ด่านถงกู่การโจมตีที่ทำให้ประหลาดใจจนตั้งตัวไม่ติดในช่วงดึก ทำให้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่โหวเหนือและคนอื่นๆ รู้สึกโล่งอกทันที ทั้งสั่งให้ฆ่าแกะเพื่อเฉลิมฉลองที่โต๊ะสุรา มีแม่ทัพคนหนึ่งลูบคางแล้วพูดว่า “ถึงของสิ่งนี้จะร้ายกาจ แต่ก็มีจำนวนไม่มาก มีทั้งหมดห้าสิบห่อ เมื่อวานเราใช้ไปมากกว่ายี่สิบห่อ ยังต้องรบกวนท่านโหวเขียนจดหมายถึงฝ่าบาท ส่งคนมาเพิ่ม เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด”โหวเหนือหยิบจอกสุราขึ้นมาจิบแล้วพูดว่า “ในเมื่อส่งมาเท่านี้ เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าสิ่งนี้มีค่ามาก หากขอมากขึ้น ฝ่าบาทจะย่อมเสียดายอยู่แล้ว ตอนนี้ส่งจดหมายรายงานฉุกเฉินไปบ่อยๆ ฝ่าบาทจะต้องรำคาญแล้ว อย่าไปทำให้เขารู้สึกไม่ดีจะดีกว่า”พอทุกคนใคร่ครวญ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกว่าคงเป็นเช่นนั้นนับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ อินจ้งถูกเนรเทศ เจียงวูก็กำเริบเสิบสาน ฝ่าบาททนทุกข์เรื่องเจียงวูมาเป็นเวลานาน เขาคงต้องการเอาชนะในการต่อสู้มากกว่าใครๆ ตอนนี้ที่เขาสามารถให้ของสิ่งนี้ได้ ก็เกรงว่าแทบหมดกำลังแล้วโดยที่หารู้ไม่ว่า ดินปืนนี้ไม่ได้เอาไว้ใช้แบบนี้เลยกลยุทธ์ของอินชิงเสวียนคือ การใช้ดินปืนเพื่อโจมตีทางจิตใจให้แต
เมื่อเห็นว่าถูกซุ่มโจมตี แม่ทัพหลิวจึงสั่งถอนกำลังทหารทันทีอย่างไรก็ตาม ทหารม้าของศัตรูมาถึงแล้ว เสียงกีบม้าที่ดังกึกก้องนำพาให้จิตใจของผู้คนเย็นเยียบแม่ทัพหลิวและคนอื่นๆ ถูกโจมตีจนกลัวหัวหดไปหมดแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นกีบเหล็กของศัตรู พวกเขาก็โกลาหลไปเองทันทีหลายคนถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้กีบเหล็ก ล้มระเนระนาดจังเถี่ยยืนอยู่กำแพงเมือง เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล“พี่ใหญ่สวี จัดทัพค่ายกลโล่กำแพงเถอะ ไม่เช่นนั้นคนเหล่านี้อาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว”ตั้งแต่พวกเขามาที่ด่านถงกู่ พวกเขาใช้ค่ายกลโล่กำแพงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเดิมทีค่ายกลโล่กำแพงถูกสร้างขึ้นเพื่อต้านทานทหารม้าของศัตรู ตราบใดที่กองทหารฝ่ายหลังตามทัน พวกเขาก็คงไม่ถึงขั้นพ่ายแพ้ แต่จะทำเช่นไรได้เพราะแม่ทัพหลิวและคนอื่นๆ กลัวว่าพวกเขาสองคนจะขโมยผลงานไป ถ้าอาศัยแค่ค่ายกลโล่กำแพง อาศัยแค่การโจมตีจากหอกในค่ายกลย่อมไม่สามารถต่อสู้กับทหารจำนวนมากได้ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่ายกลโล่กำแพงล้มเหลวตั้งแต่นั้นมา ค่ายกลโล่กำแพงก็ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงสวีเหลียงจดจำความแค้นที่พวกเขาไม่ส่งกองหนุนไปช่วย จึงไม่คิดสนใจเรื่องนี้จังเถ
ณ ต้าโจวห้องหนังสือท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว โคมวังหลวงถูกจุดให้สว่างอยู่กลางเรือนเย่จิ่งอวี้ถอดเสื้อคลุมมังกรออก ในมือพู่กันหางจิ้งจอก กำลังตรวจอ่านฎีกาอยู่เขาสวมเสื้อคลุมผ้าสีฟ้าซึ่งทำให้เขาดูหล่อเหล่า ให้กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ศีรษะปักครอบด้วยปิ่นหยก ซึ่งดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย และเรียบง่ายเขามองดูม้วนไม้ไผ่ ใบหน้าหล่อเหลาของเขานิ่งขึงและเคร่งขรึมบางครั้งก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด บางครั้งก็ตวัดพู่กันขีดเขียนลงไปในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าเบามากดังมาจากด้านนอกเย่จิ่งอวี้ยื่นนิ้วกลางเรียวยาวออกมาแล้วเคาะโต๊ะสามครั้งองครักษ์เงาเดินเข้าประตูมา ในมือถือถุงห่อระเบิดขนาดเท่าฝ่ามือเขาถือถุงห่อระเบิดไว้เหนือศีรษะด้วยความเคารพ คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “โชคดีที่กระหม่อมปฏิบัติภารกิจลุล่วง สกัดกั้นถุงห่อระเบิดกลับคืนมาได้แล้ว”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปรับ ยกมุมปากบางขึ้นเล็กน้อย“ดีมาก”แม้จะต้องใช้เวลาในการศึกษาและผลิตขึ้น แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถตกไปอยู่ในมือของศัตรูได้ไม่ว่าจะเป็นของสิ่งใดก็ต้องระวังไม่ให้มีการศึกษาอย่างถี่ถ้วน หากพวกเขารู้วิธีทำสิ่งนี้ ผลที่ตามมาจะทำให้เกิดหาย
“เจ้าเป็นใคร กล้ามาชิงพิณ”ต่งจื่ออวี๋ตะโกนด้วยความโกรธ เงื้อกำปั้นต่อยไปยังคนผู้นั้นอินชิงเสวียนก็แลกเปลี่ยนความเร็วในมิติ กอดพิณการเวกไว้ในอ้อมแขนคนผู้นั้นหลบหมัดของต่งจื่ออวี๋ และแค่นเสียงหึเบาๆ “ช่างไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเองเลย”คนผู้นั้นหันกลับไปสะบัดฝ่ามือใส่ต่งจื่ออวี๋ ในขณะที่มืออีกข้างยังไม่ลืมมายื้อแย่งพิณไปอินชิงเสวียนใช้ความเร็วของมิติจนสุดขีด และคนผู้นั้นก็กระโดดขึ้นไปในอากาศทันที แต่บังเอิญเห็นเสี่ยวหนานเฟิงที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวหางตาหรี่ลงเล็กน้อย แล้วก็พุ่งไปหาเสี่ยวหนานเฟิงอย่างรวดเร็วปานอสุนีบาตอินชิงเสวียนตกตะลึง แวบหายตัวไปขวางอยู่ด้านหน้าของเสี่ยวหนานเฟิง ใช้พลังมิติรับมือ และปะทะกับคนผู้นั้นมีเสียงดังปัง เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออกอย่างผวา แล้วจึงหันกลับไปหลับอีกครั้งทว่าอินชิงเสวียนกลับรู้สึกถึงความคาวในลำคอ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง“ผู้อาวุโส!”ต่งจื่ออวี๋กังวลมากจนระดมหมัดใส่อีกหลายครั้ง คนผู้นั้นก็ถูกบังคับให้ถอยหลังสามก้าวด้วยความคิดที่แวบขึ้นมาอย่างกะทันหัน อินชิงเสวียนเก็บพิณในมิติแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เ
“ก็ใช่น่ะสิ ข้ายังคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องอยู่เลย”“ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ช่างโชคร้ายจริงๆ”“เฮ้อ โชคดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร”มีอีกคนหนึ่งถามอย่างใจดีว่า “ลูกสาว พวกเจ้าสองคนไปพักที่บ้านข้าก่อนสักคืนดีหรือไม่ แล้วค่อยกลับมาซ่อมแซมบ้านในตอนกลางวัน”ใบหน้าอันมอมแมมของอินชิงเสวียนคลี่ยิ้มละไม“ขอบคุณพี่น้องชาวบ้านทุกคน ข้ากับสามีจะไปหาโรงเตี๊ยมค้างคืนสักคืนก็ได้เจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนเรียกตัวเองว่าสามี เย่จิ่งอวี้ก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาอินชิงเสวียนคว้าแขนของเขาแล้วรีบวิ่งฝ่าฝูงชนออกมาพอได้สูดลมเย็นๆ ยามค่ำคืนเข้าลึกๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมากนางหยุด เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ฝ่าบาทคิดอย่างไรถึงได้ออกมาเช่นนี้”“เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าย่อมมาหาเจ้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปหยิบเศษหญ้าออกจากศีรษะของอินชิงเสวียนทันใดนั้นเขาก็นึกถึงลูกขึ้นมา เขาใจหายวาบ รีบถามทันที “จ้าวเอ๋อร์ล่ะ”“ไม่ต้องห่วง จ้าวเอ๋อร์อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยมาก”ในขณะที่พูด อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกว่ากำลังจะหมดแรงผลพวงจากมิติมักจะมีอาการเกิดขึ้นตรงเวลาเสมอ ซึ่งเป็นความรู้
“เหตุใดฝ่าบาทถึงมองหม่อมฉันเช่นนี้”ดวงตากลมโตของอินชิงเสวียนเบิกกว้าง ฉายแววงุนงงเล็กน้อยเย่จิ่งอวี้ตื่นจากห้วงภวังค์ทันที เขาหัวเราะเบาๆ “เสวียนเอ๋อร์ของข้าช่างงดงามเหลือเกิน”อินชิงเสวียนทำเสียงชิชะ “หม่อมฉันกำลังถามฝ่าบาท ทำไมฝ่าบาทไม่ตอบ”เย่จิ่งอวี้ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ช่วงนี้ข้ายุ่งมากน่ะ จึงมาที่นี่เพียงครั้งเดียว ที่เหลือข้าไปอาบน้ำที่ตำหนักเฉิงเทียน”อินชิงเสวียนแค่นเสียงหึอย่างไม่พอใจ“สิ้นเปลืองทรัพยากรจริงๆ”เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่กระเง้ากระงอดของนาง เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มอย่างรักใคร่“อย่าโกรธเลย วันนี้ที่ข้าไปหาเจ้าก็เพราะมีข่าวดีจะบอก”อินชิงเสวียนกลับเห็นพวงกระพรวนทองพวงนั้น“เหตุใดกระพรวนนี้จึงอยู่ที่นี่ฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้ห่อเก็บไว้ในผ้ากำมะหยี่อีกครั้ง แล้วดึงอินชิงเสวียนมาอยู่ข้างๆ เขาพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จอาทิ้งไว้ให้ข้าน่ะ เขาให้ข้าเอามาคืนเจ้า เขารู้ว่าข้าได้ยินเสียงนี้ไม่ได้ จึงห่อไว้ในผ้ากำมะหยี่หนาผืนนี้ ไม่ทราบว่าเสวียนเอ๋อร์ให้ข้ายืมสิ่งนี้ไปศึกษาสักหลายๆ วันได้หรือไม่”“จิ้งอ๋องเป็นคนรอบคอบมาก ในเมื่อฝ่าบาทต้องการนำไปศึกษา เช่นนั้นก็
เสียงแผ่วต่ำดังก้องอยู่ในหู ให้ความรู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์อันทำให้หลงใหลใบหน้าของอินชิงเสวียนแดงเถือก นางต้องการผลักคนผู้นั้นออกไป แต่นางก็ถูกรัดแน่นขึ้นแทน“ข้ายอมรับว่าครั้งที่แล้วข้าพูดจาไม่ดี ความจริงข้าใส่ใจมากจนว้าวุ่นใจ ยิ่งข้าชอบมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งอดสงสัยไม่ได้ และยิ่งอดคิดไม่ได้ มีเพียงให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าถึงจะสบายใจได้”เย่จิ่งอวี้รวบแขนเข้าหากัน จับอินชิงเสวียนมานั่งที่ตักของเขาเรียวตาหงส์คู่นั้นจ้องมองใบหน้าอมชมพูประดุจดอกบัวอย่างไม่วางตา ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยมือ คนที่อยู่ในอ้อมแขนจะหายไปทันทีอินชิงเสวียนถูกเขาจ้องมองจนตัวร้อนผ่าว นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแต่แสร้งทำเป็นสงบและพูดว่า “ปล่อยผ่านไปเถอะ เหมือนฉันก็ไม่ใช่คนคิดหยุมหยิมอะไร ไม่ทะเลาะกับฝ่าบาทแล้ว ปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”“ไม่ปล่อย”เย่จิ่งอวี้คลายข้อมือออก แล้วกดอินชิงเสวียนลงบนเก้าอี้ตัวยาวเขาพูดอย่างเอาแต่ใจ “จากนี้ไป ข้าจะหาเชือกมาผูกเจ้า ให้ติดอยู่กับสายรัดเอวของข้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า ตัวเองเป็นจี้ห้อยอยู่บนเอวของเย่จิ่งอวี้ โยกเยกขณะที่เขา
อวิ๋นฉ่ายโกหกไม่เป็น เมื่อเห็นนางทำท่าทางเช่นนั้น ก็เห็นได้ชัดว่านางมีอะไรจะพูดอีกอินชิงเสวียนนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร มีอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่ต้องอึกๆ อักๆ แล้ว หากให้ข้าได้ยินจากปากของคนอื่น ไม่สู้ให้พวกเจ้าเป็นคนบอกดีกว่า”ยายหลี่กล่าวว่า “พระสนมคิดมากเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรจริงๆ เพคะ”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง“ให้อวิ๋นฉ่ายพูด”อวิ๋นฉ่ายเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “วันก่อนนายหญิงสวีมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าฝ่าบาทอยู่กับนางทั้งคืน ต้องให้หานปิงประคองกลับตำหนัก หม่อมฉันเห็นว่าสีหน้าของนางดูซีดเซียว การก้าวย่างไม่มั่นคง และมีคราบเลือดบนกระโปรงของนาง ราวกับว่า...เป็นเรื่องจริง”หัวใจของอินชิงเสวียนรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินผู้ชายสารเลว คนเลว!ปากก็บอกว่านางสำคัญกว่าใคร แต่แอบไปนอนกับสตรีคนอื่นไร้ยางอาย!นางระงับความโกรธในใจ แล้วพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอินชิงเสวียนดูไม่สู้ดีนัก ยายหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พระสนม เรื่องนี้...”ดวงตาของอินชิงเสวียนมืดมัวลง“ออกไป”ยายหลี่และ
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง