เมื่อเห็นว่าในมือพวกเขาถือถุงดำอยู่ และดูเหมือนจะมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน อินชิงเสวียนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนางรีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้านในทันที แล้วเรียกเย่จั้นขึ้นเย่จั้นเป็นคนนอนไวตื่นไวอยู่แล้ว เขาตื่นตั้งแต่ตอนที่อินชิงเสวียนออกจากห้องโถงด้านในแล้วเมื่อเห็นนางเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นทันที“เกิดอะไรขึ้น”อินชิงเสวียนชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ แล้วพูดด้วยความกระวนกระวายใจ “ท่านอ๋อง มีคนไปที่ตำหนักจินหวู อาจเป็นอันตรายต่อจ้าวเอ๋อร์ ท่านอ๋องโปรดไปช่วยเขาโดยเร็วด้วยเถิด”เมื่อมองดูร่างทั้งสองบนโทรศัพท์ เย่จั้นก็สะดุ้ง และลุกขึ้นยืนทันที“นี่คือสิ่งของชั่วร้ายอะไร”“ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย สิ่งนี้เรียกว่าโทรศัพท์มือถือ สามารถเห็นภาพอีกฟากหนึ่งได้ ถ้าท่านอ๋องชอบ ข้าจะมอบให้ท่านอ๋องอันหนึ่ง ภาพที่อยู่ตรงนี้คือตำหนักจินหวู พวกเขากำลังขึ้นไปบนหลังคา คงมีแผนชั่วร้ายอยู่แน่ๆ ขอท่านอ๋องรีบไปช่วยลูกชายของข้าด้วยเถิด”อินชิงเสวียนกระวนกระวายใจจนนิ้วสั่นในเวลานี้ เงาสีขาวได้แวบเข้ามาในจอ แล้วจึงเห็นไป๋เสวี่ยเห่าไปที่หลังคาพอเห็นไป๋เสวี่ย เย่จั้นจึงเริ่มเชื่อขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอินชิงเสว
หลังจากที่เย่จั้นจากไปแล้ว อินชิงเสวียนก็รีบหยิบกระจกออกมาดู เมื่อครู่ตอนที่นางร้องไห้ ผงสีดำเหล่านั้นก็ถูกเช็ดออกไปเกือบหมดแล้วจึงรีบเข้าไปในมิติแล้วหยิบผงสีดำออกมา และทาอีกครั้งเมื่อออกมา ก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ขาวซีดขึ้นเล็กน้อยอินชิงเสวียนสัมผัสมือของเขา ก็รู้สึกว่านิ้วมือนั้นเย็นเฉียบ ไม่มีความอุ่นเลยอินชิงเสวียนรีบหยิบผ้าห่มอีกผืนมาห่มให้เย่จิ่งอวี้ แต่ก็เห็นบนหน้าผากของเย่จิ่งอวี้มีเหงื่อมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ไม่วายตื่นตระหนกทำไมถึงดูแย่ลงอีกล่ะอินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินไปที่ประตู กำลังจะไปตามหมอหลวงแต่เมื่อได้ยินเสียงโกลาหลข้างนอก นางก็กดเสียงให้ทุ้มต่ำลงทันที แล้วถามว่า “วุ่นวายอะไร”ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลี่เต๋อฝูก็จำอินชิงเสวียนไม่ได้ เมื่อเห็นว่านางอยู่กับเย่จั้นตลอด จึงคิดว่านางเป็นคนสนิทของเย่จั้น ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ฝูอี้อ๋อง บอกว่าเขาต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท” อินชิงเสวียนมีความคิดแวบหนึ่งขึ้นในหัวเขามาทำอะไรหรือว่าเจ้าเด็กนี่ก็โลภบัลลังก์เช่นกันขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น นางก็ได้ยินเย่จิ่งหลานพูดว่า “ข้ามียาอยู่ด้วย อาจสามารถ
เลือดพุ่งกระเซ็นใส่เต็มใบหน้าของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนเป็นคนที่กลัวเลือดมาก จู่ๆ ในโพรงจมูกก็มีความรู้สึกหายใจไม่ออกดันออกมาเย่จิ่งหลานเหลือบมองนางแล้วพูดเบาๆ “ถึงรู้สึกเวียนหัวก็ต้องอดทนให้ได้นะ ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า คีมห้ามเลือดหมายเลข 3”อินชิงเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วไปหาคีมเลือดหมายเลข 3 มา“ข้าไม่เป็นไร”นางอดทนต่ออาการเวียนหัว แล้วส่งอุปกรณ์ให้เย่จิ่งหลานต่อเมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่ดูจริงจังมากของเขา อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ที่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบจะสามารถทำการผ่าตัดที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้พอมองดูบาดแผลที่น่ากลัวภายใต้ผ้าฆ่าเชื้อสีน้ำเงิน อินชิงเสวียนก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีก รีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้านทันทีภาพการโชกเลือดแบบนี้ กระทบกระเทือนจิตใจของนางมากจริงๆมิน่าล่ะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดถึงไม่อนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเข้ามาระหว่างการผ่าตัด คนที่มีความอดทนทางใจต่ำอาจเป็นลมไปเลยก็ได้ทว่าใบหน้าของเย่จิ่งหลานกลับสงบลงเรื่อยๆ ความตื่นเต้นในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆมิติของเขาต้องทำการผ่าตัดใหญ่ จึงจะได้คะแนนที่เหมาะสมมา
ขนตาของเย่จิ่งอวี้สั่นเบาๆ แล้วเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นสายตาของเขายังคงพร่ามัวเล็กน้อย สามารถมองเห็นคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าได้รางๆแล้วเขาก็ถามอย่างอ่อนแรง “ที่นี่ที่ไหน”เย่จั้นรีบตอบ “นี่คือตำหนักเฉิงเทียนในวังหลวง”เย่จิ่งอวี้ตอบรับเบาๆ หลับตาแล้วพูดด้วยเสียงงัวเงีย “ดูเหมือนข้าจะฝันไป...ข้าฝันถึงเสวียนเอ๋อร์...”เมื่อได้ยินเขาพูดถึงชื่อของตัวเอง อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าลำคอตีบตัน อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากแรง“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งพูดเลย รีบพักผ่อนให้มากๆ เถิด”เย่จิ่งอวี้มองมาทางนางทันที“เสวียนเอ๋อร์?”แล้วเขาก็ส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรงว่า “ข้าคงฝันไปอีกแล้ว นางเกลียดข้าถึงเพียงนั้น นางจะมาหาข้าได้อย่างไร”หลังจากพูดจบ เย่จิ่งอวี้ก็หลับลึกอีกครั้งอินชิงเสวียนจับมือของเขา ในใจรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบทนไม่ไหวนางหายใจเข้าลึกๆ อดทนต่อความร้อนในดวงตา แล้วพูดโดยไร้สุ้มเสียง เย่จิ่งอวี้ ท่านดีกับข้ามากขนาดนี้ ข้าจะเกลียดท่านได้อย่างไรเย่จั้นตรวจชีพจรเย่จิ่งอวี้อีกครั้งแล้วกระซิบว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงฟื้นได้แล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาปลอดภัยแล้ว เพื่อป้องก
เย่จั้นนั่งลงบนเตียงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลเลย จ้าวเอ๋อร์ยังอยู่ดีในตำหนักจินหวู”เย่จิ่งอวี้ค่อยๆ วางมือลงแล้วพึมพำ “ดีแล้ว ดีแล้ว!”เย่จั้นล้วงถุงผงสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วช่วยประคองเย่จิ่งอวี้อย่างระมัดระวัง“ฝ่าบาทเสวยยาเหล่านี้ด้วย พระอาการจะได้ดีขึ้นโดยเร็ว”เขารู้ว่าเย่จิ่งอวี้เป็นคนเฉลียวฉลาด ดังนั้นเขาจึงสั่งให้หลี่เต๋อฝูทุบเม็ดยาให้เป็นผงละเอียดเย่จิ่งอวี้มองแล้วถามว่า “นี่คือยาอะไร”เย่จั้นกล่าวอย่างขัดเจตนาว่า “เป็นยาที่หมอเท้าเปลือยจากนอกวังเก็บไว้ให้น่ะ หากฝ่าบาทได้เสวยแล้ว อาการจึงจะดีขึ้น”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า กินยาแล้วหลับไปอีกครั้งในเวลานี้เอง ข่าวที่ฝ่าบาททรงฟื้นได้แพร่กระจายออกไปทันใดนั้นไทเฮาก็เดินกลับไปกลับมาอยู่ในตำหนักเหมือนหนูติดจั่น“เด็กนี่โชคดีจริงๆ ได้ยินว่าถูกพิษจากดีนกยูงไม่ใช่หรือ หมอหลวงเหล่านั้นบอกข้าว่า เมื่อพิษนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะหมดทางเยียวยา เหตุใดเขาถึงฟื้นขึ้นมาได้อีก”ชุยไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าที่ปริปากเอ่ยคำใดทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดออกมาว่า “กระหม่อมได้ยินม
“เจ้ามาได้อย่างไร”เมื่อเห็นสวีจือย่วน เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยสวีจือย่วนพูดด้วยขอบตาแดงก่ำ “หม่อมฉันได้ยินมาว่าฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัส ในใจรู้สึกกระวนกระวายดั่งไฟแผดเผา วันนี้รู้มาว่าฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว จึงรีบมาเยี่ยมทันที”เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”สวีจือย่วนก้มหน้ายืนข้างเตียง พูดด้วยความเคารพนบนอบ “ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันให้พ้นจากอันตราย หม่อมฉันย่อมเป็นห่วงพระองค์อยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ข้าไม่เป็นไร”สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ จะไม่เป็นไรได้อย่างไร บาดแผลของฝ่าบาทจะต้องเจ็บปวดมากใช่หรือไม่เพคะ”“ไม่เป็นไร ข้าทนได้”เย่จิ่งอวี้พิงหมอนนุ่ม เรียวตาหงส์ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจที่จะพูดคุยมากนักสวีจือย่วนลอบมองหน้าเขา แล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าคนที่แทงฝ่าบาท...คือพระสนมเหยาเฟย?”ทันใดนั้นเรียวตายาวของเย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้น แววตาเยียบเย็นขึ้นหลายส่วน“ไร้สาระ เหยาเฟยจะแทงข้าได้อย่างไร”เมื่อเกิดความรู้สึกโกรธ เย่จิ่งอวี้ก็เริ่มหอบอีกครั้งสวีจือย่วนคุกเข่าข
ณ จวนจิ้งอ๋องอินชิงเสวียนล้างผงสีดำออก แล้วผลัดเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษสีฟ้าครามนางรวบผมขึ้นด้วยกวานรัดเกล้าทรงสูง ด้านในสวมเสื้อป้ายตัวในสีขาว เมื่อประกอบกับแววตาที่ซ่อนไว้ด้วยความองอาจ ยิ่งทำให้มองไม่เห็นลักษณะเด่นของความเป็นสตรีชัดเจน แต่กลับให้ความรู้สึกของหนุ่มน้อยผู้มีรสนิยมดีที่สวมชุดหรูหราเมื่อเทียบกับกระโปรงคาดอกสามชั้น อินชิงเสวียนชอบชุดบุรุษที่ดูสบายตัวมากกว่า“ขอบพระทัยท่านอ๋อง เสื้อผ้าสวมใส่ได้พอดี”นางดึงชายเสื้อคลุมแล้วถามว่า “วันนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”“ยังดี มื้อเช้าพอกินอะไรได้บ้าง อาการก็ค่อยๆ ฟื้นตัวดัขึ้น”เย่จั้นวางถ้วยชาลงแล้วพูดอย่างอบอุ่น “ฝ่าบาทฝึกฝนวรยุทธ์สม่ำเสมอทั้งปี สุขภาพดีกว่าคนทั่วไปมาก พระสนมเหยาเฟยไม่ต้องเป็นห่วง”“ดีแล้ว”เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ซีดเซียวและดวงตาที่ปิดสนิทของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ“ในเมื่อเขาไม่ว่ามีวิชาแปลงโฉม เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะขจัดความสงสัยในตัวข้า”เย่จั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นไม่เป็นความจริงเลย ข้าเห็นว่าฝ่าบาทไม่ได้ลืมความรักที่มีต่อเจ้าเพราะเหตุนี้เลย เพียงแต่เป็นเรื่องยากท
สีหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไปทันที แล้วร่างนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งจั้ง“ท่านอ๋อง จอมพลเฒ่ากวน พวกท่าน...”“ข้าต้องเอาชีวิตเจ้ามาให้ได้!”เย่จั้นเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย แล้วร่างของเขาก็พุ่งไปยังอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็วตัวปลอมยังคงเสแสร้งแกล้งทำ เหาะกลับไปกลับมาพร้อมกับตะโกนไปด้วย “ปาจารย์ ช่วยข้าด้วย”แม้ว่าจอมพลเฒ่าจะขาพิการไปข้างหนึ่ง แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ช้าเขาคว้าหอกที่อยู่ข้างๆ และพุ่งหอกใส่ตัวปลอม“ชิงเสวียนไม่เป็นวรยุทธ์ เจ้าเป็นตัวปลอม”ดวงตาของกวนเซี่ยวแสดงความประหลาดใจ นับตั้งแต่ฝ่าบาทถูกลอบสังหาร ชายชราก็ไม่ยอมให้เขาออกจากจวน ดังนั้นกวนเซี่ยวจึงไม่ได้เจอหน้าอาซือหลาน และไม่รู้เกี่ยวกับหน้ากากผิวหนังมนุษย์ เมื่อได้ยินสิ่งที่ปู่พูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนตัวปลอมนี้คงไม่ใช่ใครอื่นแล้ว นอกจากโยวหลานผู้เป็นหนึ่งในสาวใช้ของอาซือหลานเมื่อเห็นว่าตัวตนของนางถูกเปิดเผย นางกลับไม่ตื่นตระหนก แต่กลับหัวเราะ สะบัดข้อมือ แล้วมีดสองเล่มก็มาอยู่ในมือ“ในเมื่อพวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นตัวปลอม เช่นนั้นก็หมายความว่าได้พบกับอินชิงเสวียนแล้ว นางอยู่ที่ไหน บอกมานะ แล้วข้าจะไว้ชีว