ณ คุกหลวงฝ่าบาทมาด้วยตัวเอง เหล่าผู้คุมเรือนจำต่างคุกเข่ารอรับเสด็จที่หน้าประตูเย่จิ่งอวี้โบกมือและพูดเสียงเข้มว่า “ต่างก็ลุกขึ้นเถิด นำตัวจูอวี้เหยียนออกมา”ผู้คุมเรือนจำรีบหิ้วจูอวี้เหยียนออกมาทันที และใช้โซ่เหล็กล็อกนางไว้กับเสาหินจูอวี้เหยียนยังคงเชิดหน้าชูคอเช่นเคย และมองอินชิงเสวียนด้วยสายตาที่เยือกเย็น“ข้าให้สิ่งที่พวกเจ้าต้องการไปแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำอะไรอีก?”เย่จิ่งอวี้เดินไปด้านหน้า และพูดเสียงแข็งว่า “เจ้าคนรับใช้ชั้นต่ำ ตอนนี้เจ้าเป็นถึงนักโทษ แต่ยังกล้าจองหองเช่นนี้อีก”จูอวี้เหยียนพูดเสียงฮึดฮัด “แล้วทำไมเล่า?”“อวดดี!”เย่จิ่งอวี้ตะคอกเสียงขรึม พร้อมกับมาด้านหน้าของจูอวี้เหยียนด้วยความว่องไว มือข้างหนึ่งตบที่ศีรษะของนางจูอวี้เหยียนตกใจ“เจ้าจะทำอะไร?”ยังไม่ทันที่นางจะได้ถามคำถามที่สอง นางก็รู้สึกถึงลมปราณที่ทรงพลังไหลพรูจากเหนือศีรษะและตรงไปที่จุดตันเถียน จากนั้นก็รู้สึกว่าจุดตันเถียนว่างเปล่าราวกับถูกดึงออกไป และเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว หนอนกู่รับรู้ถึงการข่มขู่ จึงกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกจูอวี้เหยียนแสดงสีหน้าตกใจ“เจ้า... เจ้าต้องการจะทำอะไร? อ
“อวี้จิ่น เจ้าเป็นอะไร?”อวิ๋นฉ่ายใช้แขนชนนางหนึ่งทีจังอวี้จิ่นตัวสั่นในทันใด“ไม่ ข้าไม่เป็นไร”จังอวี้จิ่นซุกหัวไว้บนขา และไม่พูดอะไรอีกเลยอวิ๋นฉ่ายคิดว่านางง่วงนอน จึงไม่ได้พูดอะไรอีกด้านในห้อง เย่จิ่งอวี้อุ้มอินชิงเสวียนขึ้นมา และวางลงบนเตียงใหญ่ที่ปูด้วยฟูกนุ่มนิ่มเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหล่าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปากด้วยความเขินอาย ขนตาที่เรียวยาวสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องท่าทางเขินอายของเด็กสาวตัวน้อย ทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกอึดอัดในลำคอ และกอดนางอย่างแน่นไว้ในอ้อมอก“เสวียนเอ๋อร์...”เขาเรียกชื่อของนางเบาๆ ริมฝีปากบางเฉียบจรดลงบนใบหน้าเล็กๆ ของนางที่ขาวนวลราวกับเครื่องเคลือบดินเผาเนื้อดีแม้ทั้งสองจะไม่ได้ร่วมหอกันเป็นครั้งแรก แต่อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกเขินอาย และตื่นเต้นอย่างมาก นางรู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้น และการหายใจก็เร็วขึ้นเล็กน้อยมือใหญ่ของเย่จิ่งอวี้สอดเข้าไปใต้ปกคอเสื้อ ความเย็นยะเยือกเพียงเล็กน้อยทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างมาก จึงแอ่นร่างขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามใจได้ และกอดคอของเย่จิ่งอวี้เอาไว้ริมฝีปากของทั้งสองอยู่ใกล้กันเพียงคืบเ
อินชิงเสวียนรู้ว่าเจวี๋ยอิ่งกำลังสิบคดีคนชราอย่างลับๆ จึงรีบถามขึ้นว่า “จับตัวฆาตกรได้แล้วหรือเพคะ?”“ยังไม่ได้”เย่จิ่งอวี้เล่าเรื่องที่เจวี๋ยอิ่งถูกโจมตีให้นางฟังอย่างง่ายๆ“เช่นนี้นี่เอง หม่อมฉันสะดวกแน่นอนเพคะ ฝ่าบาทเคยเข้าไปในมิติของหม่อมฉันแล้ว ตาบ่อน้ำที่ท่านเห็นก็คือน้ำพุวิญญาณ หม่อมฉันจะเข้าไปตักเดี๋ยวนี้เลยเพคะ”ชีวิตคนสำคัญกว่าทุกสิ่ง อินชิงเสวียนไม่มัวเสียเวลา นางใช้ความนึกคิดและเข้าไปในมิติ จากนั้นก็ตักน้ำพุวิญญาณมาหนึ่งถัง และมอบให้แก่เย่จิ่งอวี้“ขอบพระทัยเสวียนเอ๋อร์ ข้าจะไปสำนักหมอหลวงเดี๋ยวนี้ เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ”หลังจากเย่จิ่งอวี้ไปแล้ว อินชิงเสวียนก็ไม่อยากนอนต่อความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกคนเหล่านี้ทำเพื่อเหตุผลอะไรกัน?แต่สิ่งเล็กๆ ที่ทำให้นางพึงพอใจ นั่นก็คือเย่จิ่งหลานไม่ใช่คนทำเรื่องนี้เพราะเขาเป็นคนบ้านเดียวกันเพียงคนเดียวอินชิงเสวียนในโลกใบนี้ อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้มีวันที่เขาถูกลงโทษด้วยกฎหมายของต้าโจวผ่านไปไม่นาน ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นอวิ๋นฉ่ายหาวและลุกขึ้นยืน“ฝ่าบาทตื่นค่อนข้างไว ข้าจะไปตักน้ำล้างหน้าก่อน เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ
เมื่ออินชิงเสวียนมาถึงห้องโถงด้านข้าง เสี่ยวหนานเฟิงก็ตื่นขึ้นพอดี สองแม่ลูกหยอกเย้ากันสักพัก จากนั้นยายหลี่ก็มาอุ้มเจ้าเด็กตัวกลมไปดื่มนมอินชิงเสวียนเข้าไปอาบน้ำในมิติ เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เมื่อออกมาสีหน้าก็ผ่องใสขึ้นนางรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดบุรุษ เตรียมตัวไปยังสำนักศึกษาหลวงทันทีที่ออกไป ก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินนำหลี่เต๋อฝูเข้ามาจากประตู“เสวียนเอ๋อร์กำลังจะไปแล้วหรือ”เมื่อเห็นหญิงสาวตัวน้อยสวมชุดบุรุษ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เป็นประกาย ช่างเป็นสตรีที่ไม่เป็นรองบุรุษอย่างแท้จริง“อืม ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว หม่อมฉันจึงอยากไปดูเสียหน่อย ประเดี๋ยวใต้เท้าเฒ่าพวกนั้นจะด่าข้าเอา”อินชิงเสวียนเอามือไพล่หลัง อิสระเสรีดั่งบุรุษเย่จิ่งอวี้ยื่นนิ้วแตะจมูกเชิดรั้นของนางเบาๆ“ใครกล้าดุเจ้า ข้าจะถลกหนังเขาเอง”อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้ม แล้วถามว่า “องครักษ์เงาผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างยินดี “หลังจากดื่มน้ำของเสวียนเอ๋อร์ อาการก็ดีขึ้นมาก”ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงภาพหลอนที่เห็นตอนที่อยู่ในมิติของอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนพยักหน้า“ใช่ หรือเจ้าอยากไปที่ไหนหรือไม่”เย่ไห่ถังกัดริมฝีปาก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เสด็จพี่สะใภ้ ท่าน...ไม่อยากเยี่ยมที่บ้านหรือ”อินชิงเสวียนประหลาดใจ“เจ้าอยากไปบ้านท่านพ่อข้างั้นหรือ”เย่ไห่ถังพยักหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่เคยเห็นว่าคนธรรมดาเป็นอย่างไร เสด็จพี่สะใภ้พาข้าไปดูได้หรือไม่”อินชิงเสวียนไม่ค่อยอยากกลับบ้าน เพราะถ้าอินจ้งเห็นนาง เขาจะถามถึงจูอวี้เหยียนแน่นอนตัวเองไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อจูอวี้เหยียน แต่อินจ้งนั้นแตกต่างออกไป หากเขารู้ว่าจูอวี้เหยียนมีสภาพน่าสมเพชเพียงนั้น แม้จะไม่พูดออกมา แต่ในใจเขาคงจะรู้สึกแย่แน่ๆเย่ไห่ถังแสดงทักษะการออดอ้อนของนางทันที กระตุกแขนเสื้อของอินชิงเสวียนแล้วพูดว่า “ไปนะ ไปดูหน่อยนะเจ้าคะ”อินชิงเสวียนจนปัญญากับท่าทางการอ้อนของนาง จึงพยักหน้าฉินเทียนและหลี่ชีต่างคอยทำตามคำสั่งอินชิงเสวียน ย่อมไม่ถามมาก ครั้นแล้วอีกสิบห้านาทีต่อมา รถม้าก็หยุดที่หน้าประตูจวนแม่ทัพเด็กรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูเข้าไปรายงานทันที ครู่ต่อมา อินปู้อวี่ก็เดินออกจากเรือนเมื่อเห็นว่าเป็นอินชิงเสวียน อินปู้อวี่ก็ดีใจมาก“น้องหญิ
ระหว่างทางกลับ อินชิงเสวียนยังคงระมัดระวังตัวขึ้นสุด จนกระทั่งเข้าใกล้ประตูจิ้งอัน นางจึงผ่อนคลายเล็กน้อยไม่ไกลนัก มีชายคนหนึ่งกำลังตะโกนเรียกลูกค้ามาซื้อขนมเปี๊ยะนึ่ง สายตาจ้องมองไปที่รถม้าเป็นครั้งคราวเมื่อเห็นอินชิงเสวียนเข้าวัง คนผู้นั้นก็เดินเข้าไปในตรอกข้างๆ ทันทีในนั้นยังมีอีกหลายหาบตั้งอยู่ ข้างหาบมีคนอีหลายคนกำลังนั่งยองๆ อยู่“เป็นอย่างไรบ้าง” คนหนึ่งถามชายร่างเตี้ยที่แบกหาบพูดด้วยภาษาของพวกเขาว่า “แปลกมาก เห็นได้ชัดว่าสตรีคนนี้ไม่รู้วรยุทธ์ แต่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแก่ผู้พบเห็น”อีกคนถามว่า “หรือเจ้าคิดไปเอง สนมในวังจะรู้วรยุทธ์ได้อย่างไร”คนก่อนหน้านี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นางแข็งแกร่งจริงๆ เราจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้”คนที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มอย่างเหยียดหยาม“ก็แค่ผู้หญิงยิงเรือ มีอะไรต้องกลัว องครักษ์เงาในวังพวกนั้นก็ตายด้วยน้ำมือของเราไม่ใช่รึ”“ที่พูดมาก็มีเหตุผล พระสนมคนนี้ก็เป็นเพียงผู้หญิงยิงเรือ เหล่าซานระมัดระวังเกินเหตุ”คนที่มีตาสามเหลี่ยมจากหนึ่งในนั้นอ้าปาก เลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “หญิงผู้นี้หน้าตาสะสวยจริงๆ เมื่อพวกเจ้าถามถึงที่อยู่ของพิณได้แล้ว ก
อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืนทันที“นางไปนานแค่ไหนแล้ว”ใบหน้าของอวิ๋นฉ่ายซีดลงด้วยความหวาดกลัว“ก็ประมาณ...สิบห้านาทีเพคะ”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดมน“รีบไปตามหา”ในเวลานี้ จังอวี้จิ่นกำลังอุ้มเด็กยืนตัวสั่นอยู่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้ทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ ร่างทั้งร่างสั่นเป็นเจ้าเข้าทรงจังอวี้จิ่นก็ไม่รู้ว่าจะพาเด็กไปที่ไหน นางมาอยู่ในวังไม่นาน ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ นางจึงหาสวนเล็กๆ และมาซ่อนอยู่ในนั้นเสี่ยวหนานเฟิงคิดว่าจังอวี้จิ่นกำลังเล่นกับตัวเอง จึงหัวเราะพลางคว้าเส้นผมของนางเล่นเมื่อเห็นเด็กน่ารักเช่นนี้ จังอวี้จิ่นก็ทำไม่ลงอีกเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ พระสนมก็เป็นคนดี นางแค่ต้องการให้พระสนมมอบตัวอินสิงอวิ๋นผู้ชั่วร้าย ไม่เคยต้องการทำร้ายผู้ใดเมื่อคิดได้ดังนี้ จังอวี้จิ่นก็สงบจิตใจได้มากนางกำลังจะรอนางกำนัล ให้นางไปแจ้งพระสนมที่ตำหนักจินหวูขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจังอวี้จิ่นรู้สึกกระวนกระวายใจทันที กอดเสี่ยวหนานเฟิงไว้แน่นแล้วจึงได้ยินเสียงอ่อนหวานพูดว่า “ดูนี่สิ ดอกไม้ในตำหนักกำลังจะเหี่ยวแห้งไป อีกไม่นานฤดูเหมันต์จะเยือนแล้ว”เสียงหน
เลือดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากมือเล็กป้อมของเสี่ยวหนานเฟิง เด็กก็เริ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดทันทีลู่จิ้งเสียนรู้สึกหฤหรรษ์อินชิงเสวียน นังสารเลวต้องมีตอนที่ตกอยู่ในกำมือของข้าเข้าสักวันถึงอย่างไรเด็กก็เป็นหญิงชั้นต่ำนี่ขโมยมา แม้ว่าอินชิงเสวียนจะตรวจสอบ ก็ตรวจสอบมาไม่ถึงนางเมื่อนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของลู่จิ้งเสียนเย็นชา และแทงแรงๆ อย่างไม่ยั้งมือ...ด้านนอกตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนพาเหล่าขันทีนางกำนัลตามหาทั่ววัง ในไม่ช้าเย่จิ่งอวี้ก็ทราบเรื่องเมื่อทราบว่าลูกหายตัวไป เขาก็เรียกรวมพลทหารองครักษ์ทันที สั่งการให้ไปตรวจค้นทุกที่“เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล เด็กคนนั้นไม่รู้วรยุทธ์ หนีออกจากวังไม่ได้แน่”อินชิงเสวียนจะไม่กังวลได้อย่างไร แม้ว่านางกับลูกของนางจะไม่มีความสัมพันธ์แม่ลูกที่แท้จริง แต่ก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากพอได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ถึงไม่ใช่แม่ลูก แต่ก็มากกว่าคำว่าแม่ลูกไปไกลแล้วเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตายังไม่วายแดงก่ำ“จังอวี้จิ่นกับจ้าวเอ๋อร์ไม่มีความแค้นต่อกัน นางไม่มีเหตุผลที่จะลักพาตัวจ้าวเอ๋อร์ไป ต้องถูกใครบางคนหลอกแน่”เย่จ