อินชิงเสวียนมีมิติสำหรับปกป้องตัวเอง แต่นางเป็นห่วงบาดแผลของเย่จิ่งอวี้“สุขภาพของฝ่าบาท...ได้หรือ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร บาดแผลเกือบจะหายดีแล้ว อีกอย่างอาจไม่ได้เผชิญหน้ากับนักฆ่าทุกครั้งหรอกกระมัง”เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด อินชิงเสวียนกลับยิ่งกังวลมากขึ้นถึงอย่างไรก็ยังจับตัวอาซือหลานไม่ได้ เขาอยู่ในเมืองหลวง จะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวในวังตลอดเวลาอย่างแน่นอนเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็จับไหล่ของนางไว้พูดอย่างอบอุ่น “หากเจ้าเป็นกังวล ข้าจะให้ทหารรักษาพระองค์ตามไปเยอะๆ”“ได้เพคะ!”พาคนไปเยอะ ป้องกันไว้ก่อนจะได้รู้สึกอุ่นใจทุกคนจึงขนของมุ่งหน้าออกจากเมือง หนึ่งชั่วยามต่อมา ก็มาถึงเขตชานเมืองเมื่อยืนอยู่บนเนินเขา ยังคงมองเห็นหลุมลึกที่เกิดจากการระเบิดครั้งล่าสุดได้“ต้องทำอย่างไร ข้าจะให้คนมาช่วยเจ้า” เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังแล้วถามขึ้นอินชิงเสวียนสั่งอย่างเป็นระเบียบ “ขั้นแรกต้มดินดินประสิว แร่กำมะถันก็ต้องบดเป็นผงด้วย จากนั้นส่งคนไปเผาถ่าน”ส่วนตัวนางก็หยิบผ้าหยาบออกมา แล้วบิดเป็นสายชนวนทหารรักษาพระองค์ถูกแ
หอสวดมนต์ในเวลานี้ ไทเฮากำลังสนทนาธรรมกับเสวียนเทียนไต้ซือ หลังจากฟังธรรมมาตลอดทั้งบ่าย นางก็ได้รับประโยชน์มากมายเมื่อคนเข้าสู่ช่วงวัยหนึ่ง มักต้องการทราบชะตากรรมของตนอยู่เสมอไทเฮาก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่านางจะรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเลื่อนลอยไม่มีหลักแหล่ง แต่นางก็ยังมีความหวังอยู่ในใจเมื่อเห็นว่าแม้ไต้ซือจะอายุไม่มากนัก แต่กลับมีความสง่าน่าเกรงขาม มีความรู้ในทางพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง จึงรู้สึกเชื่ออยู่มิวายนางหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา เหตุใดจึงไปเชิญไต้ซือมาจากวัดหลงอิ่นได้”เสวียนเทียนสวดพระนามอมิตภะพุทธเจ้า แล้วกว่าว่า “นักบวชไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ช่วงนี้อาตมาได้ยินเรื่องความโชคร้ายในราชสำนัก จึงมาตรวจดูที่นี่ แม้ว่าอาตมาจะเข้าสู่โลกทางธรรมแล้ว แต่ข้าวหรืออาหารที่ได้ฉันก็มาจากต้าโจว จึงต้องพยายามเพื่อต้าโจวบ้าง”เขาหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า “วังแห่งนี้มีสิ่งอัปมงคลจริงๆ หากต้องการเปลี่ยนฮวงจุ้ย ควรกำจัดทีละอย่าง”“โอ้? อัปมงคลที่ต้าซือพูดหมายถึง...”“คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าวิญญาณชั่วร้า
วันถัดมาขุนนางทุกคนมาประชุมเช้า แล้วต่างคนก็ต่างถวายฎีกาสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิม ทำให้เย่จิ่งอวี้ที่ฟังอยู่ก็รู้สึกง่วงนอนหลังจากวันนั้นที่กวนเมิ่งถิงพูดถึงตระกูลอินแล้ว ก็ดูเหมือนเขาจะเงียบเหมือนเป็นใบ้ไปอีกเย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขา พลางคิดว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้อดทนเก่งจริงๆเมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว ขุนนางทุกคนก็เริ่มปิดปากเงียบเย่จิ่งอวี้จับเศียรมังกร และลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร“พรุ่งนี้เป็นวันพักผ่อน ดอกไม้ในสวนบุปผาหลวงกำลังบานสะพรั่งพอดี ข้าเองก็เตรียมจัดงานเลี้ยงในวัง ขึงขอเชิญขุนนางทุกท่านมาเพลิดเพลินกับบุปผา”ขุนนางทุกคนต่างแสดงสีหน้ายินดีทันที คุกเข่าโขกศีรษะว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วพูดเบาๆ “ทุกท่านลุกขึ้นเถิด หากไม่มีฎีกาถวายแล้ว ก็เลิกประชุมได้ พรุ่งนี้ในยามโหย่ว (17.00น.-19.00น.) เรียนเชิญทุกท่านเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงด้วย”“พวกกระหม่อมจะเข้าวังมาให้ตรงเวลา ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางต่างทยอยออกจากตำหนักจินหลวน กวนเมิ่งถิงเลิกคิ้วขึ้นสูง คิดในใจว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะลอบเข้าวัง เขาควรแจ้งอาซือหลานโดยด่วน...
ทันทีที่พูดจบ สวีจือย่วนก็เดินโผล่ออกมาจากตรอกด้านหนึ่งอินชิงเสวียนรับตัดบทซูฉ่ายเวยทันที แล้วพูดเบาๆ กลับข้างหลังนาง “วันนี้นายหญิงสวีก็ออกมาเดินเล่นเช่นกันรึ หาได้ยากจริงๆ”สวีจือย่วนเยื้องกรายมาสองก้าวอย่างงดงาม โค้งคำนับแล้วพูดว่า “หม่อมฉันถวายพระพรพระสนมเหยาเฟย ถวายพระพรพระสนมหลิงเฟย”เมื่อเห็นนาง ซูฉ่ายเวยก็รู้สึกประดักประเดิด ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ตามสบาย ข้ายังมีงานต้องทำอยู่ ต้องกลับไปก่อนแล้ว”สวีจือย่วนก้มศีรษะอย่างนอบน้อม“พระสนมหลิงเฟยกลับดีๆ”เมื่อซูฉ่ายเวยเดินผ่านนางไป ดวงตาของสวีจือย่วนเปลี่ยนเป็นเย็นชา กลับมาเป็นปกติในทันที“ไม่ทราบว่าพระสนมเหยาเฟยกำลังจะไปที่ใด ต้องการให้หม่อมฉันไปด้วยหรือไม่”นางเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงประหม่าทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็นึกถึงภาพตอนที่นางซบอยู่บนตักของเย่จิ่งอวี้ได้ รู้สึกไม่พอใจทันทัพูดอย่างเย็นชา “ข้าแค่มาเดินเล่นเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องตามมา”นางโบกมือให้อวิ๋นฉ่ายกับเสี่ยวอานจื่อ แล้วพวกเขาก็เข็นรถเสี่ยวหนานเฟิงมาทันทีเมื่อมองไปที่เสี่ยวหนานเฟิงซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น จู่ๆ สวีจือย่วนก็หันกลับมา และพูดกับอินชิงเสวียน “ตั้งแต่หม่
สวีจือย่วนคุกเข่าลง และโขกศีรษะคำนับเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เย่จิ่งอวี้ก็เดินออกไปแล้วหานปิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ช่วยพยุงสวีจือย่วนลุกขึ้น“นายหญฺง นายท่านได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว”แววตาของสวีจือย่วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นกัน“ใช่แล้ว ตราบใดที่พยายามมากพอ ย่อมได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอ”หานปิงพยักหน้าอย่างแรง“หากนายหญิงได้รับการอวยยศบ้างก็คงจะดีไม่น้อย แม้จะเป็นสนมขั้นผินก็ยังดี”ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากใครบางคน“เป็นแค่หญิงงาม ยังกล้าฝันอยากเป็นผิน”คนผู้หนึ่งที่มีนางกำนัลสองคนช่วยประคอง ได้เดินออกจากสวนข้างๆ ซึ่งก็เป็นลู่จิ้งเสียนที่นางไม่ได้เจอหน้ามานานแล้ววันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย จึงอยากมาเข้าเฝ้าไทเฮา แต่เมื่อออกจากตำหนักก็บังเอิญเห็นสวีจือย่วน จึงเดินลัดเลาะสวนติดตามนางมาเมื่อไม่กี่วันก่อน นางได้รับการสั่งสอนจากอินชิงเสวียน นางยังเก็บงำความแค้นไว้ในใจเสมอมา นางไม่สามารถเอาชนะอินชิงเสวียนได้ แต่ถ้ามาหาเรื่องนายหญิงคนหนึ่ง ย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอนเมื่อครู่ก็เพิ่งได้เห็นอินชิงเสวียนกับสวีจือย่วนคล้ายจะมีปากเสียงกัน นางก็อดคิดไม่ได้ว่าสวรรค์ก
หลังจากพูดคุยกันสักพัก อินชิงเสวียนก็ลุกขึ้นและกล่าวลากลิ่นควันบุหรี่ของเย่จิ่งหลานทำให้นางเวียนศีรษะมากอันไท่ผินเอาของเล่นที่ดูน่าสนุกให้เสี่ยวหนานเฟิงมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของเล่นที่เย่จิ่งหลานเคยเล่นเมื่อตอนที่เขายังเด็กเมื่อเห็นนางมองเย่จิ่งหลานด้วยความรัก อินชิงเสวียนก็ไม่วายเศร้าใจ ถ้ารู้ว่าลูกชายของนางถูกสับเปลี่ยนวิญญาณ นางจะคิดอย่างไรก็ไม่รู้เย่จิ่งหลานออกไปส่งอินชิงเสวียนที่ประตูด้วยกิริยาท่าทางนอบน้อมเช่นเคย เมื่อกลับมาที่ตำหนักจินหวู เสี่ยวหนานเฟิงก็หลับไปแล้วอวิ๋นฉ่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อันไท่ผินหยอกเย้าเด็กเก่งมากเพคะ องค์ชายน้อยคงจะเล่นจนเหนื่อย”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปอุ้มลูกออกมา ตบหลังเขาเบาๆ “ใช่ หายากที่เขาจะนอนกลางวันได้สักพัก พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าอยู่กับเขาก็พอ”อวิ๋นฉ่ายกับเสี่ยวอานจื่อขานรับคำ แล้วถอยออกไปอินชิงเสวียนวางเสี่ยวหนานเฟิงลงบนเตียง จากนั้นพิจารณาดูหน้าตาของเขา ช่างมีประพิมพ์ประพายคล้ายกับเย่จิ่งอวี้ยิ่งนัก โดยเฉพาะท่าทางการขมวดคิ้วซึ่งเหมือนกับท่าทางของฮ่องเต้ไม่มีผิดเลยขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
ณ ตำหนักฉือหนิงบรรยากาศเงียบเชียบภายในตำหนักไม่เห็นนางกำนัลหรือขันทีเลยสักคน เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วและพูดอย่างเกรี้ยวกราดเล็กน้อย “พวกบ่าวชาติสุนัขนี่ ไม่รู้จักดูแลไทเฮาให้ดี ไปอยู่ไหนกันหมด”ครั้นเดินตรงไปอีก ก็เห็นประตูห้องโถงใหญ่ที่ปิดสนิทหลี่เต๋อฝูวิ่งไปเปิดประตู แต่กลับเปิดไม่ได้“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่ามีคนอยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย“ไทเฮาประชวรอยู่ไม่ใช่รึ ไปเปิดออก ข้าจะเตะประตูช่วยเอง”หลี่เต๋อฝูรีบวิ่งไปรอที่ข้างๆ ทันทีเย่จิ่งอวี้ยกเสื้อคลุมรวบรวมพลังทั้งหมด จากนั้นเตะออกไป แล้วประตูก็เปิดออกด้วยเสียงดังปังภายในห้องโถง ไทเฮาอยู่ในสภาพที่เสื้อผ้าหน้าผมไม่เรียบร้อย กำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นกับหลวงจีนผู้หนึ่งเหล่าขุนนางเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนต่างก็ยืนอยู่ข้างหลังเย่จิ่งอวี้ เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ต่างก็เบือนหน้าหนีโดยพลันไทเฮาชันษาขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ยังทำความวุ่นวายในวังหลังได้ ทนมองต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆเย่จิ่งอวี้ผงะไปพักหนึ่ง แล้วตะโกนด้วยความโกรธ “ไทเฮาท่าน...ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร เอาเกียรติของราชวงศ์ไปไว้ที่ไหนแล้ว”ไทเฮาไ
อินชิงเสวียนเงยใบหน้าดวงน้อยอันงดงามขึ้นถามว่า “อาจจะอะไรหรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจ “ไม่มีอะไร ข้าจะส่งคนไปรอรับพ่อของเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวล”อินชิงเสวียนคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะคิดอะไรบางอย่างออก“ฝ่าบาทกลัวว่าเขาจะปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น ไปลอบสังหารท่านพ่อหม่อมฉันหรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยืดนิ้วชี้อันเรียวยาวของเขาออก และจิ้มดั้งจมูกของนาง“เรื่องอะไรก็ปกปิดความคิดของเจ้าไม่ได้จริงๆ”อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “หม่อมฉันโง่เขลา ต้องคิดอยู่สักพัก จึงจะเข้าใจ”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าเสวียนเอ๋อร์โง่ ในโลกนี้คงไม่มีคนฉลาดอีกแล้วกระมัง”อินชิงเสวียนถอนหายใจและพูดว่า “คราวนี้ฝ่าบาทตรัสเกินจริงจริงแล้ว หม่อมฉันเกิดมาก็ไม่ชอบใช้สมอง และไม่ชอบชีวิตที่ซับซ้อน หลังจากที่ใส่เรื่องราวเข้าไปมากมาย หัวสมองจวนจะระเบิดอยู่แล้ว”“ผิดแล้ว หัวสมองยิ่งใช้ยิ่งฉลาด ไม่ต้องห่วง หัวสมองของเจ้าจะอยู่คู่คอของเข้าไปอีกนาน”อินชิงเสวียนหันขวับ ทันใดนั้นก็เห็นดวงตาที่ยิ้มแย้มคู่หนึ่งในความมืด เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เป็นประกายระยิบระยับ ราวกับว่ามีดวงดาราซุกซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นดั่งแม