ทันทีที่กวนเมิ่งถิงพูดจบ เด็กรับใช้ก็มารายงาน“ท่านเสนาบดี อันผิงอ๋องเสด็จมาขอรับ”กวนเมิ่งถิงพูดเรียบๆ “บอกว่าข้าเข้าวังไปร่วมงานศพ ไม่ได้อยู่ในจวน”“ขอรับ”เด็กรับใช้วิ่งกลับไปหาเย่จิ่งเย่าทันทีเย่จิ่งเย่าถามด้วยสีหน้าอึมครึม “กวนเมิ่งถิงเข้าวังตั้งแต่เมื่อใด”“สักพักหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเข้าวังด้วย”เย่จิ่งเย่ากระตุ้นท้องม้า แล้ววิ่งทะยานมุ่งหน้าสู่วังหลวงณ ตำหนักฉือหนิงโคมไฟสีแดงถูกปลดลง แทนที่ด้วยโคมไฟสีขาวขนาดใหญ่หลายดวงแขวนอยู่บนชายคา โดยมีน้ำหมึกสีดำเขียนคำว่าเซ่นไหว้ไว้บนโคม เหล่าขันทีนางกำนัลล้วนสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว เมื่อมองดูไกลๆ ก็เห็นเป็นภาพขาวซีดไปทั้งตำหนักมีโลงศพตั้งอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่ ฝาโลงยังไม่ได้ปิดสนิท สามารถมองเห็นไทเฮาที่สวมมงกุฎหงส์ อมหยกโบราณไว้ในโอษฐ์ พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางทับบนอก เมื่อผ่านการจัดการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ สีพระพักตร์ของไทเฮาก็นับว่าสงบพอสมควรเย่จิ่งอวี้ก็สวมชุดไว้ทุกข์ ยืนเด่นเป็นสง่า สูงตระหง่านอยู่หน้าโลงศพใบหน้าหล่อเหลาของเขามีสีหน้าสงบข้างหลังเขาคืออินชิงเสวียนและกลุ่มนางสนม ทั้งหมดกระซิบกระซาบด้วยเส
อินชิงเสวียนคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ ดังนั้นนางจึงปล่อยวางไปเสียดื้อๆ และหันไปเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงหลังจากเล่นสนุกนานกว่าสองชั่วยาม ในที่สุดเสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกง่วง มือเล็กจ้อยขยี้ตายุกยิก อินชิงเสวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา พลางโยกตัวซ้ายขวา พลางร้องเพลงกล่อมเด็กไปด้วยเสี่ยวหนานเฟิงเงยหน้าเล็กๆ ขึ้น มองนางด้วยท่าทางน่ารัก ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานก็หลับไปยายหลี่อุ้มเด็กอย่างระมัดระวัง แล้วพูดกับอินชิงเสวียน “พระสนมรีบนอนเถิดเพคะ แม้ว่าเราไม่ต้องไปเฝ้าศพ แต่ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปคำนับพระศพ”“อืม ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”อินชิงเสวียนอ้าปากหาว การดูแลเด็กเป็นงานที่ใช้แรงมากจริงๆ ตอนนี้นางเริ่มปวดหลังแล้ว อยากนอนไปนอนพักบนเตียงแล้วเมื่อตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างแล้วอินชิงเสวียนยืดเส้นยืดสาย และลุกขึ้นจากเตียงด้วยจิตใจผ่องใสเสียงหัวเราะของเสี่ยวหนานเฟิงดังมาจากข้างนอก อินชิงเสวียนเปิดหน้าต่าง ก็เห็นเด็กน้อยตัวจ้ำม่ำกำลังจับหางของไป๋เสวี่ยเล่นตอนนี้ไป๋เสวี่ยกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กและเพื่อนเล่นของเสี่ย
หลังจากออกจากตำหนักฉือหนิง บรรยากาศก็ดูสดชื่นขึ้นเป็นกองอินชิงเสวียนลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกชายอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่จะพาเจ้าไปหาผีเสื้อ”ไม่มีประโยชน์ที่จะโมโหอารมณ์เสียไปกับคนชั่ว ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆแต่เสี่ยวหนานเฟิงไม่อยากนั่งรถเข็นเด็กแล้ว มือน้อยๆ จับหลังคารถเข็นเด็กจะดันตัวออกมาเมื่อเสี่ยวอานจื่อเห็นดังนี้ เขาก็รีบก้มลงไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกมาเสี่ยวหนานเฟิงจำเสี่ยวอานจื่อได้ จึงนอนซบบนไหล่ของเขาอย่างเชื่อฟังทันที นิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอย่างมีความสุข แล้วก็เริ่มพูดอ้อแอ้ๆเสี่ยวอานจื่ออุ้มเขาไปที่โคนต้นไม้ เอื้อมมือออกไปหยิบใบไม้มา แล้ววางลงบนมือเล็กๆ ของเด็กน้อยเสี่ยวหนานเฟิงก้มศีรษะลงดูอย่างอยากรู้อยากเห็น มุ่ยปาก และศึกษาใบไม้ด้วยท่าทางจริงจังเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของลูกน้อย อินชิงเสวียนก็อดยิ้มไม่ได้การตายของไทเฮานับว่านางได้กำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งออกไปแล้ว ต่อไปก็สามารถพาลูกออกไปเดินเล่นได้บ่อยขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเหมือนเมื่อก่อนในเวลานี้ ผีเสื้อหลากสีสันได้บินออกมาจากสวนทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้น ชี้ไปที่ผีเสื
“เจ้ากล้ารึ!”อินชิงเสวียนตะโกนเสียงแหลม แต่ชายคนนั้นก็จากไปไกลแล้วเมื่อคิดว่าเสี่ยวหนานเฟิงอายุเพียงไม่กี่เดือน อินชิงเสวียนก็อดขาอ่อนไม่ได้ และเกือบจะล้มลงกับพื้นนางบังคับตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคง และบอกตัวเองว่าให้สงบสติอารมณ์เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ฆ่าเสี่ยวหนานเฟิงทันที นั่นหมายความว่าเขาจะยังไม่ฆ่าเด็กตอนนี้ตราบใดที่ตัวเองรีบไปยังสถานที่ที่เขาพูด ก็จะมีโอกาสช่วยเสี่ยวหนานเฟิงได้หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก ต่อให้นางต้องตาย นางก็จะทำให้หัวขโมยนั่นตายไปพร้อมกับลูกของนาง!“พระสนม!”พวกเสี่ยวอานจื่อทั้งสามคนก็วิ่งตามมาทันแล้วเมื่อเห็นอินชิงเสวียนยันตัวด้วยกำแพงวัง สีหน้าซีดเซียว เสี่ยวอานจื่อก็เหงื่อออก คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง“กระหม่อมมีความผิด กระหม่อมสมควรตาย เป็นกระหม่อมที่ไม่ดูแลองค์ชายน้อยให้ดี ขอให้พระสนมลงโทษด้วย”อวิ๋นฉ่ายก็ตกใจจนร้องไห้เช่นกัน ถามด้วยเสียงสะอื้นว่า “พระสนมเพคะ องค์ชายน้อยจะเป็นอะไรหรือไม่เพคะ”เมื่อเห็นว่าเด็กหายไปแล้วจริงๆ ยายหลี่ก็หมดสติไปทันทีตั้งแต่เด็กเกิดมาจนถึงตอนนี้ ก็เป็นนางที่ดูแลมาโดยตลอด เมื่อครู่ได้ยินเสี่ยวอานจื่อบอกว่าเด็กถูกชิ
เห็นได้ชัดว่าเด็กกลัวจนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่เท่าถั่วไหลรินออกมาจากด้วยตาไม่ขาดสาย ขอบตาของเขาแดงก่ำอินชิงเสวียนที่อุ้มเขาไว้ขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววเบื่อหน่ายขณะที่กำลังจะเข้าไปในวัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดคลุมสีขาว ขี่ม้านำกลุ่มทหารรักษาพระองค์ออกมา เมื่อเขาเห็นเสี่ยวหนานเฟิง ชายคนนั้นดูประหลาดใจ และลงจากหลังม้าทันที“เสวียนเอ๋อร์ จ้าวเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาแล้วรึ”คนที่ถามคำถามนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเย่จิ่งอวี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในรัชสมัยนี้ครึ่งชั่วยามที่แล้ว เขากำลังคุยเรื่องพิธีศพของไทเฮากับซ่งหันเจียงเสนาบดีกรมพิธีการ และสวีเม่าผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสี่ยวอานจื่อมารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก บอกว่าจ้าวเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปเมื่อเขารู้ว่าอินชิงเสวียนไปตามลูกที่ทางทิศตะวันตกของเมือง เย่จิ่งอวี้ก็เป็นกังวลอย่างมาก เขาไล่ขุนนางทั้งสองกลับไปออกทันที แล้วนำทหารออกจากวังหลวง แต่ไม่คาดคิดจะได้เห็นพวกนางสองแม่ลูกอยู่ที่หน้าประตูวัง เขาก็รู้สึกโล่งใจในที่สุดขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะพูด เงาสีขาวก็
ในระยะใกล้เช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขามาถึงเมื่อใดเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็มืดลง พลังที่มองไม่เห็นถูกรวบรวมอยู่ในฝ่ามือของเขา“เป็นเจ้า!”ซึ่งคนผู้นี้ก็คือคนประหลาดผมขาวในคืนจันทรุปราคานั่นเองคนประหลาดก้าวไปข้างหน้า มองไปยังเสี่ยวหนานเฟิงด้วยดวงตาที่ไม่แยแสคู่หนึ่งแทนที่จะตอบกลับถามว่า “นี่เป็นลูกของแม่หนูนั่นรึ”“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”เย่จิ่งอวี้สะบัดฝ่ามือใส่เขา ชายประหลาดผมขาวสะบัดแขนเสื้อพรึบ ก็สามารถสลายพลังได้ทันทีในที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลงในแววตาที่เป็นเหมือนบ่อน้ำโบราณคู่นั้นเขามองเย่จิ่งอวี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย“ไม่ได้เจอเจ้าแค่ไม่กี่วัน แต่วรยุทธ์ของเจ้ากลับสูงขึ้นอีกขั้น ช่างหายากยิ่งนัก”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววหวาดกลัวเล็กน้อย เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถสลายพลังของเขาได้ คนประหลาดผู้นี้แข็งแกร่งมากจริงๆทันทีที่ดีดนิ้ว กระบี่ยาวบนเอวก็ถูกปลดออก ปลายกระบี่อันสั่นไหวได้แทงไปยังคนประหลาดผมขาวชายคนนั้นหลบไปด้านข้าง และร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของยายหลี่ นิ้วเรียวเป็นเหมือนสาหร่ายที่ไต่ผ่านแข
อินชิงเสวียนที่ได้ยินทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน นางอดไม่ได้ที่เป็นกังวล หากนางออกจากต้าโจว ก็ไม่สามารถเห็นหน้าลูกได้อีกแล้วไม่ใช่หรอกหรือนางไปไม่ได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ นางจะเข้าไปซ่อนตัวในมิติก่อน แล้วค่อยคิดแผนตอบโต้จากนั้นก็ได้ยินฟางรั่วถามว่า “นายท่านจะกลับมาไปเมื่อใดหรือ”อาซือหลานพูดเรียบๆ “ข้ายังมีงานสำคัญที่ต้องทำ เจ้าพาชิงเสวียนกลับไปก่อน หากนางฟื้นขึ้นมาอีกก็ให้ใช้กู่หอมเมฆาของราชครู กู่ชนิดนี้สามารถทำให้คนหมดสติได้ แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย”เมื่อได้ยินอาซือหลานเปนห่วง็นห่วงสุขภาพของอินชิงเสวียนมาก นัยน์ตาของฟางรั่วก็ฉายแววริษยา นางโค้งคำนับและพูดว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง”อาซือหลานพูดอย่างรำคาญ “เช่นนั้นก็รีบไปลงมือเดี๋ยวนี้”“เจ้าค่ะ”ฟางรั่วหยิบหน้ากากผิวหนังมนุษย์ที่มีหนวดออกมา แล้วกดมันลงบนใบหน้าของอินชิงเสวียน จากนั้นจึงไขเชือกและหิ้วนางออกจากบ้านอินชิงเสวียนยังสัมผัสได้ถึงลมปราณของอาซือหลาน จึงไม่กล้าตุกติก จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองถูกพาเข้าไปในรถม้าเสียงของอาซือหลานดังมาจากนอกรถ กระแสเสียงนั้นทั้งชั่วร้ายและเย็นชา“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งนางกลับไปที่เจี
มีดสั้นของฟางรั่วได้กดไปที่ลำคอของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนเหลือบมองมีดสั้นด้วยความกลัว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงตอนนี้ข้าอยากหนีก็หนีไปไหนไม่พ้น ข้าแทบยืนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ประเดี๋ยวเข้าห้องน้ำยังต้องรบกวนเจ้าอีก”ฟางรั่วเหลือบมองอินชิงเสวียนอย่างเคลือบแคลงสงสัย ในอุโมงค์ครั้งที่แล้วนางก็เคยถูกอินชิงเสวียนหลอกแต่ในฐานะที่เป็นสตรีเหมือนกัน ฟางรั่วจึงไม่อยากให้อินชิงเสวียนปัสสาวะราดรดกางเกงจริงๆนางแค่นเสียงหึและพูดว่า “หยุดพูดไร้สาระ แล้วรีบๆ เข้าเถอะ”หญิงทั้งสองก็ตามประกบอยู่ข้างหลังของพวกนาง แล้วฟางรั่วก็หิ้วอินชิงเสวียนเข้าไปในห้องน้ำเมื่อเห็นแมลงวันบินออกมา อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้ฟางรั่วก้มศีรษะลง และพับเสื้อคลุมของนางขึ้นในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งบีบที่ต้นคอด้านหลังของนาง แรงอันมหาศาลนั้นแทบจะหักคอของนางได้น้ำเสียงที่ถูกกดต่ำดังมาจากด้านบน“ฟางรั่ว บางทีเราอาจร่วมมือกันได้”ฟางรั่วตัวแข็งทื่อ แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หากเจ้ากล้าลงมือ ข้าจะหักคอเจ้าเดี๋ยวนี้”ฟางรั่วกัดฟันพูดว่า “อินชิงเสวียน เมื่อครู่นี้เจ้าแกล้งหล