือออก หลบไปไกล ๆ เช็ดฝ่ามือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “ฟู่เจิง คุณคลื่นไส้บ้างไหมเนี่ย?”ทว่าใบหน้าของฟู่เจิงกลับเต็มไปด้วยความไม่แยแส “ทำไมแค่นี้ก็คลื่นไส้แล้วเหรอ? เธอเป็นคนเอามือมาปิดเองนะ ทั้งร่างกายเธอตรงไหนบ้างที่ฉันไม่เคยสัมผัส อีกอย่างในห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลครั้งนั้น...”“คุณหุบปากไปเลยนะ! เงียบไปซะ! เงียบไปเลย!” เวินเหลียงพูดแทรกคำพูดของเขา หูแดงระเรื่อไปหมด ยังจะมาพูดว่า ‘ทั้งร่างกายเธอตรงไหนบ้างที่ฉันไม่เคยสัมผัส’ อะไรอีก ไม่รู้จักมียางอายบ้างเลยหรือไงเธอเกลียดที่ตัวเองจำได้ชัดเจนเกินไป ตอนที่เขาพูดคำว่าห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแปดพยางค์ออกมา เพียงชั่วพริบตาในหัวข
“เมื่อกี้ใครอยากจะเป็นแฟนเขาล่ะ? เมื่อกี้ใครบอกว่าเขาหน้าตาหล่อ รูปร่างดี เตรียมว่าคืนนี้จะไม่กลับไปโรงแรม? เมื่อกี้ใครคิดจะใช้เงินของฉันเลี้ยงเขา?”เวินเหลียงเงียบไป กระตุกยิ้มมุมปาก “นั่นแค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องโกหก...ฉันแค่กำลังทดสอบพวกคุณ”“ฉันเป็นกังวลจนกระวนกระวายไปเอง อาเหลียง ฉันกลัว”คำว่า ‘กลัว’ มันเหมือนกับแมลงปอตัวหนึ่ง เกิดระลอกคลื่นเล็กน้อยในจิตใจอันสงบของเวินเหลียงเวินเหลียงเงยหน้ามองฟู่เจิงฟู่เจิงเอ่ย “ฉันกลัวมาก ฉันกลัวว่าเธอจะชอบเขาเข้าจริง ๆ แล้วจะคบกับเขาให้ได้ ฉันกลัวว่าเธอจะไปจากฉันอย่างสมบูรณ์จริง ๆ ฉันกลัวว่าฉันจะไม่มีโอกาสไปเอาตัวเธอกลับคืนมาอีก ฉันอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน”“เพราะงั้น วันนั้นหลังจากที่เห็นโจวอวี่กอดเธอ ฉันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะลงจากรถมาเจอเธอ ฉันกลัวจริง ๆ กลัวว่าเธอจะเปลี่ยนไปเป็นเจ้าสาวของคนอื่นในชั่วพริบตา และฉันก็เป็นได้แค่อดีตสามีที่ไม่มีความสำคัญอะไร”นัยน์ตาของฟู่เจิงลึกซึ้ง ดำขลับจนเหมือนค่ำคืนวันที่แสงแดดอ่อนตอนหน้าหนาวในเมืองเจียงเฉิงน้ำเสียงของเขา นัยน์ตาของเขา ดูเหมือนรักเธอลึกซึ้งเป็นอย่างมากแต่นี่จะเป็นไปไ
“ขอบคุณนะ พวกเราต่างก็ไม่มีใครชนะทั้งนั้น” เวินเหลียงวางตะเกียบ“ฉันกลับประเทศก็ได้ แต่ฉันอยากให้เธอไปส่งฉันที่สนามบิน” ทันใดนั้นฟู่เจิงก็หยิบยื่นเงื่อนไขมาเวินเหลียงอึ้งไปเล็กน้อย เขาจะปล่อยเธอง่าย ๆ ขนาดนี้เลยเหรอ?“ได้ เมื่อไรล่ะ?” เวินเหลียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและขานรับ“พรุ่งนี้”“โอเค”ฟู่เจิงหยิบขวดไวน์ที่ยังไม่ได้เปิดขวดหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นก็เทใส่แก้วตรงหน้าเวินเหลียงจนเต็ม “ชิมดูสิ นี่เป็นไวน์ขึ้นชื่อของร้านอาหารแห่งนี้เลย”จากนั้นฟู่เจิงก็รินให้ตัวเองแก้วหนึ่งเวินเหลียงยกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกับแก้วของฟู่เจิง ผิวแก้วแตะที่ริมฝีปากล่าง เธอดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง รสหวานหอมของผลไม้เข้าไปในปาก นุ่มนวลและเข้มข้น“เป็นยังไงบ้าง?”“ไม่เลวเลย” เวินเหลียงแจ๊บปากเบา ๆ ก่อนจะดื่มไปอีกอึกหนึ่ง“เหล่านี่ค่อนข้างแรง อย่าดื่มเยอะเกินไปล่ะ”“อืม” เวินเหลียงขานรับเสียงหนึ่ง “อันที่จริงตอนที่รับใบสำคัญการหย่ามาเสร็จในวันนั้น ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ เหมือนกับวันที่พวกเรารับใบทะเบียนสมรสในวันนั้น คุณเลี้ยงข้าวฉัน ฉันก็ต้องเลี้ยงคุณกลับ เจอกันด้วยดีก็จาก
ถังซือซือมารู้สึกตัวตระหนักได้อีกที นี่ฟู่เจิงกำลังลบเครื่องสำอางให้เวินเหลียงอยู่??“อาเหลียงเธอเป็นอะไรไป? คุณคงไม่ได้วางยาเธอใช่ไหม?” ถังซือซือคาดการณ์อย่างจริงจังฟู่เจิงเงยหน้ามองเธอทีหนึ่ง หน้าตาดูเคร่งขรึมและน่ากลัว ทันใดนั้นถังซือซือก็ตื่นกลัวไปเลยผู้ชายคนนี้ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก เธอรับมือไม่ไหวจริง ๆแต่ทำเพื่อเพื่อนแล้ว เธอก็ยังรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฉันจะแจ้งตำรวจ อาเหลียงหย่ากับคุณแล้ว ถ้าคุณทำเรื่องที่มันทำร้ายเวินเหลียงขึ้นมา ฉันจะไม่ยอมปล่อยคุณไปแน่”เมื่อฟู่เจิงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ผ่อนคลายลงสองสามส่วนแม้ถังซือซือคนนี้มักจะยุยงให้เวินเหลียงหาผู้ชายคนใหม่ ทำให้เขารังเกียจเป็นอย่างมาก ทว่าเธอกลับหวังดีต่อเวินเหลียงด้วยใจจริงเห็นแก่เวินเหลียง ตอนนี้เขาจะปล่อยเธอไปก่อนก็แล้วกัน“ดื่มเหล้าไปนิดหน่อย ก็เลยผล็อยหลับไป” ฟู่เจิงอธิบายอย่างไม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนประโยคหนึ่งถังซือซือประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งฟู่เจิงวางผ้าขนหนูเอาไว้ในกะละมัง ก่อนจะยกกะละมังน้ำไปห้องน้ำถังซือซือเดินไปลูบหน้าผากของเวินเหลียงที่ข้างเตียง คลำลมหายใจของเวินเหลี