อินชิงเสวียนเงยใบหน้าดวงน้อยอันงดงามขึ้นถามว่า “อาจจะอะไรหรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจ “ไม่มีอะไร ข้าจะส่งคนไปรอรับพ่อของเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวล”อินชิงเสวียนคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะคิดอะไรบางอย่างออก“ฝ่าบาทกลัวว่าเขาจะปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น ไปลอบสังหารท่านพ่อหม่อมฉันหรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยืดนิ้วชี้อันเรียวยาวของเขาออก และจิ้มดั้งจมูกของนาง“เรื่องอะไรก็ปกปิดความคิดของเจ้าไม่ได้จริงๆ”อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “หม่อมฉันโง่เขลา ต้องคิดอยู่สักพัก จึงจะเข้าใจ”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าเสวียนเอ๋อร์โง่ ในโลกนี้คงไม่มีคนฉลาดอีกแล้วกระมัง”อินชิงเสวียนถอนหายใจและพูดว่า “คราวนี้ฝ่าบาทตรัสเกินจริงจริงแล้ว หม่อมฉันเกิดมาก็ไม่ชอบใช้สมอง และไม่ชอบชีวิตที่ซับซ้อน หลังจากที่ใส่เรื่องราวเข้าไปมากมาย หัวสมองจวนจะระเบิดอยู่แล้ว”“ผิดแล้ว หัวสมองยิ่งใช้ยิ่งฉลาด ไม่ต้องห่วง หัวสมองของเจ้าจะอยู่คู่คอของเข้าไปอีกนาน”อินชิงเสวียนหันขวับ ทันใดนั้นก็เห็นดวงตาที่ยิ้มแย้มคู่หนึ่งในความมืด เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เป็นประกายระยิบระยับ ราวกับว่ามีดวงดาราซุกซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นดั่งแม
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”เย่จิ่งอวี้มองไปยังไทเฮาด้วยสายตาเย็นชา ไม่ค่อยมั่นใจนักไทเฮาทอดสายตามองไปข้างหน้าราวกับกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พูดว่า “วันนั้นข้าบังเอิญไปที่ห้องหนังสือ นางกำลังจะออกจากวัง อิงหงนางกำนัลของข้าถูกนางตีจนตาย ส่วนข้าก็ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ จึงโชคดีรอดมาได้”ข้างกายไทเฮามีนางกำนัลที่มีนามว่าอิงหงที่เสียชีวิตกะทันหันหลังจากที่เสด็จแม่จากไปจริงๆ ด้วยเหตุนี้เย่จิ่งอวี้จึงสงสัยไทเฮามาโดยตลอด คิดว่านางฆ่าคนปิดปากหากสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง หรือว่าฮวาเชียนจะเป็นผู้ร้ายที่ฆ่าเสด็จแม่ของเขา?“สิ่งที่ข้าพอจะบอกได้ ข้าก็เล่าให้เจ้าฟังทุกอย่างแล้ว ฮ่องเต้จะยอมปรานีปล่อยลูกชายเพียงคนเดียวของข้าได้หรือไม่”ไทเฮาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ในตอนนี้นางเป็นเหมือนแม่ไก่ที่พ่ายแพ้ สูญเสียความเย่อหยิ่งเมื่อก่อนไปโดยสิ้นเชิงเย่จิ่งอวี้เหลือบมองนางแล้วพูดอย่างเย็นชา “เรื่องนี้ ขอให้ข้าแน่ใจก่อนแล้วค่อยตัดสิน”ทันใดนั้นไทเฮาก็เดือดขึ้นอีกครั้ง คำรามลั่น “เย่จิ่งอวี้ ข้าอยากให้เจ้ารับปากตอนนี้”“วันนี้เจ้าพูดพอแล้ว ถึงเวลาหุบปากแล้ว เด็กๆ ทำการเจียกวน
ทันทีที่กวนเมิ่งถิงพูดจบ เด็กรับใช้ก็มารายงาน“ท่านเสนาบดี อันผิงอ๋องเสด็จมาขอรับ”กวนเมิ่งถิงพูดเรียบๆ “บอกว่าข้าเข้าวังไปร่วมงานศพ ไม่ได้อยู่ในจวน”“ขอรับ”เด็กรับใช้วิ่งกลับไปหาเย่จิ่งเย่าทันทีเย่จิ่งเย่าถามด้วยสีหน้าอึมครึม “กวนเมิ่งถิงเข้าวังตั้งแต่เมื่อใด”“สักพักหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเข้าวังด้วย”เย่จิ่งเย่ากระตุ้นท้องม้า แล้ววิ่งทะยานมุ่งหน้าสู่วังหลวงณ ตำหนักฉือหนิงโคมไฟสีแดงถูกปลดลง แทนที่ด้วยโคมไฟสีขาวขนาดใหญ่หลายดวงแขวนอยู่บนชายคา โดยมีน้ำหมึกสีดำเขียนคำว่าเซ่นไหว้ไว้บนโคม เหล่าขันทีนางกำนัลล้วนสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว เมื่อมองดูไกลๆ ก็เห็นเป็นภาพขาวซีดไปทั้งตำหนักมีโลงศพตั้งอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่ ฝาโลงยังไม่ได้ปิดสนิท สามารถมองเห็นไทเฮาที่สวมมงกุฎหงส์ อมหยกโบราณไว้ในโอษฐ์ พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางทับบนอก เมื่อผ่านการจัดการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ สีพระพักตร์ของไทเฮาก็นับว่าสงบพอสมควรเย่จิ่งอวี้ก็สวมชุดไว้ทุกข์ ยืนเด่นเป็นสง่า สูงตระหง่านอยู่หน้าโลงศพใบหน้าหล่อเหลาของเขามีสีหน้าสงบข้างหลังเขาคืออินชิงเสวียนและกลุ่มนางสนม ทั้งหมดกระซิบกระซาบด้วยเส
อินชิงเสวียนคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ ดังนั้นนางจึงปล่อยวางไปเสียดื้อๆ และหันไปเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงหลังจากเล่นสนุกนานกว่าสองชั่วยาม ในที่สุดเสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกง่วง มือเล็กจ้อยขยี้ตายุกยิก อินชิงเสวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา พลางโยกตัวซ้ายขวา พลางร้องเพลงกล่อมเด็กไปด้วยเสี่ยวหนานเฟิงเงยหน้าเล็กๆ ขึ้น มองนางด้วยท่าทางน่ารัก ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานก็หลับไปยายหลี่อุ้มเด็กอย่างระมัดระวัง แล้วพูดกับอินชิงเสวียน “พระสนมรีบนอนเถิดเพคะ แม้ว่าเราไม่ต้องไปเฝ้าศพ แต่ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปคำนับพระศพ”“อืม ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”อินชิงเสวียนอ้าปากหาว การดูแลเด็กเป็นงานที่ใช้แรงมากจริงๆ ตอนนี้นางเริ่มปวดหลังแล้ว อยากนอนไปนอนพักบนเตียงแล้วเมื่อตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างแล้วอินชิงเสวียนยืดเส้นยืดสาย และลุกขึ้นจากเตียงด้วยจิตใจผ่องใสเสียงหัวเราะของเสี่ยวหนานเฟิงดังมาจากข้างนอก อินชิงเสวียนเปิดหน้าต่าง ก็เห็นเด็กน้อยตัวจ้ำม่ำกำลังจับหางของไป๋เสวี่ยเล่นตอนนี้ไป๋เสวี่ยกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กและเพื่อนเล่นของเสี่ย
หลังจากออกจากตำหนักฉือหนิง บรรยากาศก็ดูสดชื่นขึ้นเป็นกองอินชิงเสวียนลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกชายอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่จะพาเจ้าไปหาผีเสื้อ”ไม่มีประโยชน์ที่จะโมโหอารมณ์เสียไปกับคนชั่ว ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆแต่เสี่ยวหนานเฟิงไม่อยากนั่งรถเข็นเด็กแล้ว มือน้อยๆ จับหลังคารถเข็นเด็กจะดันตัวออกมาเมื่อเสี่ยวอานจื่อเห็นดังนี้ เขาก็รีบก้มลงไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกมาเสี่ยวหนานเฟิงจำเสี่ยวอานจื่อได้ จึงนอนซบบนไหล่ของเขาอย่างเชื่อฟังทันที นิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอย่างมีความสุข แล้วก็เริ่มพูดอ้อแอ้ๆเสี่ยวอานจื่ออุ้มเขาไปที่โคนต้นไม้ เอื้อมมือออกไปหยิบใบไม้มา แล้ววางลงบนมือเล็กๆ ของเด็กน้อยเสี่ยวหนานเฟิงก้มศีรษะลงดูอย่างอยากรู้อยากเห็น มุ่ยปาก และศึกษาใบไม้ด้วยท่าทางจริงจังเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของลูกน้อย อินชิงเสวียนก็อดยิ้มไม่ได้การตายของไทเฮานับว่านางได้กำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งออกไปแล้ว ต่อไปก็สามารถพาลูกออกไปเดินเล่นได้บ่อยขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเหมือนเมื่อก่อนในเวลานี้ ผีเสื้อหลากสีสันได้บินออกมาจากสวนทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้น ชี้ไปที่ผีเสื
“เจ้ากล้ารึ!”อินชิงเสวียนตะโกนเสียงแหลม แต่ชายคนนั้นก็จากไปไกลแล้วเมื่อคิดว่าเสี่ยวหนานเฟิงอายุเพียงไม่กี่เดือน อินชิงเสวียนก็อดขาอ่อนไม่ได้ และเกือบจะล้มลงกับพื้นนางบังคับตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคง และบอกตัวเองว่าให้สงบสติอารมณ์เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ฆ่าเสี่ยวหนานเฟิงทันที นั่นหมายความว่าเขาจะยังไม่ฆ่าเด็กตอนนี้ตราบใดที่ตัวเองรีบไปยังสถานที่ที่เขาพูด ก็จะมีโอกาสช่วยเสี่ยวหนานเฟิงได้หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก ต่อให้นางต้องตาย นางก็จะทำให้หัวขโมยนั่นตายไปพร้อมกับลูกของนาง!“พระสนม!”พวกเสี่ยวอานจื่อทั้งสามคนก็วิ่งตามมาทันแล้วเมื่อเห็นอินชิงเสวียนยันตัวด้วยกำแพงวัง สีหน้าซีดเซียว เสี่ยวอานจื่อก็เหงื่อออก คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง“กระหม่อมมีความผิด กระหม่อมสมควรตาย เป็นกระหม่อมที่ไม่ดูแลองค์ชายน้อยให้ดี ขอให้พระสนมลงโทษด้วย”อวิ๋นฉ่ายก็ตกใจจนร้องไห้เช่นกัน ถามด้วยเสียงสะอื้นว่า “พระสนมเพคะ องค์ชายน้อยจะเป็นอะไรหรือไม่เพคะ”เมื่อเห็นว่าเด็กหายไปแล้วจริงๆ ยายหลี่ก็หมดสติไปทันทีตั้งแต่เด็กเกิดมาจนถึงตอนนี้ ก็เป็นนางที่ดูแลมาโดยตลอด เมื่อครู่ได้ยินเสี่ยวอานจื่อบอกว่าเด็กถูกชิ
เห็นได้ชัดว่าเด็กกลัวจนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่เท่าถั่วไหลรินออกมาจากด้วยตาไม่ขาดสาย ขอบตาของเขาแดงก่ำอินชิงเสวียนที่อุ้มเขาไว้ขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววเบื่อหน่ายขณะที่กำลังจะเข้าไปในวัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดคลุมสีขาว ขี่ม้านำกลุ่มทหารรักษาพระองค์ออกมา เมื่อเขาเห็นเสี่ยวหนานเฟิง ชายคนนั้นดูประหลาดใจ และลงจากหลังม้าทันที“เสวียนเอ๋อร์ จ้าวเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาแล้วรึ”คนที่ถามคำถามนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเย่จิ่งอวี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในรัชสมัยนี้ครึ่งชั่วยามที่แล้ว เขากำลังคุยเรื่องพิธีศพของไทเฮากับซ่งหันเจียงเสนาบดีกรมพิธีการ และสวีเม่าผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสี่ยวอานจื่อมารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก บอกว่าจ้าวเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปเมื่อเขารู้ว่าอินชิงเสวียนไปตามลูกที่ทางทิศตะวันตกของเมือง เย่จิ่งอวี้ก็เป็นกังวลอย่างมาก เขาไล่ขุนนางทั้งสองกลับไปออกทันที แล้วนำทหารออกจากวังหลวง แต่ไม่คาดคิดจะได้เห็นพวกนางสองแม่ลูกอยู่ที่หน้าประตูวัง เขาก็รู้สึกโล่งใจในที่สุดขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะพูด เงาสีขาวก็
ในระยะใกล้เช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขามาถึงเมื่อใดเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็มืดลง พลังที่มองไม่เห็นถูกรวบรวมอยู่ในฝ่ามือของเขา“เป็นเจ้า!”ซึ่งคนผู้นี้ก็คือคนประหลาดผมขาวในคืนจันทรุปราคานั่นเองคนประหลาดก้าวไปข้างหน้า มองไปยังเสี่ยวหนานเฟิงด้วยดวงตาที่ไม่แยแสคู่หนึ่งแทนที่จะตอบกลับถามว่า “นี่เป็นลูกของแม่หนูนั่นรึ”“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”เย่จิ่งอวี้สะบัดฝ่ามือใส่เขา ชายประหลาดผมขาวสะบัดแขนเสื้อพรึบ ก็สามารถสลายพลังได้ทันทีในที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลงในแววตาที่เป็นเหมือนบ่อน้ำโบราณคู่นั้นเขามองเย่จิ่งอวี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย“ไม่ได้เจอเจ้าแค่ไม่กี่วัน แต่วรยุทธ์ของเจ้ากลับสูงขึ้นอีกขั้น ช่างหายากยิ่งนัก”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววหวาดกลัวเล็กน้อย เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถสลายพลังของเขาได้ คนประหลาดผู้นี้แข็งแกร่งมากจริงๆทันทีที่ดีดนิ้ว กระบี่ยาวบนเอวก็ถูกปลดออก ปลายกระบี่อันสั่นไหวได้แทงไปยังคนประหลาดผมขาวชายคนนั้นหลบไปด้านข้าง และร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของยายหลี่ นิ้วเรียวเป็นเหมือนสาหร่ายที่ไต่ผ่านแข