ด่านถงกู่การโจมตีที่ทำให้ประหลาดใจจนตั้งตัวไม่ติดในช่วงดึก ทำให้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่โหวเหนือและคนอื่นๆ รู้สึกโล่งอกทันที ทั้งสั่งให้ฆ่าแกะเพื่อเฉลิมฉลองที่โต๊ะสุรา มีแม่ทัพคนหนึ่งลูบคางแล้วพูดว่า “ถึงของสิ่งนี้จะร้ายกาจ แต่ก็มีจำนวนไม่มาก มีทั้งหมดห้าสิบห่อ เมื่อวานเราใช้ไปมากกว่ายี่สิบห่อ ยังต้องรบกวนท่านโหวเขียนจดหมายถึงฝ่าบาท ส่งคนมาเพิ่ม เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด”โหวเหนือหยิบจอกสุราขึ้นมาจิบแล้วพูดว่า “ในเมื่อส่งมาเท่านี้ เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าสิ่งนี้มีค่ามาก หากขอมากขึ้น ฝ่าบาทจะย่อมเสียดายอยู่แล้ว ตอนนี้ส่งจดหมายรายงานฉุกเฉินไปบ่อยๆ ฝ่าบาทจะต้องรำคาญแล้ว อย่าไปทำให้เขารู้สึกไม่ดีจะดีกว่า”พอทุกคนใคร่ครวญ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกว่าคงเป็นเช่นนั้นนับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ อินจ้งถูกเนรเทศ เจียงวูก็กำเริบเสิบสาน ฝ่าบาททนทุกข์เรื่องเจียงวูมาเป็นเวลานาน เขาคงต้องการเอาชนะในการต่อสู้มากกว่าใครๆ ตอนนี้ที่เขาสามารถให้ของสิ่งนี้ได้ ก็เกรงว่าแทบหมดกำลังแล้วโดยที่หารู้ไม่ว่า ดินปืนนี้ไม่ได้เอาไว้ใช้แบบนี้เลยกลยุทธ์ของอินชิงเสวียนคือ การใช้ดินปืนเพื่อโจมตีทางจิตใจให้แต
เมื่อเห็นว่าถูกซุ่มโจมตี แม่ทัพหลิวจึงสั่งถอนกำลังทหารทันทีอย่างไรก็ตาม ทหารม้าของศัตรูมาถึงแล้ว เสียงกีบม้าที่ดังกึกก้องนำพาให้จิตใจของผู้คนเย็นเยียบแม่ทัพหลิวและคนอื่นๆ ถูกโจมตีจนกลัวหัวหดไปหมดแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นกีบเหล็กของศัตรู พวกเขาก็โกลาหลไปเองทันทีหลายคนถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้กีบเหล็ก ล้มระเนระนาดจังเถี่ยยืนอยู่กำแพงเมือง เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล“พี่ใหญ่สวี จัดทัพค่ายกลโล่กำแพงเถอะ ไม่เช่นนั้นคนเหล่านี้อาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว”ตั้งแต่พวกเขามาที่ด่านถงกู่ พวกเขาใช้ค่ายกลโล่กำแพงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเดิมทีค่ายกลโล่กำแพงถูกสร้างขึ้นเพื่อต้านทานทหารม้าของศัตรู ตราบใดที่กองทหารฝ่ายหลังตามทัน พวกเขาก็คงไม่ถึงขั้นพ่ายแพ้ แต่จะทำเช่นไรได้เพราะแม่ทัพหลิวและคนอื่นๆ กลัวว่าพวกเขาสองคนจะขโมยผลงานไป ถ้าอาศัยแค่ค่ายกลโล่กำแพง อาศัยแค่การโจมตีจากหอกในค่ายกลย่อมไม่สามารถต่อสู้กับทหารจำนวนมากได้ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่ายกลโล่กำแพงล้มเหลวตั้งแต่นั้นมา ค่ายกลโล่กำแพงก็ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงสวีเหลียงจดจำความแค้นที่พวกเขาไม่ส่งกองหนุนไปช่วย จึงไม่คิดสนใจเรื่องนี้จังเถ
ณ ต้าโจวห้องหนังสือท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว โคมวังหลวงถูกจุดให้สว่างอยู่กลางเรือนเย่จิ่งอวี้ถอดเสื้อคลุมมังกรออก ในมือพู่กันหางจิ้งจอก กำลังตรวจอ่านฎีกาอยู่เขาสวมเสื้อคลุมผ้าสีฟ้าซึ่งทำให้เขาดูหล่อเหล่า ให้กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ศีรษะปักครอบด้วยปิ่นหยก ซึ่งดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย และเรียบง่ายเขามองดูม้วนไม้ไผ่ ใบหน้าหล่อเหลาของเขานิ่งขึงและเคร่งขรึมบางครั้งก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด บางครั้งก็ตวัดพู่กันขีดเขียนลงไปในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าเบามากดังมาจากด้านนอกเย่จิ่งอวี้ยื่นนิ้วกลางเรียวยาวออกมาแล้วเคาะโต๊ะสามครั้งองครักษ์เงาเดินเข้าประตูมา ในมือถือถุงห่อระเบิดขนาดเท่าฝ่ามือเขาถือถุงห่อระเบิดไว้เหนือศีรษะด้วยความเคารพ คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “โชคดีที่กระหม่อมปฏิบัติภารกิจลุล่วง สกัดกั้นถุงห่อระเบิดกลับคืนมาได้แล้ว”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปรับ ยกมุมปากบางขึ้นเล็กน้อย“ดีมาก”แม้จะต้องใช้เวลาในการศึกษาและผลิตขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถตกไปอยู่ในมือของศัตรูได้ไม่ว่าจะเป็นของสิ่งใดก็ต้องระวังไม่ให้มีการศึกษาอย่างถี่ถ้วน หากพวกเขารู้วิธีทำสิ่งนี้ ผลที่ตามมาจะทำให้เกิดหาย
“เจ้าเป็นใคร กล้ามาชิงพิณ”ต่งจื่ออวี๋ตะโกนด้วยความโกรธ เงื้อกำปั้นต่อยไปยังคนผู้นั้นอินชิงเสวียนก็แลกเปลี่ยนความเร็วในมิติ กอดพิณการเวกไว้ในอ้อมแขนคนผู้นั้นหลบหมัดของต่งจื่ออวี๋ และแค่นเสียงหึเบาๆ “ช่างไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเองเลย”คนผู้นั้นหันกลับไปสะบัดฝ่ามือใส่ต่งจื่ออวี๋ ในขณะที่มืออีกข้างยังไม่ลืมมายื้อแย่งพิณไปอินชิงเสวียนใช้ความเร็วของมิติจนสุดขีด และคนผู้นั้นก็กระโดดขึ้นไปในอากาศทันที แต่บังเอิญเห็นเสี่ยวหนานเฟิงที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวหางตาหรี่ลงเล็กน้อย แล้วก็พุ่งไปหาเสี่ยวหนานเฟิงอย่างรวดเร็วปานอสุนีบาตอินชิงเสวียนตกตะลึง แวบหายตัวไปขวางอยู่ด้านหน้าของเสี่ยวหนานเฟิง ใช้พลังมิติรับมือ และปะทะกับคนผู้นั้นมีเสียงดังปัง เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออกอย่างผวา แล้วจึงหันกลับไปหลับอีกครั้งทว่าอินชิงเสวียนกลับรู้สึกถึงความคาวในลำคอ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง“ผู้อาวุโส!”ต่งจื่ออวี๋กังวลมากจนระดมหมัดใส่อีกหลายครั้ง คนผู้นั้นก็ถูกบังคับให้ถอยหลังสามก้าวด้วยความคิดที่แวบขึ้นมาอย่างกะทันหัน อินชิงเสวียนเก็บพิณในมิติแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เ
“ก็ใช่น่ะสิ ข้ายังคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องอยู่เลย”“ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ช่างโชคร้ายจริงๆ”“เฮ้อ โชคดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร”มีอีกคนหนึ่งถามอย่างใจดีว่า “ลูกสาว พวกเจ้าสองคนไปพักที่บ้านข้าก่อนสักคืนดีหรือไม่ แล้วค่อยกลับมาซ่อมแซมบ้านในตอนกลางวัน”ใบหน้าอันมอมแมมของอินชิงเสวียนคลี่ยิ้มละไม“ขอบคุณพี่น้องชาวบ้านทุกคน ข้ากับสามีจะไปหาโรงเตี๊ยมค้างคืนสักคืนก็ได้เจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนเรียกตัวเองว่าสามี เย่จิ่งอวี้ก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาอินชิงเสวียนคว้าแขนของเขาแล้วรีบวิ่งฝ่าฝูงชนออกมาพอได้สูดลมเย็นๆ ยามค่ำคืนเข้าลึกๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมากนางหยุด เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ฝ่าบาทคิดอย่างไรถึงได้ออกมาเช่นนี้”“เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าย่อมมาหาเจ้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปหยิบเศษหญ้าออกจากศีรษะของอินชิงเสวียนทันใดนั้นเขาก็นึกถึงลูกขึ้นมา เขาใจหายวาบ รีบถามทันที “จ้าวเอ๋อร์ล่ะ”“ไม่ต้องห่วง จ้าวเอ๋อร์อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยมาก”ในขณะที่พูด อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกว่ากำลังจะหมดแรงผลพวงจากมิติมักจะมีอาการเกิดขึ้นตรงเวลาเสมอ ซึ่งเป็นความรู้
“เหตุใดฝ่าบาทถึงมองหม่อมฉันเช่นนี้”ดวงตากลมโตของอินชิงเสวียนเบิกกว้าง ฉายแววงุนงงเล็กน้อยเย่จิ่งอวี้ตื่นจากห้วงภวังค์ทันที เขาหัวเราะเบาๆ “เสวียนเอ๋อร์ของข้าช่างงดงามเหลือเกิน”อินชิงเสวียนทำเสียงชิชะ “หม่อมฉันกำลังถามฝ่าบาท ทำไมฝ่าบาทไม่ตอบ”เย่จิ่งอวี้ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ช่วงนี้ข้ายุ่งมากน่ะ จึงมาที่นี่เพียงครั้งเดียว ที่เหลือข้าไปอาบน้ำที่ตำหนักเฉิงเทียน”อินชิงเสวียนแค่นเสียงหึอย่างไม่พอใจ“สิ้นเปลืองทรัพยากรจริงๆ”เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่กระเง้ากระงอดของนาง เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มอย่างรักใคร่“อย่าโกรธเลย วันนี้ที่ข้าไปหาเจ้าก็เพราะมีข่าวดีจะบอก”อินชิงเสวียนกลับเห็นพวงกระพรวนทองพวงนั้น“เหตุใดกระพรวนนี้จึงอยู่ที่นี่ฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้ห่อเก็บไว้ในผ้ากำมะหยี่อีกครั้ง แล้วดึงอินชิงเสวียนมาอยู่ข้างๆ เขาพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จอาทิ้งไว้ให้ข้าน่ะ เขาให้ข้าเอามาคืนเจ้า เขารู้ว่าข้าได้ยินเสียงนี้ไม่ได้ จึงห่อไว้ในผ้ากำมะหยี่หนาผืนนี้ ไม่ทราบว่าเสวียนเอ๋อร์ให้ข้ายืมสิ่งนี้ไปศึกษาสักหลายๆ วันได้หรือไม่”“จิ้งอ๋องเป็นคนรอบคอบมาก ในเมื่อฝ่าบาทต้องการนำไปศึกษา เช่นนั้นก็
เสียงแผ่วต่ำดังก้องอยู่ในหู ให้ความรู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์อันทำให้หลงใหลใบหน้าของอินชิงเสวียนแดงเถือก นางต้องการผลักคนผู้นั้นออกไป แต่นางก็ถูกรัดแน่นขึ้นแทน“ข้ายอมรับว่าครั้งที่แล้วข้าพูดจาไม่ดี ความจริงข้าใส่ใจมากจนว้าวุ่นใจ ยิ่งข้าชอบมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งอดสงสัยไม่ได้ และยิ่งอดคิดไม่ได้ มีเพียงให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าถึงจะสบายใจได้”เย่จิ่งอวี้รวบแขนเข้าหากัน จับอินชิงเสวียนมานั่งที่ตักของเขาเรียวตาหงส์คู่นั้นจ้องมองใบหน้าอมชมพูประดุจดอกบัวอย่างไม่วางตา ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยมือ คนที่อยู่ในอ้อมแขนจะหายไปทันทีอินชิงเสวียนถูกเขาจ้องมองจนตัวร้อนผ่าว นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแต่แสร้งทำเป็นสงบและพูดว่า “ปล่อยผ่านไปเถอะ เหมือนฉันก็ไม่ใช่คนคิดหยุมหยิมอะไร ไม่ทะเลาะกับฝ่าบาทแล้ว ปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”“ไม่ปล่อย”เย่จิ่งอวี้คลายข้อมือออก แล้วกดอินชิงเสวียนลงบนเก้าอี้ตัวยาวเขาพูดอย่างเอาแต่ใจ “จากนี้ไป ข้าจะหาเชือกมาผูกเจ้า ให้ติดอยู่กับสายรัดเอวของข้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า ตัวเองเป็นจี้ห้อยอยู่บนเอวของเย่จิ่งอวี้ โยกเยกขณะที่เขา
อวิ๋นฉ่ายโกหกไม่เป็น เมื่อเห็นนางทำท่าทางเช่นนั้น ก็เห็นได้ชัดว่านางมีอะไรจะพูดอีกอินชิงเสวียนนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร มีอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่ต้องอึกๆ อักๆ แล้ว หากให้ข้าได้ยินจากปากของคนอื่น ไม่สู้ให้พวกเจ้าเป็นคนบอกดีกว่า”ยายหลี่กล่าวว่า “พระสนมคิดมากเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรจริงๆ เพคะ”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง“ให้อวิ๋นฉ่ายพูด”อวิ๋นฉ่ายเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “วันก่อนนายหญิงสวีมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าฝ่าบาทอยู่กับนางทั้งคืน ต้องให้หานปิงประคองกลับตำหนัก หม่อมฉันเห็นว่าสีหน้าของนางดูซีดเซียว การก้าวย่างไม่มั่นคง และมีคราบเลือดบนกระโปรงของนาง ราวกับว่า...เป็นเรื่องจริง”หัวใจของอินชิงเสวียนรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินผู้ชายสารเลว คนเลว!ปากก็บอกว่านางสำคัญกว่าใคร แต่แอบไปนอนกับสตรีคนอื่นไร้ยางอาย!นางระงับความโกรธในใจ แล้วพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอินชิงเสวียนดูไม่สู้ดีนัก ยายหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พระสนม เรื่องนี้...”ดวงตาของอินชิงเสวียนมืดมัวลง“ออกไป”ยายหลี่และ