ตอนที่เย่จั้นกลับไปถึงจวนอ๋อง กวนเซี่ยวก็ฟื้นขึ้นพอดีเมื่อเห็นชายชุดขาวนั่งอยู่ข้างๆ กวนเซี่ยวตกใจเล็กน้อย“ท่านอ๋อง?”เย่จั้นพยักหน้า“คุณชายน้อยไปอยู่ที่เรือนจุ้ยหงได้อย่างไร?”หัวสมองของกวนเซี่ยวมึนงงเล็กน้อย ใช้เวลาสักพักหนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไปเรือนจุ้ยหงเพื่อพบอินสิงอวิ๋น สุดท้ายดื่มกับฟางรั่วเพียงไม่กี่แก้ว เขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลยเหตุใดฟางรั่วต้องทำเช่นนี้?นางวางยาตัวเองด้วยเหตุผลอะไร?ความคิดวนเวียนอยู่ในใจของเขา แต่เขากลับยิ้มอย่างเขินอาย“ไม่ปิดบังท่านอ๋อง ข้ามีคนรักอยู่ที่เรือนจุ้ยหง ครั้งนี้ข้าอยากไปพบนาง”เย่จั้นลุกขึ้นยืน และเดินมาที่ข้างเตียง ถามขึ้นด้วยสายตาที่บีบเคล้น “ก่อนหน้านี้เรือนจุ้ยหงถูกปิด เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณชายน้อยต้องรู้อยู่แล้ว เหตุผลนี้ไม่รู้สึกเหมือนการแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เลยหรือ?”กวนเซี่ยวลุกขึ้นนั่ง พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด “รู้แน่นอน แต่ข้ายังอยากไปดูจริงๆ”“ดูอะไร? ทั้งที่คุณชายน้อยรู้ว่าคนในเรือนจุ้ยหงถูกจับไปที่กรมยุติธรรมหมดแล้ว หรือว่ายังมีคนที่เรือนจุ้ยหงที่ทำให้คุณชายน้อยเป็นห่วง?”เย่จั้นสายตานิ่งสงบ น้ำเ
ณ ตำหนักฉู่เยว่พระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้า ตำหนักฉู่เยว่ก็ปิดประตูตำหนักแล้วเห็นได้ว่า สองแม่ลูกคู่นี้ถ่อมตัวมากเลยทีเดียวเพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นตัวอักษรสามตัวนี้ อินชิงเสวียนต่างก็นึกถึงพระปีศาจเสวียนเจินผู้นั้นวันนั้นตอนที่เขาตาย สิ่งที่มองเห็นคือตรงนี้ไม่ผิดแน่ ไม่รู้ว่าเขาและอันไท่ผินมีความสัมพันธ์อะไรกัน?เมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็พยักหน้าให้กับเสี่ยวอานจื่อ“ไปเคาะประตูเรียกสิ”เสี่ยวอานจื่อรีบไปเคาะประตู เพียงครู่หนึ่งก็มีคนถามขึ้น “ผู้ใด?”“เหยาเฟยเหนียงเหนียงแห่งตำหนักจินหวู ฝูอี้อ๋องโปรดมาพบด้วย”ด้านในเงียบเสียงลงทันที คาดว่ากำลังไปรายงานให้ทราบเพียงเวลาสิบห้านาที ประตูก็เปิดออกดังเอี๊ยดเย่จิ่งหลานที่สวมชุดผ้าสีแดงเข้มปรากฏตัวที่ประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียน เย่จิ่งหลานก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก“ขอถวายบังคมเสด็จพี่สะใภ้”อินชิงเสวียนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงเอาของเล็กน้อยมาให้ท่าน”เสี่ยวอานจื่อยื่นทุเรียนไปให้ในทันที แม้มันจะมีกลิ่นเหม็น แต่รสชาติมันช่างหอมหวานเสียจริง เมื่อนึกถึงรสชาติหวานละมุนของทุเรียน เสี
เมื่อออกจากตำหนักฉู่เยว่ ฟ้าก็มืดลงแล้วอินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไปที่ตำหนักเฉิงเทียนเมื่อรู้ว่าเย่จิ่งหลานเคยทำการผ่าตัดให้สัตว์เพียงเท่านั้น นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้เย่จิ่งหลานช่างไร้ความน่าเชื่อถือจริงๆ อย่าได้มีโรคแทรกซ้อนตามมาเลยนะ!เมื่อนึกได้ว่าหลายวันนี้เย่จิ่งอวี้เอาแต่กินข้าวโจ๊ก ในใจก็ไม่อาจทนได้เห็นว่าเขาช่วยนางมาหลายครั้ง อินชิงเสวียนตัดสินใจทำแป้งถั่วเหลืองให้เขาแทนเมื่อแยกตัวออกจากอวิ๋นฉ่ายและเสี่ยวอานจื่อ อินชิงเสวียนก็เข้าไปในมิตินำแป้งถั่วเหลืองห่อในกระดาษมัน ห่อเสร็จก็นำไปที่ตำหนักเฉิงเทียนหลี่เต๋อฝูกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็ยิ้มและพูดว่า“เหยาเฟยเหนียงเหนียงเสด็จมาแล้วหรือ”“ใช่ ฝ่าบาทบรรทมแล้วหรือยัง?”“ยังพ่ะย่ะค่ะ พระสนมสวีเพิ่งมาเมื่อครู่ และกำลังพูดคุยกับฝ่าบาทอยู่ด้านใน”เมื่อได้ยินว่าสวีจือย่วนอยู่ด้วย อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วมาได้เร็วทันเวลาพอดี“เข้าไปได้หรือไม่?”หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ได้สิพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีคำว่าไม่ได้สำหรับเหยาเฟยเหนียงเหนียง กระหม่อมจะไปทูลเดี๋ยวนี้”ไม่นานนัก หลี่เต๋
อินชิงเสวียนไม่ได้มีแผนการอะไร เพียงแต่อยากออกไปเย้าหยอก เพื่อให้อาซือหลานรู้ว่าตัวเองออกมาแล้วแต่เมื่อฝ่าบาทถามขึ้นมา ก็ต้องสร้างข้อแก้ตัว เมื่อพูดไปได้ครู่หนึ่ง ตัวเองก็รู้สึกง่วงนอนเย่จิ่งอวี้กำลังรอข้อความต่อไป เมื่อหันหน้ามา กลับพบว่าอินชิงเสวียนนอนขดตัวหลับอยู่ข้างกายเขาแล้วเขายิ้มด้วยความหลงใหล และแบ่งผ้าห่มครึ่งหนึ่ง ห่มบนตัวของอินชิงเสวียนจากนั้นก็นอนลงช้าๆ ประสานนิ้วทั้งสิบกับนางเมื่อฟังเสียงลมหายใจที่เป็นจังหวะและตื้นเขิน เย่จิ่งอวี้รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นฟ้าสว่างแล้วเมื่อคิดจะพลิกตัว อินชิงเสวียนก็ลุกขึ้นนั่งแล้ว“เหตุใดไม่นอนต่ออีกหน่อยเล่า?”เสียงของเย่จิ่งอวี้มีความแหบแห้งในยามเช้า เสียงดูเนือยๆ และมีเสน่ห์อินชิงเสวียนขยี้ตา พูดเสียงฮึดฮัด “ข้านอนตื่นสายอีกแล้วใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นท่าทางสะลึมสะลือของนาง เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปาก“ไม่หรอก เจ้านอนต่อได้นะ”อินชิงเสวียนมองเห็นพระอาทิตย์ดวงโตนอกหน้าต่าง คาดว่าตอนนี้น่าจะแปดโมงกว่าแล้ว จึงรีบคลานไปข้างเตียงและสวมรองเท้า“มีเรื่องสำคัญต้องทำ จับอาซือหลานให้ไ
อินชิงเสวียนนั่งลงข้างพิณ ดีดสายพิณด้วยนิ้วหัวแม่มือของนาง และเสียงที่คมชัดก็ดังออกมาในทันทีทันใดนั้นเจ้าของร้านถามขึ้นราวกับมอบของขวัญล้ำค่า “แม่นางคิดว่าพิณนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”อินชิงเสวียนไม่ค่อยรู้เรื่องพิณ แต่ฟังจากเสียงสะท้อนที่ไม่มีเสียงอื้ออึง ก็รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียวจึงพยักหน้า “เป็นพิณที่ดี”เจ้าของร้านยิ้มปากกว้างในทันที “แม่นางสายตาเฉียบแหลมทีเดียว พิณนี้ทำมาจากไม้เพาโลเนียอายุห้าร้อยปี ข้าใช้เงินก้อนโตซื้อมาจากชาวพเนจรผู้หนึ่ง ราคาเปิดหีบหนึ่งพันตำลึงก็เป็นราคาที่เขาตั้งไว้เอง”อินชิงเสวียนเข้าใจทันทีว่านี่คือกฎหากรู้ว่าแพงขนาดนี้ สู้ซื้อพิณมาเล่นเองข้างถนนดีกว่าเจ้าของร้านลูบเคราแล้วพูดว่า “พิณนี้อยู่ในโรงเตี๊ยมมาสามปีแล้ว แต่เปิดหีบน้อยครั้งมาก ทั้งหมดเพียงสามครั้งเท่านั้น แม่นางโปรดปฏิบัติต่อมันด้วยความกรุณา”เย่จั้นนั่งลงอีกด้านของโต๊ะ พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “แน่นอน เถ้าแก่ช่วยเตรียมอาหารมาด้วย”“ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”เมื่อเจ้าของร้านเดินออกไป อินชิงเสวียนก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย“เล่นหนึ่งครั้งเสียพันตำลึง แพงเกินไปแล้ว”
พลังอันมหาศาลของมิติ มาพร้อมกับลมคำรามที่รุนแรง อาซือหลานไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงหมดสติลงไปกับพื้นตรงนั้นสามคนที่เหลือต่างก็ตกใจมาก“นายท่าน!”ไม่รอให้พวกเขาได้สติ ทหารเปลวเพลิงแดงก็จู่โจมเข้ามา และกดพวกเขาไว้กับพื้นอินชิงเสวียนดีใจในทันที นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะจับอาซือหลานได้ง่ายเช่นนี้ ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับความเร็วและพลังของมิติเย่จั้นแทบไม่คิดเหมือนกันว่าจะง่ายดายเช่นนี้ เดิมทีเขาคิดว่าจะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือด และเมื่อเขานึกถึงความเร็วอันน่ากลัวของอินชิงเสวียน ความคิดมากมายก็ผุดขึ้นในแววตาไม่เจอกันเพียงสองวัน การเคลื่อนไหวของร่างกายนางกลับแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว ว่องไวจนเขามองไม่ชัดเจนสำหรับฮ่องเต้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายเมื่อมองดูใบหน้าที่คล้ายกับสหายเก่าไม่น้อย ความก็รู้สึกก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเมื่ออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ออกคำสั่ง“พวกเจ้านำคนเหล่านี้กลับไปด้วยทั้งหมด คุ้มกันแน่นหนา ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้”ทันทีที่เย่จั้นพูดจบ ก็พบว่าอินชิงเสวียนโซเซเล็กน้อย จึงรีบยื่นมือไปพยุงนางไว้“เหนียงเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง?”อินชิงเสวียนฝื
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เป็นเพราะใช้กำลังภายใน จึงมีอาการตามมาเล็กน้อย พักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็นั่งลงที่ศาลาด้านข้าง อ่อนเพลียมากเลยจริงๆ ตอนนี้นางเพียงอยากนอนหลับเท่านั้น และไม่อยากขยับแม้เพียงนิดเดียวเย่จั้นก็พูดว่า “เหนียงเหนียงไม่เป็นอะไรจริงๆ หากไม่ใช่เพราะวิชาการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเหนียงเหนียง คงไม่สามารถจับกุมอาซือหลานได้ง่ายเช่นนี้”เย่จั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กับเย่จิ่งอวี้ เย่จิ่งอวี้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก“นางใช้พิณตัวนั้นในโรงเตี๊ยมบรรเลงบทเพลงงั้นหรือ?”เย่จั้นถามขึ้น “ฝ่าบาทรู้จักพิณตัวนั้นด้วยหรือ?”เย่จิ่งอวี้กระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “หีบพิณนั่นถูกเปิดมาสองครั้ง ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”เมื่อนึกถึงเสียงดีดพิณราวกับลาร้องในครั้งก่อน เย่จิ่งอวี้ก็หน้าแดงเล็กน้อยเขาเคยคิดจะกลับไปเล่นพิณตัวนั้นอีกครั้ง แต่ไม่นานหลังจากน้ันฮ่องเต้องค์ก่อนทรงสวรรคต ตัวเองได้ขึ้นครองราชย์ และมีงานราษฎร์งานหลวงอีกเป็นกอง ทำให้แยกตัวออกไปได้ยากทันใดนั้นเย่จั้นก็นึกได้ว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะครองราชย์ เคยถูกขนานนามว่าท่านอ๋องแห่งความสุดยอดท
เย่จิ่งอวี้หัวเราะร่าเสียงดังอย่างอดไม่ได้“พูดดีทีเดียว”เขาก้าวเข้าไปในถังไม้ และรู้สึกว่าน้ำเย็นชุ่มชื่นเมื่อสัมผัสร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึกหนาว มันมีความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ“น้ำนี่แปลกจริงเชียว”อินชิงเสวียนแอบหันกลับไปเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าเขานั่งลงในถังแล้ว จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “มีสิ่งใดน่าแปลกหรือเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในความเย็นชุ่มชื่นกลับมีความอบอุ่น แม้มีความเย็นเฉียบ แต่ยังให้ความรู้สึกถึงความร้อน”อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มมุมปาก เขาพรรณนาได้ดีทีเดียว มันเป็นความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆอุณหภูมิของน้ำพุวิญญาณอาจทำให้คนรู้สึกขัดแย้งกัน แต่กลับสบายเป็นอย่างมากนางแขวนเสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้ ยิ้มและพูดว่า “ฝ่าบาทชอบก็ดีแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า “พอได้แช่น้ำนี้แล้ว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกง่วง”“เช่นนั้นก็หลับสักครู่เถอะเพคะ”อินชิงเสวียนมาที่ด้านหลังของเย่จิ่งอวี้ นำเส้นผมที่ชุ่มน้ำของเขาไว้ด้านนอกถัง และหยิบหมอนมาหนึ่งใบเพื่อให้เขาพิงเมื่อถูกอินชิงเสวียนจัดทรงผมให้ เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งรู้สึกง่วงจนลืมตาไม่ขึ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี