เสียงแผ่วต่ำดังก้องอยู่ในหู ให้ความรู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์อันทำให้หลงใหลใบหน้าของอินชิงเสวียนแดงเถือก นางต้องการผลักคนผู้นั้นออกไป แต่นางก็ถูกรัดแน่นขึ้นแทน“ข้ายอมรับว่าครั้งที่แล้วข้าพูดจาไม่ดี ความจริงข้าใส่ใจมากจนว้าวุ่นใจ ยิ่งข้าชอบมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งอดสงสัยไม่ได้ และยิ่งอดคิดไม่ได้ มีเพียงให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าถึงจะสบายใจได้”เย่จิ่งอวี้รวบแขนเข้าหากัน จับอินชิงเสวียนมานั่งที่ตักของเขาเรียวตาหงส์คู่นั้นจ้องมองใบหน้าอมชมพูประดุจดอกบัวอย่างไม่วางตา ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยมือ คนที่อยู่ในอ้อมแขนจะหายไปทันทีอินชิงเสวียนถูกเขาจ้องมองจนตัวร้อนผ่าว นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแต่แสร้งทำเป็นสงบและพูดว่า “ปล่อยผ่านไปเถอะ เหมือนฉันก็ไม่ใช่คนคิดหยุมหยิมอะไร ไม่ทะเลาะกับฝ่าบาทแล้ว ปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”“ไม่ปล่อย”เย่จิ่งอวี้คลายข้อมือออก แล้วกดอินชิงเสวียนลงบนเก้าอี้ตัวยาวเขาพูดอย่างเอาแต่ใจ “จากนี้ไป ข้าจะหาเชือกมาผูกเจ้า ให้ติดอยู่กับสายรัดเอวของข้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า ตัวเองเป็นจี้ห้อยอยู่บนเอวของเย่จิ่งอวี้ โยกเยกขณะที่เขา
อวิ๋นฉ่ายโกหกไม่เป็น เมื่อเห็นนางทำท่าทางเช่นนั้น ก็เห็นได้ชัดว่านางมีอะไรจะพูดอีกอินชิงเสวียนนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร มีอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่ต้องอึกๆ อักๆ แล้ว หากให้ข้าได้ยินจากปากของคนอื่น ไม่สู้ให้พวกเจ้าเป็นคนบอกดีกว่า”ยายหลี่กล่าวว่า “พระสนมคิดมากเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรจริงๆ เพคะ”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง“ให้อวิ๋นฉ่ายพูด”อวิ๋นฉ่ายเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “วันก่อนนายหญิงสวีมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าฝ่าบาทอยู่กับนางทั้งคืน ต้องให้หานปิงประคองกลับตำหนัก หม่อมฉันเห็นว่าสีหน้าของนางดูซีดเซียว การก้าวย่างไม่มั่นคง และมีคราบเลือดบนกระโปรงของนาง ราวกับว่า...เป็นเรื่องจริง”หัวใจของอินชิงเสวียนรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินผู้ชายสารเลว คนเลว!ปากก็บอกว่านางสำคัญกว่าใคร แต่แอบไปนอนกับสตรีคนอื่นไร้ยางอาย!นางระงับความโกรธในใจ แล้วพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอินชิงเสวียนดูไม่สู้ดีนัก ยายหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พระสนม เรื่องนี้...”ดวงตาของอินชิงเสวียนมืดมัวลง“ออกไป”ยายหลี่และ
ยายหลี่รีบถาม “ให้พาองค์ชายน้อยไปด้วยหรือไม่เพคะ”“พาไปด้วยกันเถอะ”หากเย่จิ่งอวี้ไม่ได้เจอหน้าเสี่ยวหนานเฟิง เขาต้องเป็นกังวลอีกแน่นอนเสี่ยวอานจื่อรีบนำรถเข็นเด็กมาเสี่ยวหนานเฟิงไม่ได้ขี่รถคันนี้มาหลายวันแล้ว ทันใดนั้นเขาก็โบกมือที่เหมือนแง่งขิงอย่างมีความสุข“รถ ไป~”นิ้วป้อมๆ ของเขาชี้ไปที่รถ แล้วก็ชี้ไปข้างนอก อันเป็นการจัดแจงอย่างชัดเจน“ได้ พวกเราไปกันเลย”ยายหลี่วางเสี่ยวหนานเฟิงไว้ในรถเข็นเด็กอย่างระมัดระวัง แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือข่าวในวังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เพียงสิบห้านาที เกือบทุกคนที่อยู่ในวังก็รู้ว่าอินชิงเสวียนได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นหวงกุ้ยเฟยซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีคนยินดีและทุกข์ตรม และยังมีบางคนโมโหจนปวดท้องเมื่อทราบข่าวนี้ ซูฉ่ายเวยก็ดีใจมากหลังจากที่พ่อของนางเสียชีวิต นางก็คิดได้แล้วแทนที่จะร้องขอความรักที่ไม่มีวันได้ มิสู้หาเงินดีกว่า เพื่อให้แม่และน้องชายมีชีวิตที่ดีขึ้นนางไม่สนใจว่าอินชิงเสวียนจะเป็นหวงกุ้ยเฟยหรือฮองเฮา ตราบใดที่นางกลับวังได้ ทำธุรกิจกับนางได้ก็พอแล้วส่วนลู่จิ้งเสียนแทบจะบ้าคลั่งในตำหนักสนมที่ถูกท
ชายสูงอายุท่าทางมีความรู้ หน้าตาดูใจดี เขาอายุประมาณห้าสิบปี แต่เนื่องจากเขามีเส้นผมขาวโพลนมากเกินไป เขาจึงดูแก่กว่าอายุจริงชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบปี รูปลักษณ์หล่อเหลา นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นคล้ายจะประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอตอนที่อินชิงเสวียนมองดูพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาก็มองมาที่อินชิงเสวียนด้วยเช่นกันสตรีผู้นี้มีนัยน์ตาสดใสดั่งธารายามวสันต์ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาผุดผ่อง ใบหน้างดงามราวสวรรค์ปั้นแต่ง นางปักปิ่นดอกไม้ที่ทำจากทองและหยกบนศีรษะ สวมกระโปรงสีแดงดั่งผลซิ่ง ข้อมือและแขนเสื้อแต่งขอบด้วยสีทอง ทุกอากัปกิริยาล้วนคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์นอกจากนี้ยังมีเด็กทารกตัวกลมชมพูอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาคู่โตสีเข้มกะพริบปริบๆ มองดูทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็นหลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มก็กรีดร้องด้วยความประหลาดใจระคนยินดี“น้องหญิงใหญ่!”เขาพุ่งเข้าหาราวกับลูกธนู ยกตัวอินชิงเสวียนพร้อมกับเด็กทารกขึ้นลอย หมุนพวกเขาไปรอบๆ อินจ้งก็ดูตื่นเต้นเช่นกัน เขาเดินสองก้าวไปหาลูกสาวแล้วหยุดพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ปู้อวี่ อย่ากำเริบเสิบสาน ยังไม่รีบปล่อยหวงกุ้ยเฟยลงและมาแสดงความเคารพอีก”พออิน
เย่จิ่งอวี้พูดอย่างอารมณ์ดี “ทั้งสองท่านโปรดลุกขึ้นเถิด หากพวกเราเป็นคนธรรมดา ข้าก็ควรเรียกแม่ทัพเฒ่าว่าท่านพ่อตาด้วยซ้ำ แม้ว่ากษัตริย์และขุนนางจะแตกต่างกัน แต่สำหรับข้า พวกท่านล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันกับข้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินจ้งก็รู้สึกอบอุ่นในใจจู่ๆ ก็รู้สึกยินดีที่เย่จิ่งเย่าไม่ได้แต่งงานกับอินชิงเสวียนเมื่อเช้านี้ก็ได้ยินมาว่าเย่จิ่งเย่าถูกลอบสังหาร เจียงซิ่วหนิงที่เป็นพระชายาก็ออกบวชชีที่วัดสุ่ยจิ้ง พอคิดว่านางอายุเท่ากับลูกสาวของตัวเอง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจกับนาง “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่รักบุตรีของกระหม่อม นี่เป็นวาสนาของชิงเสวียน และเป็นวาสนาของตระกูลอินเช่นกัน กระหม่อมยินดีที่จะใช้ทั้งชีวิตเพื่อตอบแทนต้าโจว และความมีน้ำใจของฝ่าบาท”อินจ้งรู้สึกตัวในทันที เขากางเสื้อคลุมออก คุกเข่าลงกับพื้น แล้วโขกศีรษะลงบนพื้นอินปู้อวี่ก็คุกเข่าตามเขา พูดด้วยเสียงอันดังว่า “กระหม่อมมีความคิดเช่นเดียวกับท่านพ่อ เต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อต้าโจว แม้ต้องตายก็ไม่เสียดาย”สองพ่อลูกมีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ตราบใดที่พวกเขาทุ่มเทเพื่อต้าโจว อินชิงเสวียนก็จะสามารถรักษาตำแหน่งปัจจุบันของนางได้
อินจ้งเป็นผู้บัญชาการทหารที่แท้จริง ไม่เหมือนทหารที่กลัวความตายเหล่านั้น ที่แค่กล่าวถึงการสู้รบก็อ้างเหตุปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า และพูดจู้จี้จุกจิกไม่เลิกเย่จิ่งอวี้มีความประทับใจที่ดีต่ออินจ้งตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นรัชทายาทแล้วหลังจากที่อินชิงเสวียนแต่งเข้าจวนรัชทายาท อินจ้งก็ไม่เคยมีแผนใดๆ กับเขา ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าอินจ้งเป็นคนตรงไปตรงมาหากไม่มีเรื่องจดหมายลับในการร่วมมือกับศัตรู เขาคงไม่เนรเทศตระกูลอินทั้งครอบครัวโชคดีที่ความจริงทุกอย่างปรากฏชัด เช้านี้อินจ้งและลูกชายก็กลับมาประชุมเช้าอีกครั้ง เมื่อมีพวกเขาสองพ่อลูกอยู่ เหล่าตาเฒ่าเน่าเฟะในอดีตก็เงียบลงมากเมื่อคิดได้ดังนี้ มุมปากของเย่จิ่งอวี้ก็โค้งงอเป็นรอยยิ้มลึกล้ำขึ้นอีกทั้งหมดเดินพลางคุยกันพลางไปตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงตำหนักจินหวูเย่จิ่งอวี้และอินจ้งขึ้นไปสนทนากันที่ศาลาหิน ส่วนอินปู้อวี่หยอกเย้าเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ข้างล่างไป๋เสวี่ยเหมือนจะรู้ว่าสองคนนี้เป็นญาติของอินชิงเสวียน มันนอนอาบแดดอย่างเกียจคร้านอยู่ใต้ชายคาด้านอินชิงเสวียนก็พาอวิ๋นฉ่ายและนางกำนัลไปทำเกี๊ยวสำหรับพวกเขาทุกคน ทั้งยังทำขนมเปี๊ยะ และหุง
อินปู้อวี่หน้าแดงเถือก จนไม่กล้าคีบอาหารกินเลยเมื่อเห็นเขาดื่มแต่สุรา อินชิงเสวียนก็รีบคีบเกี๊ยวให้เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาแต่ดื่มสุราจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พี่รองกินอะไรอย่างอื่นบ้าง”อินปู้อวี่เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ น้องสาวยังนึกถึงเขาอยู่ เกี๊ยวนี้อร่อยมากจริงๆเมื่อเห็นฝ่าบาทพูดคุยกับผู้เป็นพ่อ เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันที “ยังมีอีกหรือไม่ พอแบ่งให้พี่เอาไปให้ท่านแม่รองกับน้องเล็กด้วยได้หรือไม่”อินชิงเสวียนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วภาพของสตรีที่อ่อนโยนและเด็กหญิงตัวเล็กที่ไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวาก็ปรากฏขึ้นในใจของนางนางลืมไปแล้วโดยสิ้นเชิง ว่าเจ้าของร่างเดิมก็มีท่านแม่รองและน้องสาวต่างมารดาด้วยบางทีอาจเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมอาจไม่ชอบใจท่านแม่รองคนนี้ จึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพวกนางสองแม่ลูกมากนักถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันทีว่า “ท่านแม่รอง...ดีกับท่านและท่านพ่อหรือไม่”อินปู้อวี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“เหคุใดจึงถามเช่นนี้ ชุดแต่งงานของน้องหญิงใหญ่ก็เป็นท่านแม่รอง ที่เย็บให้เจ้ากว่าสิบวันสิบคืนด้วยมือของนางเอง”ในยุคปัจจุบันอินชิงเสวียนอ่านนิยายนองเลือดม
อินปู้อวี่พูดด้วยใบหน้ามีความสุข “เจอแล้ว น้องหญิงใหญ่ยังฝากเกี๊ยวมาให้ท่านแม่รองกับน้องเล็กด้วย”อินจื่อลั่วเอียงคอถามด้วยความสงสัย “เกี๊ยวคืออะไรเจ้าคะ”อินปู้อวี่หยิบถุงกระดาษไขออกมา แล้วโบกไปมาต่อหน้าน้องสาวคนเล็ก“ของอร่อย ประเดี๋ยวถ้าเจ้าได้ลองแล้วจะรู้”อินจื่อลั่วสูดดมแรงๆ“กลิ่นหอมจัง ข้าได้กลิ่นเนื้อด้วย”แม้ว่าพวกเขาทั้งครอบครัวจะกลับเมืองหลวงและอาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีเงินพวกเขาสองคนพ่อลูกที่ทำงานหยาบๆ ในเมืองซุ่ยหาน กว่าจะหาเงินสักอีแปะมาเลี้ยงครอบครัวได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่อินจื่อลั่วพูด อินจ้งก็อดรู้สึกผิดไม่ได้เขาลูบศีรษะเล็กๆ ของนางแล้วพูดว่า “ตอนนี้พ่อกับพี่รองกลับมารับตำแหน่งเดิมแล้ว ขอเพียงเรายืนหยัดต่อไปอีกหน่อย ก็จะมีเบี้ยรายเดือนแล้ว เกี๊ยวยังร้อนๆ อยู่ พวกเจ้าสองคนแม่ลูกรีบกินเถอะ”ทุกคนเข้าไปในห้องโถง แล้วอินจ้งก็เปิดถุงกระดาษไขอย่างระมัดระวังอินจื่อลั่วยื่นมือเล็กๆ ออกมาหยิบเกี๊ยวขึ้น แล้วส่งให้ผู้เป็นแม่ด้วยความเคารพ“ท่านแม่กินก่อนเจ้าค่ะ”“เจ้ากินเถอะ แม่ไม่หิว”ซูหมิงหลานมองลูกสาวด้วยสีหน้าอ่อนโยนแล้วอินจื่อลั่วก็ส