ทันใดนั้นดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็มืดลง เขามองไปยังซ่งเซี่ยด้วยแววตาเยียบเย็น“ใครบอกแม่ทัพซ่ง ว่าผู้ที่ทำร้ายข้าคือเหยาเฟย?”ซ่งเซี่ยเป็นคนที่ดีแค่มีร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่กลับมีความคิดมักง่าย เขาพูดโดยไม่ยั้งคิด “ข่าวนี้มาจากในวังพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนต่างก็ทราบดี ขอฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัยโดยเร็ว”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ผู้ที่กล้าบิดเบือนความจริงเช่นนี้ ทำราวกับไม่เห็นข้าในสายตา หากรู้ว่าผู้ใดเป็นคนแพร่ข่าวลือ ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด”ซ่งเซี่ยยังคงพูดอย่างดื้อดึง “ดังคำกล่าวที่ว่า หากไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น ฝ่าบาทควรจับตัวนังมารร้ายนั่นมา เพื่อดำรงไว้ซึ่งความชอบธรรม!”เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เย็นชา พูดเสียงเฉียบขาด “เป็นเพียงคนที่ได้ฟังข่าวลือมาเท่านั้น แต่กลับกล้ามาเห่าหอนต่อหน้าข้า ข้าต้องทำอย่างไร ต้องให้เจ้ามาสอนด้วยรึ”เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทโกรธ ซ่งเซี่ยก็ตกใจกลัว รีบคุกเข่าเสียงกระทบพื้นดังลั่น“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ กระหม่อมเพียงแต่คิดถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้เกรี้ยวกราดรุนแรง “ยังกล้าแก้ตัวอีก เด็กๆ ลากตัวซ่งเซี่ยออกไป ลงโทษโบย
ทางด้านจวนจอมพลกวนฮั่นหลินสั่งให้คนจัดงานเลี้ยง และเชิญเย่จั้นมาดื่มในห้องโถงพวกเขาทั้งสองคนเป็นทหารแม่ทัพเหมือนกัน ย่อมพูดคุยถูกคอมากกว่าคุยกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเสียอีกยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคนที่โดดเด่นในเชิงศึกสงคราม ฉะนั้นย่อมขาดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่องซึ่งกันและกันหลังจากดื่มไปสามรอบ กวนฮั่นหลินก็ยกจอกสุราขึ้น“จอกนี้ ขอคารวะแด่ท่านอ๋อง ขอบคุณท่านอ๋องที่ทำเพื่อตระกูลอิน หากอินจ้งกลับราชสำนักได้ ต้องให้เขามาคุกเข่าขอบคุณท่านแน่นอน”เย่จั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “จอมพลเฒ่ายกย่องเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะประจำการอยู่ที่ชายแดนและไม่เกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมือง แต่ข้าก็รู้ว่าใครทรยศใครภัดี แต่ทุกอย่างจะต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน หากไม่ใช่เพราะค้นเจอจดหมายโต้ตอบกับราชวงศ์เจียงวูในจวนของอินจ้ง ข้าจะช่วยปกป้องเขาจากฝ่าบาทอย่างแน่นอน”เขาถอนหายใจและพูดต่อว่า “จอมพลเฒ่าก็ไม่สามารถตำหนิฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นท่านหรือข้าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เกรงว่าเราจะเลือกแบบเดียวกัน”กวนฮั่นหลินวางจอกสุราลง กระแสเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ“ในฐานะขุนนาง จะตำหนิฮ่อ
หลังดวงอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์ก็ลอยเด่นเหนือนภา ในชั่วพริบตาก็เป็นยามท้องฟ้ามืดมนแล้วม้าหนุ่มสองตัวออกจากจวนอ๋อง มุ่งตรงไปยังวังหลวงทันทีอินชิงเสวียนยังคงสวมหน้ากาก ใส่ชุดของบุรุษ เย่จั้นสวมหมวกคลุมศีรษะ บังใบหน้าของเขาไว้ครึ่งหนึ่งเมื่อถึงประตูทางเข้าวังหลวงทั้งสองก็ลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเทียนเย่จิ่งอวี้กำลังกินลีโวฟล็อกซาซินที่บดเป็นผงอยู่ พอเขาได้ยินว่าเย่จั้นมาถึงแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก“ให้เสด็จอาเข้ามา”เย่จั้นที่สวมเสื้อคลุมเดินเข้ามาจากประตู เมื่อเห็นท่าทางของเขา เย่จิ่งอวี้ก็ตวัดเรียวตาหงส์ไปมอง“ท่านอาสิบสามป่วยรึ เหตุใดถึงสวมใส่เสื้อผ้ามากมายเช่นนี้”เย่จั้นก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ข้าอยากให้ฝ่าบาทมองดูอะไรบางอย่าง ฝ่าบาทอย่าตกใจเกินไปนักนะ”เย่จิ่งอวี้ถามด้วยความสับสน “เรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้ลึกลับเพียงนี้”เย่จั้นค่อยๆ ถอดหมวกของเขาออกเมื่อเห็นใบหน้าของเขาเต็มตา เย่จิ่งอวี้ก็ตกตะลึง“ใบหน้าของท่าน...”“ไม่เป็นไร อีกครึ่งหน้าเป็นหน้ากากผิวหนังมนุษย์ ฝ่าบาทรู้สึกว่าดูเหมือนใครบางคนหรือไม่”ในตอนท
เมื่อได้ยินว่าสวีจือย่วนกำลังจะมา อินชิงเสวียนก็อยากพบนางเช่นกันนอกจากนี้นางควรบอกเรื่องของอาซือหลานกับสวีจือย่วน เพื่อที่นางจะได้ไม่หลงรักจนหัวปักหัวปำ จนโงหัวไม่ขึ้นแต่เย่จิ่งอวี้กลับไม่อยากถูกรบกวนจากความอบอุ่นที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้เขาพูดเสียงเรียบ “ไม่พบ”สวีจือย่วนได้เดินมาถึงประตูแล้ว เมื่อนางได้ยินเสียงของเย่จิ่งอวี้ คิ้วของนางก็ขมวดเล็กน้อยจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพูดว่า “ฝ่าบาท ท่านพบเถอะ หม่อมฉันก็อยากพบนายหญิงสวีเช่นกัน”สีหน้าของสวีจือย่วนเปลี่ยนไปทันทีเป็นเสียงของอินชิงเสวียน นางกลับมาทำไมแล้วเสียงของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากภายในห้องโถง“ในเมื่อเสวียนเอ๋อร์ต้องการพบนาง ก็ให้นางเข้ามาเถอะ”หลี่เต๋อฝูย่อมได้ยินอยู่แล้ว ซึ่งเขาเองก็จำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของอินชิงเสวียนโดยปกติแล้วเขาซึ่งเป็นขันทีไม่กล้าถามถึงเรื่องของฝ่าบาท พูดง่ายๆ ก็คือถ้าฝ่าบาทมีความสุข เขาก็สบายใจเขาก้าวถอยหลัง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เชิญนายหญิงสวีเถิด!”“ขอบคุณหลี่กงกง”สวีจือย่วนเปิดประตูอย่างช้าๆเมื่อเข้ามาในห้อง ก็เห็นอินชิงเสวียนในชุดบุรุษนางเดินเข้ามาด้วยความประห
แล้วอินชิงเสวียนก็กลับมาที่ตำหนักเฉิงเทียน“เจ้าพูดอะไรกับนาง”เย่จิ่งอวี้ถามด้วยความสนใจขณะพิงหมอนนุ่มๆอินชิงเสวียนกรุตุกมุมปากขึ้นยิ้ม แววตาเจ้าเล่ห์“ฝ่าบาทอยากลองเดาดูหรือไม่”เมื่อเห็นท่าทางในตอนนี้ของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกถึงความรู้สึกตอนที่ได้พบบนางเป็นครั้งแรก ในเวลานั้น นางฉลาดปลิ้นปล้อนมาก ราวกับจิ้งจอกน้อยเจ้าแผนการ นางที่บังเอิญวิ่งเข้าไปชนหัวใจของเขาเมื่อนึกถึงอดีต เย่จิ่งอวี้ก็หัวเราะเบาๆ “จะให้ข้าเดาอย่างไร”“ฝ่าบาทจะพูดอะไรก็ได้ ถึงทายผิดก็ไม่เป็นไร”ตอนนี้ความเข้าใจผิดทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยแล้ว อินชิงเสวียนจึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น นิสัยที่แท้จริงของนางก็ถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจเย่จิ่งอวี้กลับชอบนางในลักษณะนี้ ในวังมีสตรีมีอยู่ในกฎเกณฑ์เหมือนเกินมากเกินไป และมีแต่คำเยินยอแบบเดียวกัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกเบื่อเมื่อมองดูตาที่โค้งคู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หรือเจ้าไปบอกนาง ว่าข้าเป็นของเจ้า หากไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามเข้าใกล้กระนั้นหรือ”อินชิงเสวียนหัวเราะคิกคัก “เรื่องนั้นหม่อมฉันคงไม่กล้า หม่อมฉันแค่อยากขอบคุณนางที่ดูแลฝ่าบ
ความเป็นห่วงเป็นใยในแววตาของอินชิงเสวียน ทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกอบอุ่นในใจเขาถามหยั่งเชิง “เจ้ากำลังปวดใจเพราะอยู่ข้ารึ”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา“ฝ่าบาทถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบนี่”เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงยานคางว่า “ได้ ข้าจะทำตามเจ้า”เขาหันกลับมา แล้วพูดกับคนที่อยู่นอกประตู “หลี่เต๋อฝู ไปถ่ายทอดคำสั่งที่ตำหนักจินหวู ให้จ้าวเอ๋อร์มาหาข้าที่ตำหนักเฉิงเทียน”“น้อมรับพระบัญชา”หลี่เต๋อฝูตอบรับ แล้ววิ่งนำขบวนออกไปทันทีอินชิงเสวียนช่วยประคองเย่จิ่งอวี้ให้นั่งบนเตียง วางหมอนนุ่มๆ ด้านหลังให้เขาพิงในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตู และมีคนตะโกนเสียงดัง “ไทเฮาเสด็จ”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วทันที ยายแม่มดเฒ่าคนนี้มาทำอะไรที่นี่ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีเขาตบหลังมือของอินชิงเสวียนเบาๆ ปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ไม่เป็นไร มีข้าอยู่”ทันทีที่เขาพูดจบ ประตูห้องโถงด้านนอกก็เปิดออกเสียงฝีเท้าเริ่มดังเข้ามาใกล้ แล้วก็เห็นไทเฮาเดินนำชุยไห่เข้ามาในห้องโถงด้านใน“ฮ่องเต้ สองวันที่ผ่านมาอาการเป็นอย่างไรบ้าง”หลังจากที่ไทเฮาพูดจบ นางก็เหลือบไปเห็นอินช
ณ ตำหนักเฉิงเทียนเสี่ยวหนานเฟิงกำลังเล่นอยู่ในห้องสักพัก แล้วความทะเยอทะยานก็กลับมาอีกครั้ง นิ้วอ้วนป้อมชี้ไปข้างนอก ทำปากมู่ทู่แล้วพูดว่า “ไป ไป”เย่จิ่งอวี้ยิ้มด้วยความรักและเอ็นดู จับมืออันจ้ำม่ำของเสี่ยวหนานเฟิง“ช่างเป็นเด็กทะเยอทะยานอะไรเช่นนี้ พาเขาออกไปเดินเล่นกันเถอะ”อินชิงเสวียนถามอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาททรงไหวหรือ”เย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร วันนี้ข้าสบายดี”อินชิงเสวียนวางเสี่ยวหนานเฟิงไว้ในรถเข็นเด็ก“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยๆ เดิน อย่าไปไกลนัก”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างมีความสุข “ข้าเชื่อเสวียนเอ๋อร์อยู่แล้ว”ครอบครัวทั้งสามออกจากตำหนักเฉิงเทียน ซึ่งไม่ไกลกันนั้นก็มีสวนดอกอวี้หลานอยู่เมื่อสายลมพัดผ่าน ก็โชยกลิ่นหอมจางๆ อันทำให้คนรู้สึกสดชื่นเสี่ยวหนานเฟิงก็ได้กลิ่นหอมนี้ เขาชี้ไปในทิศทางนั้นทันที“ใน ใน...”อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายน้อยอยากไปดูที่นั่นเพคะ”อินชิงเสวียนก้มศีรษะมองเสี่ยวหนานเฟิงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขายกก้นขึ้นอีกครั้ง นางจึงพูดว่า “ก็ได้ ให้เขาไปดูดอกไม้เถอะ”เมื่อทุกคนเข้าไปในสวนอวิ๋นหลาน ก็เห็นทะเลดอกไม้สีขาวจากระย
กวนเซี่ยวยิ้มและถามว่า “ดูท่าทางวันนี้เจ้าจะอารมณ์ดีทีเดียวนะ?”ฟางรั่วหยิบกาเหล้าขึ้นมา และรินใส่แก้วเกล้าให้กับกวนเซี่ยว“ได้พบคุณชายกวน ข้าก็ต้องอารมณ์ดีสิเจ้าคะ”กวนเซี่ยวสยายชุดคลุมออก และนั่งลงบนเก้าอี้บุผ้า“ดูไม่เหมือนเจ้าเลยนะ”ฟางรั่วยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วพูดว่า “เมื่อความไม่จริงเป็นความจริง ความจริงเป็นความไม่จริง เหตุใดจึงต้องหาเหตุผลเฉพาะเจาะจง คุณชายกวนชอบใบหน้าแบบนี้ เหมือนไม่เหมือนจะสำคัญตรงไหนกันเจ้าคะ”กวนเซี่ยวชนแก้วกับนางหนึ่งที“คำพูดของเจ้าก็เหตุผลเหมือนกันนะ ขอเพียงข้าชอบ ข้าไม่สนใจเปลือกนอกหรอก”ฟางรั่วกระตุกยิ้มมุมปากและพูดว่า “ข้าไม่มีสิ่งใดซ่อนไว้ภายใน ดื่มเหล้ากันเถอะเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นกวนเซี่ยวดื่มทีเดียวหมดแก้ว ฟางรั่วก็เม้มปาก จู่ๆ สายตาก็สาดแสงแห่งความเสียใจออกมา แต่ไม่นานก็มลายหายไป“ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่อินเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร?”กวนเซี่ยววางแก้วเหล้าลง ฟางรั่วก็รินเหล้าให้เขาอีกแก้ว“เรื่องของเจ้านาย ข้าจะรู้ได้อย่างไร”นางถอนหายใจเบาๆ และถามขึ้นว่า “การแก้แค้นสำหรับท่าน มีความสำคัญขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”กวนเซี่ยวพูดด้