“หืม? ทำไมถึงไม่ค่อยมีความทรงจำล่ะ?” นัยน์ตาฟู่เจิงประกายแสงดำขลับสายหนึ่งตามหลักแล้วไปแลกเปลี่ยนที่นั่นตั้งหนึ่งปี ไม่ว่าจะมีความทรงจำแย่หรือดี ก็ควรค่อนข้างมีความทรงจำเกี่ยวกับที่นั่นเยอะเวินเหลียงลูบหน้าผาก “หลักเสร็จจากไปแลกเปลี่ยนที่นั่น ก่อนกลับประเทศ ฉันเกิดอุบัติเหตุขึ้น มีหลายเรื่องที่จำได้อยู่เลือนราง”ที่แท้ก็เป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุแล้วสูญเสียความทรงจำนี่เอง ไม่ต่างจากที่เขาคาดการณ์เอาไว้เท่าไรทว่าฟู่เจิงก็ยังสงสัย แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?เกิดอุบัติเหตุกับเวินเหลียงแล้วแท้งไป? หรือว่าไปอยู่ที่อื่น?“ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุล่ะ? ตอนนั้นเธอเจ็บหนักหรือเปล่า?”“จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนนั้นได้รับบาดเจ็บที่สมอง ตื่นขึ้นมามีหลายเรื่องที่จำได้เลือนราง” นัยน์ตาของเวินเหลียงว่างเปล่า เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งหวนนึกไปเธอเคยพยายามหวนนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น ทว่ายิ่งพยายามคิดก็ยิ่งคิดไม่ออก ต่อมาเธอจึงล้มเลิกไปเมื่อฟู่เจิงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วในการอธิบายของเวินเหลียง ไร้เงาของเด็กคนนั้น เดิมทีเธอเหมือนกับไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขาและอุบัติเหตุเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด ราวกับใช้
เวินเหลียงโบกไม้โบกมือ “เข้าไปได้แล้ว เดินทางปลอดภัยนะ!”บนปากเธอยังมีรอยยิ้มแฝงอยู่เล็กน้อย ทว่าในใจอยากให้เขารีบไปใจจะขาดใบหน้าของฟู่เจิงเต็มไปด้วยความจนใจ ท้ายที่สุดก็โบกมือไปทางเวินเหลียง แล้วหมุนตัวเข้าไปในเกตเห็นเงาร่างของฟู่เจิงผ่านจุดสแกน และหายเข้าไปข้างใน เวินเหลียงจึงหมุนตัวออกจากสนามบินเมื่อนึกถึงท่าทางอาลัยอาวรณ์ของฟู่เจิงเมื่อกี้ เวินเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปากท่าทางแบบนั้นอย่างกับเด็กน้อยยืนร่ำลากับผู้ปกครองที่หน้าโรงเรียนยังไงอย่างนั้น ไม่พอใจและไม่ยอม ทว่าก็อับจนหนทางเธอไม่เคยเห็นฟู่เจิงทำท่าทางแบบนี้มาก่อน กระทั่งดูน่าเอ็นดูอยู่เล็กน้อย และน่ารักอยู่หน่อย ๆยิ้มไป ๆ จู่ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินเหลียงก็แข็งทื่อ เธอรีบหุบรอยยิ้มในสมองของเธอกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่ทำไมถึงคิดว่าฟู่เจิงน่ารักไปได้ล่ะ?เรื่องพวกนี้เขาต้องแสร้งทำขึ้นมาแน่ ๆสามปีหลังแต่งงานมานี้ เธอถูกความอ่อนโยนที่เขาแสร้งทำหลอกลวงมาโดยตลอด ครั้งนี้เธอก็เกือบถูกหลอกให้ลุ่มหลงอีกแล้วเวินเหลียง ทำไมเธอถึงเจ็บแล้วไม่จำเลยนะ!…เวินเหลียงนั่งรถเมล์กลับไปยังโรงแรม และรีบเล่าเร
หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วเรียวดุจหยกถอดแว่นกันแดดออกมาครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากแดงเผยอ แล้วพูดออกมาโดยใช้ภาษาอังกฤษว่า “ฉันรู้ ที่นั่งของฉันอยู่ริมทางเดิน แต่ฉันไม่อยากนั่ง พวกเรามาแลกกัน คุณอยากได้เท่าไร?”เวินเหลียงเลิกคิ้ว “ขอโทษนะคะ แต่ฉันไม่อยากแลกกับคุณ”หญิงสาวชำเลืองมองเธอทีหนึ่ง นัยน์ตาตกไปที่กระเป๋าในมือของเวินเหลียง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันรอยยิ้มหนึ่ง “กระเป๋าใบนี้ของเธออย่างมากก็ไม่เกินสองหมื่นห้า ฉันชดใช้ให้คุณสองหมื่นห้าเป็นยังไง? อย่าลืมสิ ราคาตั๋วที่นั่งพวกนี้ก็เท่ากันหมด สองหมื่นห้านี่ก็เท่ากับคุณได้ไปฟรี ๆ เลยนะ”เวินเหลียงมองตามสายตาของเธอ ก่อนจะเขย่ากระเป๋าตัวเอง “แค่สามพันห้าเอง แต่ฉันบอกไปแล้วไง ว่าฉันไม่แลกกับคุณหรอก”นัยน์ตาของหญิงสาวประกายการเหยียดหยามออกมาคนแบบนี้เธอเคยเห็นมาเยอะ ได้เงินเดือนน้อยนิด เก็บอยู่สองสามปี ใช้เงินอย่างตระหนี่ถี่เหนียว ท้ายที่สุดก็เอาเงินเก็บออกมาใช้ไปเที่ยวก้อนหนึ่ง ถ่ายรูปสวย ๆ แสร้งทำเป็นสวยเพอร์เฟกต์“งั้นคุณอยากได้เท่าไร ห้าหมื่น?”“เท่าไรก็ไม่แลกทั้งนั้น!”เห็นเวินเหลียงยังไม่ยอมแลกอีก สีหน้าของหญ
สีหน้าของเธอราบเรียบ ทว่าในใจตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ขนาดมือยังดูดีขนาดนั้น!เธอไม่ได้เจอผู้ชายที่โดนใจขนาดนี้มานานมากแล้ว!!ถ้าพลาดไป ไม่รู้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก!เครื่องบินเทคออฟ กระทั่งลอยอยู่กลางอากาศในระดับความสูง เครื่องบินก็นิ่งลงหญิงสาวควบคุมไม่อยู่ ข้อศอกซึ่งพาดอยู่บนที่เท้าแขนไปถูกตัวชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ เธอรีบพูดสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษว่า “ขอโทษนะคะ”“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มเองก็ใช้ภาษาอังกฤษตอบกลับเช่นกัน น้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นอย่างมากในใจของหญิงสาวลิงโลด แม้แต่น้ำเสียงยังไพเราะเสนาะหูขนาดนั้นเธอรีบตีสนิทต่อ “คุณจะไปไหนเหรอคะ?”“ซิดนีย์” ฟู่เจิงเปิดหน้านิตยสารเขารู้ว่าเวินเหลียงอยู่บนเที่ยวบินนี้ ทว่าเวินเหลียงไม่รู้ว่าเขาอยู่ด้วยอันที่จริงหลังเวินเหลียงออกไปวันนั้น เดิมทีเขาไม่ได้ขึ้นเครื่องบินออกไปยัยเด็กโง่นี่ ก็ยังใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนอย่างเคย ไม่นึกเลยว่าจะไม่ยอมดูเขาขึ้นเครื่องบินไปกับตาตัวเองก่อน!ลู่เย่ากลับประเทศไปแล้ว เขาอยู่ข้างกายเวินเหลียงเพียงลำพัง ปิดบังสถานที่พักระหว่างเดินเดินทางนั้นเป็นเรื่องง่ายดายหญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
เวินเหลียงตื่นมาตอนเย็น อาการเจ็ตแล็กดีขึ้นมากแล้ว จึงเรียกถังซือซือไปกินข้าวที่ร้านอาหารด้วยกันหลังกินข้าวมื้อค่ำเสร็จ ถังซือซือก็เสนอให้ไปเดินเล่นข้างนอกรอบข้างมีผู้คนพลุกพล่าน ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยว ถ่ายรูปกันอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเวินเหลียงและถังซือซือยืนอยู่ข้างท่าเรือ ลมทะเลเย็นสดชื่นพัดเข้ามาปะทะหน้า เย็นสบายเป็นอย่างมากแสงไฟสว่างไสว สะท้อนไปบนผิวน้ำทะเล เปล่งประกายระยิบระยับ แสงจันทร์สีทองกระเพื่อมไปมา งดงามเป็นอย่างยิ่งเวินเหลียงและถังซือซือถ่ายรูปกันอยู่ที่นี่สองสามรูป ทว่าเวินเหลียงมักรู้สึกเหมือนเบื้องหลังมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเธออยู่แต่เมื่อเธอมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีใครจากนั้นพวกเธอทั้งสองคนก็เดินวนรอบโรงละครโอเปร่าซิดนีย์รอบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปยังโรงแรมอีกสองวันโจวอวี่ถึงจะมาสมทบ สองวันก่อนหน้ามีเพียงเวินเหลียงและถังซือซือเข้าวันที่สามเวินเหลียงและถังซือซือไปยังควีนวิกทอเรียบิลดิงควีนวิกทอเรียบิลดิงเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดของซิดนีย์ตัวอาคารมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นรูปทรงโดมแก้ว มีบันไดแบบวน ทุกที่ล้วนมีกลิ่นอายของความค
ตอนเที่ยงของวันต่อมา เวินเหลียงและถังซือซือเดินช็อปปิงกันจนเหนื่อย จึงไปกินข้าวในร้านอาหารแห่งหนึ่งระหว่างรอร้านอาหารเสิร์ฟอาหาร เวินเหลียงก็ไถโทรศัพท์ แล้วพูดขึ้นด้วยความสงสัยว่า “โจวอวี่ยังไม่ถึงอีกเหรอ? ทำไมไม่เห็นมีข้อความอะไรเลย?”ตามข้อมูลเที่ยวบินที่โจวอวี่ส่งให้ เช้าวันนี้ควรมาถึงซิดนีย์แล้วถังซือซือชำเลืองมองด้านหลังเวินเหลียงทีหนึ่ง นัยน์ตาประกายรอยยิ้มออกมาแวบหนึ่ง “อาจจะดีเลย์ละมั้ง รออีกสักเดี๋ยวก็แล้วกัน”“งั้นก็รออีกสักเดี๋ยวก็แล้วกัน”และในจังหวะนี้เอง จู่ ๆ ตรงหน้าเวินเหลียงก็มืดไปมีมือใหญ่ ๆ คู่หนึ่งมาปิดอยู่ที่ตาทั้งสองข้างของเธอ!เวินเหลียงจับมือทั้งสองตรงหน้าเอาไว้ตามสัญชาตญาณเจ้าของมือใหญ่คู่นั้นกดเสียงต่ำ “ทายสิว่าฉันคือใคร?! ถ้าทายถูกมีของขวัญให้ด้วยนะ!”เมื่อได้ยินเสียงนี้ เวินเหลียงก็รู้ในทันที ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “โจวอวี่ นายยังเป็นเด็กอยู่เหรอ?!”โจวอวี่ปล่อยเวินเหลียง พลางหัวเสียเล็กน้อย “มันชัดขนาดนี้เลยเหรอ?”“แน่นอนว่าชัดสุด ๆ! นายอยากนั่งฝั่งไหน?” เวินเหลียงถามข้างเธอและถังซือซือล้วนมีเก้าอี้ว่างอยู่หนึ่งตัว“นั่งตรงนี้ก็แล้วกัน”
เนื่องด้วยเหตุนี้ เธอถึงไม่เคยใส่เครื่องประดับพวกนั้นเลย“พวกเธอชอบก็ดี”“ได้เป็นของใช้คู่กับเพื่อนสนิทพอดีเลย พรุ่งนี้เอามาใส่กันนะ” ถังซือซือรับกล่องมา จากนั้นก็พูดเตือนขึ้นว่า “คุณยังไม่รีบดูของขวัญที่อาเหลียงให้คุณอีกเหรอ? เมื่อวานตอนซื้อของเจอคนประสาทด้วย โชคดีที่ร้านรู้เหตุรู้ผล”โจวอวี่หยิบกล่องบนโต๊ะขึ้นมา พร้อมทั้งมองประเมินรูปร่างหน้าตา “นี่น่าจะเป็นนาฬิกาข้อมือใช่ไหม ช่วงนี้ฉันกำลังขาดนาฬิกาข้อมือพอดีเลย”พูดไปโจวอวี่ก็พลางเปิดกล่องออก นาฬิกาไขลานด้านในดูประณีตทว่าไม่ได้หรูหราจนเกินไป มีความรู้สึกเรียบโก้อย่างหนึ่ง“ว้าว อาเหลียง สายตาเธอไม่เลวเลยจริง ๆ! นาฬิกาข้อมือเรือนนี้ฉันชอบมาก รีบใส่ให้ฉันเร็วเข้าสิ”โจวอวี่ยัดนาฬิกาข้อมือไปในมือของเวินเหลียง จากนั้นก็วางข้อมือของตนไว้บนโต๊ะเวินเหลียงหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมา ก่อนจะใส่ไปบนข้อมือของโจวอวี่เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ที่จอนหูมีผมร่วงหล่นลงมามองไปจากมุมของโจวอวี่ ขนตาของเธอทั้งดำขลับและทั้งยาว ราวกับพัดอันน้อย ๆ สองเล่ม เปล่งแสงแวววับ ผิวบนหน้าของเธอทั้งขาวและทั้งละเอียด ราวกับไข่ที่ปอกเปลือกแล้ว กระทั่งเขามองเห็นรูขุม
“ถ้าฉันไม่ได้มาด้วย วันนี้พวกเธอแพลนจะไปไหนกันเหรอ?” โจวอวี่รับเครื่องเคียงที่พนักงานนำมาเสิร์ฟไปวางไว้ตรงขอบโต๊ะ“ไปนั่งเรือข้ามฟากน่ะ ได้ยินมาว่าถ่ายรูปโรงละครโอเปร่ากับสะพานฮาร์เบอร์บนเรือจะยิ่งสวยขึ้นไปอีก” เวินเหลียงคีบปลาย่างมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะเอาก้างออกแล้วใส่เข้าไปในปาก สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน“งั้นก็ไปนั่งเรือข้ามฟากกันเถอะ ฉันแล้วแต่พวกเธอเลย” โจวอวี่เห็นว่าในแก้วของเวินเหลียงน้ำหมดเกลี้ยงจนมองเห็นก้นแล้ว จึงถามขึ้นว่า “เธออยากได้สไปรท์ไหม? เดี๋ยวฉันไปเอาให้เธอแก้วหนึ่งเอง”“อืม” เวินเหลียงใส่เห็ดเข็มทองสองชิ้นลงไปในซุปที่เดือดปุด ๆ“เรียบร้อยแล้ว” โจวอวี่วางแก้วกลับไปตรงหน้าเวินเหลียง แล้วนั่งลง“ขอบคุณนะ”“สองสามวันมานี้พวกเธอคงเที่ยวในซิดนีย์กันเกือบครบแล้วใช่ไหม? ต่อไปแพลนจะไปไหนล่ะ?”“อันที่จริงตอนแรกพรุ่งนี้พวกเราจะไปเมลเบิร์นกัน แต่วันนี้นายเพิ่งมาถึง นายยังไม่ได้เที่ยวในซิดนีย์เลย...”“ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้ตอนฉันมาประชาสัมพันธ์ที่ซิดนีย์ เคยเที่ยวเล่นที่นี่แล้ว พรุ่งนี้ก็ไปเมลเบิร์นเลยก็แล้วกัน” โจวอวี่เอ่ย“งั้นก็ได้”ฟู่เจิงที่อยู่ร้านกาแฟฝ่ายตรงข้ามเห็นโจวอวี่