ความเป็นห่วงเป็นใยในแววตาของอินชิงเสวียน ทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกอบอุ่นในใจเขาถามหยั่งเชิง “เจ้ากำลังปวดใจเพราะอยู่ข้ารึ”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา“ฝ่าบาทถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบนี่”เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงยานคางว่า “ได้ ข้าจะทำตามเจ้า”เขาหันกลับมา แล้วพูดกับคนที่อยู่นอกประตู “หลี่เต๋อฝู ไปถ่ายทอดคำสั่งที่ตำหนักจินหวู ให้จ้าวเอ๋อร์มาหาข้าที่ตำหนักเฉิงเทียน”“น้อมรับพระบัญชา”หลี่เต๋อฝูตอบรับ แล้ววิ่งนำขบวนออกไปทันทีอินชิงเสวียนช่วยประคองเย่จิ่งอวี้ให้นั่งบนเตียง วางหมอนนุ่มๆ ด้านหลังให้เขาพิงในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตู และมีคนตะโกนเสียงดัง “ไทเฮาเสด็จ”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วทันที ยายแม่มดเฒ่าคนนี้มาทำอะไรที่นี่ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีเขาตบหลังมือของอินชิงเสวียนเบาๆ ปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ไม่เป็นไร มีข้าอยู่”ทันทีที่เขาพูดจบ ประตูห้องโถงด้านนอกก็เปิดออกเสียงฝีเท้าเริ่มดังเข้ามาใกล้ แล้วก็เห็นไทเฮาเดินนำชุยไห่เข้ามาในห้องโถงด้านใน“ฮ่องเต้ สองวันที่ผ่านมาอาการเป็นอย่างไรบ้าง”หลังจากที่ไทเฮาพูดจบ นางก็เหลือบไปเห็นอินช
ณ ตำหนักเฉิงเทียนเสี่ยวหนานเฟิงกำลังเล่นอยู่ในห้องสักพัก แล้วความทะเยอทะยานก็กลับมาอีกครั้ง นิ้วอ้วนป้อมชี้ไปข้างนอก ทำปากมู่ทู่แล้วพูดว่า “ไป ไป”เย่จิ่งอวี้ยิ้มด้วยความรักและเอ็นดู จับมืออันจ้ำม่ำของเสี่ยวหนานเฟิง“ช่างเป็นเด็กทะเยอทะยานอะไรเช่นนี้ พาเขาออกไปเดินเล่นกันเถอะ”อินชิงเสวียนถามอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาททรงไหวหรือ”เย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร วันนี้ข้าสบายดี”อินชิงเสวียนวางเสี่ยวหนานเฟิงไว้ในรถเข็นเด็ก“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยๆ เดิน อย่าไปไกลนัก”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างมีความสุข “ข้าเชื่อเสวียนเอ๋อร์อยู่แล้ว”ครอบครัวทั้งสามออกจากตำหนักเฉิงเทียน ซึ่งไม่ไกลกันนั้นก็มีสวนดอกอวี้หลานอยู่เมื่อสายลมพัดผ่าน ก็โชยกลิ่นหอมจางๆ อันทำให้คนรู้สึกสดชื่นเสี่ยวหนานเฟิงก็ได้กลิ่นหอมนี้ เขาชี้ไปในทิศทางนั้นทันที“ใน ใน...”อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายน้อยอยากไปดูที่นั่นเพคะ”อินชิงเสวียนก้มศีรษะมองเสี่ยวหนานเฟิงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขายกก้นขึ้นอีกครั้ง นางจึงพูดว่า “ก็ได้ ให้เขาไปดูดอกไม้เถอะ”เมื่อทุกคนเข้าไปในสวนอวิ๋นหลาน ก็เห็นทะเลดอกไม้สีขาวจากระย
กวนเซี่ยวยิ้มและถามว่า “ดูท่าทางวันนี้เจ้าจะอารมณ์ดีทีเดียวนะ?”ฟางรั่วหยิบกาเหล้าขึ้นมา และรินใส่แก้วเกล้าให้กับกวนเซี่ยว“ได้พบคุณชายกวน ข้าก็ต้องอารมณ์ดีสิเจ้าคะ”กวนเซี่ยวสยายชุดคลุมออก และนั่งลงบนเก้าอี้บุผ้า“ดูไม่เหมือนเจ้าเลยนะ”ฟางรั่วยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วพูดว่า “เมื่อความไม่จริงเป็นความจริง ความจริงเป็นความไม่จริง เหตุใดจึงต้องหาเหตุผลเฉพาะเจาะจง คุณชายกวนชอบใบหน้าแบบนี้ เหมือนไม่เหมือนจะสำคัญตรงไหนกันเจ้าคะ”กวนเซี่ยวชนแก้วกับนางหนึ่งที“คำพูดของเจ้าก็เหตุผลเหมือนกันนะ ขอเพียงข้าชอบ ข้าไม่สนใจเปลือกนอกหรอก”ฟางรั่วกระตุกยิ้มมุมปากและพูดว่า “ข้าไม่มีสิ่งใดซ่อนไว้ภายใน ดื่มเหล้ากันเถอะเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นกวนเซี่ยวดื่มทีเดียวหมดแก้ว ฟางรั่วก็เม้มปาก จู่ๆ สายตาก็สาดแสงแห่งความเสียใจออกมา แต่ไม่นานก็มลายหายไป“ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่อินเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร?”กวนเซี่ยววางแก้วเหล้าลง ฟางรั่วก็รินเหล้าให้เขาอีกแก้ว“เรื่องของเจ้านาย ข้าจะรู้ได้อย่างไร”นางถอนหายใจเบาๆ และถามขึ้นว่า “การแก้แค้นสำหรับท่าน มีความสำคัญขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?”กวนเซี่ยวพูดด้
“อาโฉ่ว?”กวนเมิ่งถิงประหลาดใจอย่างมาก“ท่านอ๋องต้องการเขาไปทำอะไร?”ทันทีที่พูดจบ เสียงของกวนลี่จือก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู“เจ้าสุนัขนั่นหนีไปแล้ว และไม่ได้กลับมาที่จวนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ข้าเองก็กำลังตามหาเขาอยู่เช่นกัน”กวนเมิ่งถิงรีบตำหนิในทันที “อวดดี เห็นว่าท่านอ๋องอยู่ตรงนี้ ยังกล้าเสียงดังโวยวาย”กวนลี่จือได้เดินจากด้านนอกเข้ามาในบ้านเมื่อเห็นเย่จั้น เขาก็อดตกใจไม่ได้ รีบค้อมตัวลงอย่างลนลาน“ลี่จือขอถวายบังคมจิ้งอ๋อง”เย่จั้นพูดขึ้น “ไม่เป็นไร เจ้าบอกว่าอาโฉ่วหนีไปแล้ว เป็นเพราะอะไรกัน?”กวนลี่จือกัดฟันกรอดแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อวานตอนบ่ายข้าด่าเขาไปไม่กี่คำ เขาก็หนีออกจากจวนไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา เจ้าสุนัขตัวนี้ทั้งอัปลักษณ์และโง่เง่า รู้วิชาการต่อสู้เล็กน้อย เอาจริงๆ ข้าก็ชอบเขามาก คงจะเป็นการดีที่สุดหากเขาตายข้างนอก”กวนเมิ่งถิงถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องตามหาคนคนนี้ทำไมพ่ะย่ะค่ะ?”เย่จั้นหรี่ตาลง และเหลือบมองกวนลี่จือคนผู้นี้ไร้ความรู้ความสามารถ เป็นลูกผู้ดีที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง คำพูดของเขาดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกหก“ข้าสงสัย
ระหว่างที่พูด เย่จั้นก็เดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วประสานมือคำนับและพูดว่า “ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วพูด “ไม่ต้องมากพิธี เสด็จอารีบร้อนเข้ามาในวัง มีข่าวคราวอะไรหรือไม่?”“กระหม่อมทำงานไม่สำเร็จราบรื่น และจับพรรคพวกของอาซือหลานไม่ได้ อาโฉ่วก็ไม่ได้กลับจวนเสนามาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว คาดว่าเป็นเพราะถูกเปิดเผยตัวตน จึงได้หนีไปแล้ว หากหวังซุ่นที่เชี่ยวชาญด้านการปลอมตัวยังอยู่ข้างกายอาซือหลาน คิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะจับตัวเข้าได้”เย่จั้นลดสายตาลงต่ำ สีหน้ารู้สึกผิดเย่จิ่งอวี้เข้าใจในทันที“ความหมายของเสด็จอาก็คือ พวกเขาปลอมตัวเป็นคนได้งั้นหรือ?”เมื่อได้ยินคำนี้ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงจะจับตัวได้ยากจริงๆหากไม่รีบจัดการอาซือหลานให้สิ้น ผู้คนก็จะเกิดอันตรายได้แม้แต่เสือก็ยังงีบหลับได้ ต่อให้คุ้มกันเข้มงวดเพียงใด ก็อาจเกิดความประมาทขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างที่ครุ่นคิด ก็ได้ยินเย่จั้นพูดว่า “เป็นจริงดังนั้น”เย่จิ่งอวี้จับที่สันจมูกอย่างอดไม่ได้ เกิดความกลัดกลุ้มในใจขึ้นมากเมื่อเห็นคิ้วของเขาไม่คลายลง อินชิงเสวียนลัง
ตอนที่เย่จั้นกลับไปถึงจวนอ๋อง กวนเซี่ยวก็ฟื้นขึ้นพอดีเมื่อเห็นชายชุดขาวนั่งอยู่ข้างๆ กวนเซี่ยวตกใจเล็กน้อย“ท่านอ๋อง?”เย่จั้นพยักหน้า“คุณชายน้อยไปอยู่ที่เรือนจุ้ยหงได้อย่างไร?”หัวสมองของกวนเซี่ยวมึนงงเล็กน้อย ใช้เวลาสักพักหนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไปเรือนจุ้ยหงเพื่อพบอินสิงอวิ๋น สุดท้ายดื่มกับฟางรั่วเพียงไม่กี่แก้ว เขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลยเหตุใดฟางรั่วต้องทำเช่นนี้?นางวางยาตัวเองด้วยเหตุผลอะไร?ความคิดวนเวียนอยู่ในใจของเขา แต่เขากลับยิ้มอย่างเขินอาย“ไม่ปิดบังท่านอ๋อง ข้ามีคนรักอยู่ที่เรือนจุ้ยหง ครั้งนี้ข้าอยากไปพบนาง”เย่จั้นลุกขึ้นยืน และเดินมาที่ข้างเตียง ถามขึ้นด้วยสายตาที่บีบเคล้น “ก่อนหน้านี้เรือนจุ้ยหงถูกปิด เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณชายน้อยต้องรู้อยู่แล้ว เหตุผลนี้ไม่รู้สึกเหมือนการแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เลยหรือ?”กวนเซี่ยวลุกขึ้นนั่ง พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด “รู้แน่นอน แต่ข้ายังอยากไปดูจริงๆ”“ดูอะไร? ทั้งที่คุณชายน้อยรู้ว่าคนในเรือนจุ้ยหงถูกจับไปที่กรมยุติธรรมหมดแล้ว หรือว่ายังมีคนที่เรือนจุ้ยหงที่ทำให้คุณชายน้อยเป็นห่วง?”เย่จั้นสายตานิ่งสงบ น้ำเ
ณ ตำหนักฉู่เยว่พระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้า ตำหนักฉู่เยว่ก็ปิดประตูตำหนักแล้วเห็นได้ว่า สองแม่ลูกคู่นี้ถ่อมตัวมากเลยทีเดียวเพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นตัวอักษรสามตัวนี้ อินชิงเสวียนต่างก็นึกถึงพระปีศาจเสวียนเจินผู้นั้นวันนั้นตอนที่เขาตาย สิ่งที่มองเห็นคือตรงนี้ไม่ผิดแน่ ไม่รู้ว่าเขาและอันไท่ผินมีความสัมพันธ์อะไรกัน?เมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็พยักหน้าให้กับเสี่ยวอานจื่อ“ไปเคาะประตูเรียกสิ”เสี่ยวอานจื่อรีบไปเคาะประตู เพียงครู่หนึ่งก็มีคนถามขึ้น “ผู้ใด?”“เหยาเฟยเหนียงเหนียงแห่งตำหนักจินหวู ฝูอี้อ๋องโปรดมาพบด้วย”ด้านในเงียบเสียงลงทันที คาดว่ากำลังไปรายงานให้ทราบเพียงเวลาสิบห้านาที ประตูก็เปิดออกดังเอี๊ยดเย่จิ่งหลานที่สวมชุดผ้าสีแดงเข้มปรากฏตัวที่ประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียน เย่จิ่งหลานก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก“ขอถวายบังคมเสด็จพี่สะใภ้”อินชิงเสวียนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงเอาของเล็กน้อยมาให้ท่าน”เสี่ยวอานจื่อยื่นทุเรียนไปให้ในทันที แม้มันจะมีกลิ่นเหม็น แต่รสชาติมันช่างหอมหวานเสียจริง เมื่อนึกถึงรสชาติหวานละมุนของทุเรียน เสี
เมื่อออกจากตำหนักฉู่เยว่ ฟ้าก็มืดลงแล้วอินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไปที่ตำหนักเฉิงเทียนเมื่อรู้ว่าเย่จิ่งหลานเคยทำการผ่าตัดให้สัตว์เพียงเท่านั้น นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้เย่จิ่งหลานช่างไร้ความน่าเชื่อถือจริงๆ อย่าได้มีโรคแทรกซ้อนตามมาเลยนะ!เมื่อนึกได้ว่าหลายวันนี้เย่จิ่งอวี้เอาแต่กินข้าวโจ๊ก ในใจก็ไม่อาจทนได้เห็นว่าเขาช่วยนางมาหลายครั้ง อินชิงเสวียนตัดสินใจทำแป้งถั่วเหลืองให้เขาแทนเมื่อแยกตัวออกจากอวิ๋นฉ่ายและเสี่ยวอานจื่อ อินชิงเสวียนก็เข้าไปในมิตินำแป้งถั่วเหลืองห่อในกระดาษมัน ห่อเสร็จก็นำไปที่ตำหนักเฉิงเทียนหลี่เต๋อฝูกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็ยิ้มและพูดว่า“เหยาเฟยเหนียงเหนียงเสด็จมาแล้วหรือ”“ใช่ ฝ่าบาทบรรทมแล้วหรือยัง?”“ยังพ่ะย่ะค่ะ พระสนมสวีเพิ่งมาเมื่อครู่ และกำลังพูดคุยกับฝ่าบาทอยู่ด้านใน”เมื่อได้ยินว่าสวีจือย่วนอยู่ด้วย อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วมาได้เร็วทันเวลาพอดี“เข้าไปได้หรือไม่?”หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ได้สิพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีคำว่าไม่ได้สำหรับเหยาเฟยเหนียงเหนียง กระหม่อมจะไปทูลเดี๋ยวนี้”ไม่นานนัก หลี่เต๋
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี