เมื่ออินชิงเสวียนมาถึงห้องโถงด้านข้าง เสี่ยวหนานเฟิงก็ตื่นขึ้นพอดี สองแม่ลูกหยอกเย้ากันสักพัก จากนั้นยายหลี่ก็มาอุ้มเจ้าเด็กตัวกลมไปดื่มนมอินชิงเสวียนเข้าไปอาบน้ำในมิติ เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เมื่อออกมาสีหน้าก็ผ่องใสขึ้นนางรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดบุรุษ เตรียมตัวไปยังสำนักศึกษาหลวงทันทีที่ออกไป ก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินนำหลี่เต๋อฝูเข้ามาจากประตู“เสวียนเอ๋อร์กำลังจะไปแล้วหรือ”เมื่อเห็นหญิงสาวตัวน้อยสวมชุดบุรุษ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เป็นประกาย ช่างเป็นสตรีที่ไม่เป็นรองบุรุษอย่างแท้จริง“อืม ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว หม่อมฉันจึงอยากไปดูเสียหน่อย ประเดี๋ยวใต้เท้าเฒ่าพวกนั้นจะด่าข้าเอา”อินชิงเสวียนเอามือไพล่หลัง อิสระเสรีดั่งบุรุษเย่จิ่งอวี้ยื่นนิ้วแตะจมูกเชิดรั้นของนางเบาๆ“ใครกล้าดุเจ้า ข้าจะถลกหนังเขาเอง”อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้ม แล้วถามว่า “องครักษ์เงาผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างยินดี “หลังจากดื่มน้ำของเสวียนเอ๋อร์ อาการก็ดีขึ้นมาก”ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงภาพหลอนที่เห็นตอนที่อยู่ในมิติของอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนพยักหน้า“ใช่ หรือเจ้าอยากไปที่ไหนหรือไม่”เย่ไห่ถังกัดริมฝีปาก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เสด็จพี่สะใภ้ ท่าน...ไม่อยากเยี่ยมที่บ้านหรือ”อินชิงเสวียนประหลาดใจ“เจ้าอยากไปบ้านท่านพ่อข้างั้นหรือ”เย่ไห่ถังพยักหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่เคยเห็นว่าคนธรรมดาเป็นอย่างไร เสด็จพี่สะใภ้พาข้าไปดูได้หรือไม่”อินชิงเสวียนไม่ค่อยอยากกลับบ้าน เพราะถ้าอินจ้งเห็นนาง เขาจะถามถึงจูอวี้เหยียนแน่นอนตัวเองไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อจูอวี้เหยียน แต่อินจ้งนั้นแตกต่างออกไป หากเขารู้ว่าจูอวี้เหยียนมีสภาพน่าสมเพชเพียงนั้น แม้จะไม่พูดออกมา แต่ในใจเขาคงจะรู้สึกแย่แน่ๆเย่ไห่ถังแสดงทักษะการออดอ้อนของนางทันที กระตุกแขนเสื้อของอินชิงเสวียนแล้วพูดว่า “ไปนะ ไปดูหน่อยนะเจ้าคะ”อินชิงเสวียนจนปัญญากับท่าทางการอ้อนของนาง จึงพยักหน้าฉินเทียนและหลี่ชีต่างคอยทำตามคำสั่งอินชิงเสวียน ย่อมไม่ถามมาก ครั้นแล้วอีกสิบห้านาทีต่อมา รถม้าก็หยุดที่หน้าประตูจวนแม่ทัพเด็กรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูเข้าไปรายงานทันที ครู่ต่อมา อินปู้อวี่ก็เดินออกจากเรือนเมื่อเห็นว่าเป็นอินชิงเสวียน อินปู้อวี่ก็ดีใจมาก“น้องหญิ
ระหว่างทางกลับ อินชิงเสวียนยังคงระมัดระวังตัวขึ้นสุด จนกระทั่งเข้าใกล้ประตูจิ้งอัน นางจึงผ่อนคลายเล็กน้อยไม่ไกลนัก มีชายคนหนึ่งกำลังตะโกนเรียกลูกค้ามาซื้อขนมเปี๊ยะนึ่ง สายตาจ้องมองไปที่รถม้าเป็นครั้งคราวเมื่อเห็นอินชิงเสวียนเข้าวัง คนผู้นั้นก็เดินเข้าไปในตรอกข้างๆ ทันทีในนั้นยังมีอีกหลายหาบตั้งอยู่ ข้างหาบมีคนอีหลายคนกำลังนั่งยองๆ อยู่“เป็นอย่างไรบ้าง” คนหนึ่งถามชายร่างเตี้ยที่แบกหาบพูดด้วยภาษาของพวกเขาว่า “แปลกมาก เห็นได้ชัดว่าสตรีคนนี้ไม่รู้วรยุทธ์ แต่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแก่ผู้พบเห็น”อีกคนถามว่า “หรือเจ้าคิดไปเอง สนมในวังจะรู้วรยุทธ์ได้อย่างไร”คนก่อนหน้านี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นางแข็งแกร่งจริงๆ เราจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้”คนที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มอย่างเหยียดหยาม“ก็แค่ผู้หญิงยิงเรือ มีอะไรต้องกลัว องครักษ์เงาในวังพวกนั้นก็ตายด้วยน้ำมือของเราไม่ใช่รึ”“ที่พูดมาก็มีเหตุผล พระสนมคนนี้ก็เป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือ เหล่าซานระมัดระวังเกินเหตุ”คนที่มีตาสามเหลี่ยมจากหนึ่งในนั้นอ้าปาก เลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “หญิงผู้นี้หน้าตาสะสวยจริงๆ เมื่อพวกเจ้าถามถึงที่อยู่ของพิณได้แล้ว ก
อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืนทันที“นางไปนานแค่ไหนแล้ว”ใบหน้าของอวิ๋นฉ่ายซีดลงด้วยความหวาดกลัว“ก็ประมาณ...สิบห้านาทีเพคะ”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดมน“รีบไปตามหา”ในเวลานี้ จังอวี้จิ่นกำลังอุ้มเด็กยืนตัวสั่นอยู่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้ทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ ร่างทั้งร่างสั่นเป็นเจ้าเข้าทรงจังอวี้จิ่นก็ไม่รู้ว่าจะพาเด็กไปที่ไหน นางมาอยู่ในวังไม่นาน ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ นางจึงหาสวนเล็กๆ และมาซ่อนอยู่ในนั้นเสี่ยวหนานเฟิงคิดว่าจังอวี้จิ่นกำลังเล่นกับตัวเอง จึงหัวเราะพลางคว้าเส้นผมของนางเล่นเมื่อเห็นเด็กน่ารักเช่นนี้ จังอวี้จิ่นก็ทำไม่ลงอีกเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ พระสนมก็เป็นคนดี นางแค่ต้องการให้พระสนมมอบตัวอินสิงอวิ๋นผู้ชั่วร้าย ไม่เคยต้องการทำร้ายผู้ใดเมื่อคิดได้ดังนี้ จังอวี้จิ่นก็สงบจิตใจได้มากนางกำลังจะรอนางกำนัล ให้นางไปแจ้งพระสนมที่ตำหนักจินหวูขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจังอวี้จิ่นรู้สึกกระวนกระวายใจทันที กอดเสี่ยวหนานเฟิงไว้แน่นแล้วจึงได้ยินเสียงอ่อนหวานพูดว่า “ดูนี่สิ ดอกไม้ในตำหนักกำลังจะเหี่ยวแห้งไป อีกไม่นานฤดูเหมันต์จะเยือนแล้ว”เสียงหน
เลือดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากมือเล็กป้อมของเสี่ยวหนานเฟิง เด็กก็เริ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดทันทีลู่จิ้งเสียนรู้สึกหฤหรรษ์อินชิงเสวียน นังสารเลวต้องมีตอนที่ตกอยู่ในกำมือของข้าเข้าสักวันถึงอย่างไรเด็กก็เป็นหญิงชั้นต่ำนี่ขโมยมา แม้ว่าอินชิงเสวียนจะตรวจสอบ ก็ตรวจสอบมาไม่ถึงนางเมื่อนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของลู่จิ้งเสียนเย็นชา และแทงแรงๆ อย่างไม่ยั้งมือ...ด้านนอกตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนพาเหล่าขันทีนางกำนัลตามหาทั่ววัง ในไม่ช้าเย่จิ่งอวี้ก็ทราบเรื่องเมื่อทราบว่าลูกหายตัวไป เขาก็เรียกรวมพลทหารองครักษ์ทันที สั่งการให้ไปตรวจค้นทุกที่“เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล เด็กคนนั้นไม่รู้วรยุทธ์ หนีออกจากวังไม่ได้แน่”อินชิงเสวียนจะไม่กังวลได้อย่างไร แม้ว่านางกับลูกของนางจะไม่มีความสัมพันธ์แม่ลูกที่แท้จริง แต่ก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากพอได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ถึงไม่ใช่แม่ลูก แต่ก็มากกว่าคำว่าแม่ลูกไปไกลแล้วเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตายังไม่วายแดงก่ำ“จังอวี้จิ่นกับจ้าวเอ๋อร์ไม่มีความแค้นต่อกัน นางไม่มีเหตุผลที่จะลักพาตัวจ้าวเอ๋อร์ไป ต้องถูกใครบางคนหลอกแน่”เย่จ
เสียงของเย่จิ่งอวี้นั้นเย็นชาราวกับยมบาลในนรกภูมิ อันทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวทันใดนั้นเหล่าบ่าวไพร่ก็หวาดกลัว ต่างคุกเข่ากับบนพื้นเพื่อขอความเมตตา หวังว่าฝ่าบาทจะไว้ชีวิตพวกนางแต่กลับถูกเย่จิ่งอวี้เตะออกไป พูดอย่างเย็นชา “ประหารได้”องครักษ์รีบรุดเข้ามาราวหมาป่าดั่งเสือทันที ลากคนทั้งหมดเหล่านี้ไปที่ลาน และหยิบไม้กระดานขึ้นมาโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ชั่วครู่หนึ่ง ตำหนักจิ้งอานก็เต็มไปด้วยเสียงโหยหวน เลือดนองเป็นแม่น้ำเย่จิ่งอวี้รับเสี่ยวหนานเฟิงมาอุ้มด้วยสีหน้าปวดใจ เกลือกหน้ากับใบหน้าอันอ่อนนุ่มของเขา“จ้าวเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ข้าจะตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้ มารักษาให้จ้าวเอ๋อร์”เสี่ยวหนานเฟิงจับหน้าเย่จิ่งอวี้อย่างรู้ความ พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “คิดถึงเด็จพ่อ~”เมื่อมองดูมือที่บวมแดงของเสี่ยวหนานเฟิง น้ำตาของอินชิงเสวียนก็รินไหล“จ้าวเอ๋อร์เจ็บหรือไม่”เสี่ยวหนานเฟิงส่ายศีรษะเล็กๆ “ไม่เจ็บเจ็บ~”เลือดไหลเยอะเพียงนี้ จะไม่เจ็บได้อย่างไรอินชิงเสวียนสูดจมูก พูดว่า “รีบไปเถอะ แม่จะทายาให้เจ้า”อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาถึงตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจที่พบว่
อินชิงเสวียนเหลือบมองท้องฟ้า ก็เห็นว่าเป็นเวลาพลบค่ำแล้วเย่จิ่งอวี้จับมือเล็กๆ ของจ้าวเอ๋อร์แล้วจูบอย่างอ่อนโยน“เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องไปหรอก จะได้ไม่ต้องทำร้ายความรู้สึกระหว่างพ่อลูกของพวกเจ้า”อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายศีรษะถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากัน อีกทั้งฝ่าบาทไม่ได้ทำอะไรผิดในเรื่องนี้จุดจบของสายลับเต็มไปด้วยความเศร้าสลดเสมอ การไว้ชีวิตจูอวี้เหยียนก็นับว่าเมตตามากแล้ว“ไม่ต้องหรอกเพคะ หลบก็หลบไม่พ้นอยู่ดี”เย่จิ่งอวี้จ้องมองนางและถามอย่างอบอุ่น “เสวียนเอ๋อร์คงไม่คิดว่าวิธีการของข้าโหดร้ายเกินไปหรอกกระมัง”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้ม“ไม่ใช่แน่เพคะ หม่อมฉันไม่ใช่คนที่แยกแยะผิดถูกไม่ได้ ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เพื่อเขียนเสือให้วัวกลัว เป็นการปกป้องความปลอดภัยของต้าโจว”เย่จิ่งอวี้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาหอมแก้มของนางเบาๆเสี่ยวหนานเฟิงรีบยื่นหน้าออกไปใกล้ๆ เช่นกัน“เด็จพ่อ จะหอมหอม~”ใบหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนเป็นสีแดง พูดค้อนๆ “ฝ่าบาทอย่าสอนเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ลูกสิเพคะ”“ไม่ต้องห่วง เขาไม่เข้าใจอะไรหรอก”เย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงอย่างอารมณ์ดี เสี
ในป่าที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ แม่นางน้อยที่สวมชุดต่างเผ่ากำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตข้างหลังนางมีสุนัขป่าที่หิวโหยกำลังไล่ล่านางนางวิ่งมานานกว่าหนึ่งชั่วยาม ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำจากความกลัวและความเหนื่อยล้าเมื่อเห็นว่าสุนัขป่ากำลังจะตามทัน นางก็ดึงธนูและลูกธนูเล็กๆ ที่ฝังด้วยอัญมณีออกมาจากด้านหลังนี่คือสิ่งที่พี่ใหญ่ของนางอูเอินเป็นคนทำให้นางด้วยตัวเอง ตอนเด็ก พี่ใหญ่ยังสอนวิธียิงธนูให้นางกับมือเมื่อนึกถึงความอบอุ่นของครอบครัว นัยน์ตาของเป่าเล่อเอ่อร์ก็ฉายแววเจ็บปวดในสถานการณ์วิกฤติ นางไม่มีเวลาคิดอะไรมาก นางรีบโน้มธนูและยิงลูกธนูไปอย่างรวดเร็ว ลูกธนูปักร่างของสุนัขป่าเข้าอย่างจังการฝึกฝนมาหลายปี ได้ถูกนำมาใช้ในวันนี้เวลานี้ ลูกธนูเหล็กพุ่งฉิวไปอย่างรวดเร็วปานอสุนีบาตยิงเข้าที่คอของสุนัขป่าอย่างแม่นยำและรุนแรงสุนัขป่านอนอยู่บนพื้น เห่าหอนหลายครั้ง จากนั้นก็กระตุกและแน่นิ่งไปเป่าเล่อเอ่อร์เดินอย่างระมัดระวัง ดึงลูกธนูออกมา พอเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงรีบวิ่งออกจากป่าตั้งแต่เด็กจนโตนางไม่เคยออกจากเจียงวูเลย ตอนนี้อาศัยแรงรักทั้งหมด คิดในใจว่า หากก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ