ฟู่เจิงไม่ได้พาคนขับรถไป เวินเหลียงเปิดประตูด้านข้างคนขับ เข้าไปนั่งแล้วรัดเข็มขัดนิรภัยฟู่เจิงนั่งตรงที่คนขับ ไม่รีบร้อนที่จะออกรถ เขายกมือขึ้น ปลดกระดุมคอ แล้วค่อย ๆ ถามขึ้นว่า “เธอบอกหมอว่าฉันเป็นสามีเก่าของเธอเหรอ ?”เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของเวินเหลียงก็เต้นดังตุบ ๆ ฟู่เจิงคงยังไม่รู้หรอกนะว่าเธอท้อง ?เวินเหลียงเหลือบมองฟู่เจิงอย่างระแวง มือทั้งสองข้างที่วางอยู่ข้างขา ค่อย ๆ เคลื่อนมากุมไว้ที่ท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว แล้วชิงพูดก่อน “ทำไม ? คุณกลัวคนอื่นจะรู้ว่าฉู่ซืออี๋แทรกกลางเข้ามาในชีวิตคู่ของเรา จนทำให้เราต้องหย่ากันหรือไง ?”“เวินเหลียง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”“งั้นคุณหมายความว่ายังไง ?” เวินเหลียงเลิกคิ้วหันมองเขาฟู่เจิงเบะปาก “ฉันไม่ได้คิดจะโทษเธอ”ในฐานะที่เขาเป็นสามีของเวินเหลียง เมื่อได้ยินเวินเหลียงบอกกับหมอว่าตัวเองเป็นสามีเก่า ก็ย่อมไม่สบายใจเป็นธรรมดา “งั้นถือซะว่าฉันคิดมากไปเอง” เวินเหลียงแสร้งตอบแบบไม่ใส่ใจ “ตอนที่ฉันเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถ ตอนนั้นพวกเราก็คิดที่จะหย่าแล้ว คงไม่ห่างไกลจากคำว่าสามีเก่านัก”ฟู่เจิง : “......”ฟู่เจิงไม่พูดอะไร
บรรยากาศในพื้นที่สำนักงานเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกฟู่ซื่อ กรุ๊ปมีพนักงานกลุ่มใหญ่ ที่ใช้สำหรับการแจ้งข่าวสารผู้รับผิดชอบหลักของกลุ่มก็คือเลขาจ้าวจากห้องทำงานท่านประธานฟู่เจิงเองก็อยู่ในกลุ่มด้วย และเป็นผู้ดูแล เพียงแต่ไม่เปิดเผยตัวเท่านั้นปกติแล้วในกลุ่มใหญ่มักเงียบสงบ แม้จะมีคนมาก แต่บรรดาหัวหน้าก็อยู่ด้านในด้วย ทำให้บรรดาพนักงานไม่กล้าพูดอะไรตามใจชอบในนี้ อย่างมากก็ส่งแค่คำว่า “รับทราบ”วันนี้พนักงานทุกคนต่างได้รับข้อความระบุตัวทุกคนในกลุ่มใหญ่ เดิมทีคิดว่าเลขาจ้าวมีอะไรจะแจ้ง แต่ทันทีที่เข้าไปอ่าน บรรดาพนักงานก็ต้องตกใจจนตาเบิกโพลงคนที่พูดขึ้นในกลุ่ม เป็นผู้ดูแลระบบ ชื่อเรียกทั้งชัดเจนและเป็นที่จดจำได้แม่นยำ—ฟู่เจิงประธานฟู่ส่งข้อความในกลุ่มแล้ว ? !พนักงานของฟู่ซื่อ กรุ๊ปโปรดรักษากฎระเบียบ ข้อที่ 53 : ควรกำหนดรูปแบบในการทำงานที่เข้มงวด และรักษาทัศนคติที่ดีในการทำงาน ระหว่างทำงานห้ามจับกลุ่มคุยกัน ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน เผยแพร่ข่าวลือ ห้ามนินทาว่าร้าย วิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชาลับหลัง หากฝ่าฝืน ครั้งแรกจะเป็นการตักเตือน หั
“ผอ.เวิน ยินดีด้วยนะคะที่สุขภาพแข็งแรงดี” อู๋หลิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณค่ะผอ.อู๋” เวินเหลียงเผยสีหน้าจาง ๆ “ผอ.เวินไม่มีซะหลายวัน ฉันคิดว่าอับอายจนไม่กล้าพบหน้าผู้คนเสียอีก !”เวินเหลียงหัวเราะเบา ๆ “ดูเหมือนว่าผอ.อู๋เพิ่งถูกหักโบนัส 50% จะมีความสุขมากเลยนะคะ ! อยากมากวนใจฉันโดยไม่เสียดายเงินก้อนโตขนาดนั้นเลยสักนิด ผอ.อู๋นี่ใจป้ำจริง ๆ”อู๋หลิงสีหน้าแข็งทื่อไป จากนั้นก็พูดว่า “เวินเหลียง เธอคิดว่าเธอชนะแล้วอย่างนั้นเหรอ ?”“หมายความว่ายังไง ?”อู๋หลิงเลิกคิ้ว “เธอคิดว่านี่เป็นการทำงานผิดพลาดของเด็กฝึกงานจริงเหรอ ?”เวินเหลียงไม่พูดอะไร แน่นอนว่าเธอรู้ พลั้งมือไปกดถูกใจเป็นฝีมือของอู๋หลิง เด็กฝึกงานก็เป็นแค่แพะรับบาปของอู๋หลิงเท่านั้นมองดูสีหน้าของเธอ อู๋หลิงก็หัวเราะออกมา “เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนทำ แล้วประธานฟู่จะไม่รู้เหรอ ? แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บฉันไว้ ผลักความผิดไปให้เด็กฝึกงาน เธอว่านี่มันหมายความว่ายังไงล่ะ ?”หมายความว่าอะไร ?เวินเหลียงก้มหน้าลงเธอรู้แก่ใจดี มันหมายความว่าฟู่เจิงไม่สนใจเธอ หมายความว่าในใจของฟู่เจิง ฉู่ซืออี๋สำคัญกว่ามากเพียงเพราะอู๋หลิงกับเวิ
เธอเปรี้ยวปากอยากกินเค้กแบล็คฟอร์เรสของร้านเบเกอรี่เจ้าเก่าร้านนั้นอีกแล้ว“โชเฟอร์คะ คุณรอฉันตรงนี้เดี๋ยวเดียวนะคะ ฉันไปซื้อของแป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว” เวินเหลียงกำชับกับคนขับรถ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในจินเซิ่งสแควร์อย่างรวดเร็วร้านเบเกอรี่ร้านนี้มีชื่อว่าอัฟเตอร์นูนไทม์ เปิดอยู่ที่จินเซิ่งสแคสร์มาหลายปีแล้ว กิจการดีมาก ตอนที่เวินเหลียงไป ในร้านมีคนจำนวนมากเธอเดินตรงไปที่ตู้กระจกด้านซ้ายมือ เรียกพนักงานร้านหยิบเค้กแบล็คฟอร์เรสให้ตัวเองหนึ่งชิ้น รวมถึงนโปเลียนอีกหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ต่อแถวจ่ายเงิน แล้วเวินเหลียงก็ถือถึงกระดาษเดินจากไปเพิ่งออกมาจากร้านเบเกอรี่ เวินเหลียงก็ชนเข้ากับผู้หญิงสองคน เธอกล่าว “ขอโทษ” เตรียมที่จะเดินอ้อมไปจู่ ๆ ก็มีคนตะโกนเรียกเธอ “เวินเหลียง ?”เวินเหลียงชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไป จึงพบว่าหนึ่งในผู้หญิงสองคนนั้น คนที่สวมหน้ากากอนามัยและหมวกก็คือฉู่ซืออี๋ส่วนผู้หญิงคนข้าง ๆ ที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยก็คือผู้ช่วยของเธอฉู่ซืออี๋ก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มองดูถุงที่อยู่ในมือของเวินเหลียง “มาซื้อเค้กเหรอ ? เธอเองก็ชอบกินเค้กร้านนี้เหมือนกันเหรอ
เวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมองเขา รู้สึกเหลือเชื่อช่วงเวลาที่เธอมาถึงตระกูลฟู่ ท่าทีของฟู่เจิงไม่ยินดียินร้าย ไม่เหินห่างแต่ก็ไม่เข้าใกล้ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงซื้อเค้กให้เธอ ?“ไม่ชอบเหรอ ?” เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ ฟู่เจิงก็ย้อนถามเวินเหลียงส่ายหน้า แล้วก็รีบพยักหน้าทำไมจะไม่ชอบล่ะ ?เธอเคยเห็นเพื่อนกิน เค้กของร้านเบเกอรี่ร้านนี้แพงมาก โชคดีเคยได้ชิมเค้กมัทฉะของร้านนี้หนึ่งครั้ง รสชาติยากที่จะลืมเลือนตอนนั้นเงินเดือนของพ่อเพียงพอจะเลี้ยงปากท้องได้สองคน พ่อเองไม่ตระหนี่กับเวินเหลียง เพียงแต่เค้กของร้านอัฟเตอร์นูนไทม์ราคาแพงเกินไป เหมือนกับชายามบ่ายที่เป็นสินค้าสิ้นเปลือง สำหรับเวินเหลียงที่เกิดมาในครอบครัวฐานะธรรมดา ๆ ถือว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง“ชอบก็ดี” ฟู่เจิงยิ้มจาง ๆ แล้วหันหลังเดินขึ้นชั้นบนไปเวินเหลียงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองดูถุงกระดาษที่อยู่ตรงหน้า ในใจยังคงไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งฟู่เจิงเกือบจะเดินไปถึงชั้นบน เธอถึงตั้งสติขึ้นมาได้ จึงหันไปตะโกนทางบันได “ขอบคุณนะคะพี่รอง”ไม่ว่าฟู่เจิงจะฟังออกหรือไม่ แต่เวินเหลียงกลับรู้ดีว่า น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนหวานนี่เป็นครั้งแรก คร
วันที่เขาเพิ่งกลับมาจากทำงานนอกสถานที่ตอนต้นเดือน เวินเหลียงยังคงรอเขาอยู่ที่โซฟาจนหลับไปเพียงแต่ภายหลัง หลังจากที่เขาพูดเรื่องการหย่าขึ้นมา ก็ไม่เคยมีภาพเช่นนั้นปรากฏขึ้นอีก เขากลับมาตอนเย็น ห้องรับแขกก็มืดสนิท เต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้าง“คุณผู้ชายคะ คุณกลับมาแล้วเหรอคะ” เมื่อคุณป้าได้ยินเสียงในห้องรับแขก ก็ตั้งใจเดินออกมาดู“อืม”“คุณดื่มเหล้าเหรอคะ จะให้ฉันไปต้มซุปสร่างเมาให้คุณสักถ้วยไหม ?”“ไปเถอะ”ฟู่เจิงดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก แล้วนั่งลงบนโซฟา พิงตัวลงไปที่พนัก หลับตา แล้วลูบขมับด้วยความเหนื่อยล้าสักพัก คุณป้าก็ยกน้ำซุปสร่างเมาออกมาวางไว้ที่โต๊ะน้ำชาในห้องรับแขก แล้วปลุกฟู่เจิงให้ตื่น : “คุณผู้ชาย รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะค่ะ”“อืม” ฟู่เจิงลืมตาขึ้น ขานรับเบา ๆ หนึ่งครั้ง แต่กลับไม่เคลื่อนไหวเมื่อคุณป้าเห็นว่าซุปสร่างเมามีควันพวยพุ่งอยู่ ก็เดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง ไม่นานนัก ก็ยกจานผลไม้สดออกมา แล้ววางไว้ตรงหน้าฟู่เจิง “คุณผู้ชาย ถ้าคุณไม่ยอมดื่มน้ำซุปสร่างเมา ก็กินผลไม้สักหน่อยเถอะค่ะ”ผลไม้ที่อยู่ในจาน มีหลายอย่างที่มีสรรพคุณทำให้สร่างเมาได้“ลำบากแล้ว”“ไม่ลำบา
ฟู่เจิงมองเวินเหลียงพักหนึ่งจึงหัวเราะ “เวินเหลียง นี่มันไม่ตลกเลยนะ ถึงเธอจะมีความขัดแย้งกัยอู๋หลิงเรื่องงาน แต่ก็ไม่ควรเอามาล้อเล่นแบบนี้”มิน่าอู๋หลิงถึงพูดแบบนั้นแต่ถึงอู๋หลิงจะไม่บอกไว้ล่วงหน้า เขาก็ไม่เชื่ออู๋หลิงทำงานที่ฟู่ซื่อมาหลายปีแล้ว เป็นคนตั้งใจทำงาน ทุกคนเห็นในความสามารถของเธอ หนำซ้ำอู๋หลิงยังมีแฟนหนุ่มที่คบหากันหลายปี จะชอบเชาได้อย่างไร?เวินเหลียงนิ่งเงียบไม่พูดต่อดูสิ ฟู่เจิงไม่เชื่อคำพูดของเธอ แล้วทำไมต้องทำเป็นเป็นห่วงเป็นใยเธอด้วย?หรือว่าเธอลืมไปว่าฟู่เจิงเล่นละครตบตามาตลอด? เธอกลับเห็นความห่วงใยของเขาเป็นจริงเป็นจัง?ตอนกลางวันใกล้จะพักเที่ยง เวินเหลียงได้รับข้อความไลน์จากฟู่เจิง“กลางวันมาที่ห้องทำงานฉัน สั่งเผื่อเธอแล้ว”เวินเหลียงมองห้องแชต พิมพ์ตัวอักษร : ฉันจะไปกินที่โรงอาหารนิ้วชี้ของเธออยู่ตรงปุ่ม แต่อย่างไรก็ไม่กดลงไป ค้างสองสามวินาทีแล้วเธอจึงลบข้อความและตอบว่า “ค่ะ”ถึงห้องทำงานของฟู่เจิง บนโต๊ะหน้าโซฟามีมื้อเที่ยงวางอยู่เต็มไปหมดเวินเหลียงเดินไป เห็นข้างกล่องอาหารมื้อเที่ยงมีถุงขนมที่คุ้นเคยอยู่เห็นสายตาของเวินเหลียงมองไปด้านข้าง ฟู่
ฟู่เจิงหันไปมองเวินเหลียง จูงมือเธอแล้วเดินเข้าไปเวินเหลียงเม้มริมฝีปาก หายใจเข้าลึก ๆ ทำหน้าตาสดใสแล้วเข้าห้องไปกับฟู่เจิง “คุณปู่”คุณปู่ดีใจมาก หน้าตาระรื่น นั่งอยู่ที่โซฟานานแล้ว “มากันแล้วเหรอ พวกเรากลับกันเถอะ”คุณปู่ค้ำไม้เท้าลุกขึ้นเวินเหลียงฉุดมือออกจากฟู่เจิงแล้วไปประคองคุณปู่อยู่ด้านข้าง “คุณปู่ ช้า ๆ นะคะ”“ไม่เป็นไร”ฟู่เจิงไม่ได้พูดอะไร มาประคองคุณปู่อีกทางหนึ่งคุณปู่โบกมือขวางเขาไว้ “ดูเป็นห่วงเข้าสิ ฉันยังเดินได้อยู่นี่ไง”ครั้งนี้ที่กลับบ้านใหญ่กับพวกเขายังมีผู้ช่วยของผู้อำนวยการหลินอีกคนฟู่เยว่ไม่วางใจคุณปู่ พอรู้ว่าเขาจะกลับบ้านก็ขอให้ผู้ช่วยของผู้อำนวยการหลินมาพัดที่บ้านระยะหนึ่งคุณปู่จำต้องยอมรับปากพอถึงบ้านใหญ่ คุณปู่กระปรี้กระเปร่าดีเวินเหลียงกับฟู่เจิงนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณปู่คุณย่าอยู่ที่โซฟาไม่นานฟู่เยว่กับภรรยาซูชิงอวิ๋นก็มา ตอนที่พวกเขามายังพาลูกชายฟู่รุ่ยมาด้วยตอนนี้ฟู่รุ่ยอายุสี่ขวบแล้ว กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล หน้าตาจ้ำม่ำน่ารัก ชวนให้คนชมชอบเขาสะพายกระเป๋านักเรียนใบเล็ก มาทักทายคุณปู่กับคุณย่าตรงหน้าก่อน “คุณปู่ทวด คุณย่าทวด”“จ้ะ