“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เป็นเพราะใช้กำลังภายใน จึงมีอาการตามมาเล็กน้อย พักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็นั่งลงที่ศาลาด้านข้าง อ่อนเพลียมากเลยจริงๆ ตอนนี้นางเพียงอยากนอนหลับเท่านั้น และไม่อยากขยับแม้เพียงนิดเดียวเย่จั้นก็พูดว่า “เหนียงเหนียงไม่เป็นอะไรจริงๆ หากไม่ใช่เพราะวิชาการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเหนียงเหนียง คงไม่สามารถจับกุมอาซือหลานได้ง่ายเช่นนี้”เย่จั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กับเย่จิ่งอวี้ เย่จิ่งอวี้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก“นางใช้พิณตัวนั้นในโรงเตี๊ยมบรรเลงบทเพลงงั้นหรือ?”เย่จั้นถามขึ้น “ฝ่าบาทรู้จักพิณตัวนั้นด้วยหรือ?”เย่จิ่งอวี้กระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “หีบพิณนั่นถูกเปิดมาสองครั้ง ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”เมื่อนึกถึงเสียงดีดพิณราวกับลาร้องในครั้งก่อน เย่จิ่งอวี้ก็หน้าแดงเล็กน้อยเขาเคยคิดจะกลับไปเล่นพิณตัวนั้นอีกครั้ง แต่ไม่นานหลังจากน้ันฮ่องเต้องค์ก่อนทรงสวรรคต ตัวเองได้ขึ้นครองราชย์ และมีงานราษฎร์งานหลวงอีกเป็นกอง ทำให้แยกตัวออกไปได้ยากทันใดนั้นเย่จั้นก็นึกได้ว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะครองราชย์ เคยถูกขนานนามว่าท่านอ๋องแห่งความสุดยอดท
เย่จิ่งอวี้หัวเราะร่าเสียงดังอย่างอดไม่ได้“พูดดีทีเดียว”เขาก้าวเข้าไปในถังไม้ และรู้สึกว่าน้ำเย็นชุ่มชื่นเมื่อสัมผัสร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึกหนาว มันมีความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ“น้ำนี่แปลกจริงเชียว”อินชิงเสวียนแอบหันกลับไปเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าเขานั่งลงในถังแล้ว จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “มีสิ่งใดน่าแปลกหรือเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในความเย็นชุ่มชื่นกลับมีความอบอุ่น แม้มีความเย็นเฉียบ แต่ยังให้ความรู้สึกถึงความร้อน”อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มมุมปาก เขาพรรณนาได้ดีทีเดียว มันเป็นความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆอุณหภูมิของน้ำพุวิญญาณอาจทำให้คนรู้สึกขัดแย้งกัน แต่กลับสบายเป็นอย่างมากนางแขวนเสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้ ยิ้มและพูดว่า “ฝ่าบาทชอบก็ดีแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า “พอได้แช่น้ำนี้แล้ว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกง่วง”“เช่นนั้นก็หลับสักครู่เถอะเพคะ”อินชิงเสวียนมาที่ด้านหลังของเย่จิ่งอวี้ นำเส้นผมที่ชุ่มน้ำของเขาไว้ด้านนอกถัง และหยิบหมอนมาหนึ่งใบเพื่อให้เขาพิงเมื่อถูกอินชิงเสวียนจัดทรงผมให้ เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งรู้สึกง่วงจนลืมตาไม่ขึ
ณ คุกหลวงทันทีที่เข้าไปในประตูก็จะเห็นทางเดินที่ยาวมาก อากาศเย็นและชื้นลอยมากระทบใบหน้า พร้อมกับกลิ่นเลือดจางๆ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งอินชิงเสวียนมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อก่อนเคยได้ยินเสี่ยวอานจื่อบอกว่า คุกหลวงในวังน่ากลัวเสียยิ่งกว่าคุกที่ขึ้นตรงกับกรมยุติธรรมเสียอีก เมื่อได้เห็นในวันนี้ ชเครื่องมือทรมานนักโทษวางให้เห็นอยู่เต็มไปหมด เครื่องมือทุกชิ้นเต็มไปด้วยรอยเลือด เมื่ออินชิงเสวียนได้เห็นก็รู้สึกใจสั่นเย่จิ่งอวี้จับมือที่เย็นเล็กน้อยของนางไว้ ออกแรงบีบเล็กน้อยราวกับกำลังพูดบางอย่างกับนางวางใจ ข้าอยู่ตรงนี้!อินชิงเสวียนหันไปมองเย่จิ่งอวี้อย่างอดไม่ได้ เย่จิ่งอวี้กันไปพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็ปล่อยมือและรีบเดินเข้าไปในห้องทรมานเย่จั้นยืนอยู่กลางห้อง บนกายยังคงสวมเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับความสกปรกในห้องทรมานด้านหน้าของเย่จั้นมีเก้าอี้เหล็กสี่ตัววางไว้อยู่ มีคนถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้แต่ละตัว คนเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อผ้าหยาบๆ และมีรูปร่างหน้าธรรมดาไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปสี่คนนี้ก็คือคนที่บุกเข้าไปใ
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนโมโหจนหน้าซีดขาว เย่จิ่งอวี้ก็เลิกสังสัยหากนางมีความสัมพันธ์กับเขา เหตุใดนางจึงโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้แม้เขารู้ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงความเท็จ แต่ยังคงรู้สึกขยะแขยงเขาพยายามไม่คิดมาก แต่หัวใจของเขายังคงรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินติดอยู่ ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากอาซือหลานคิดจะพูดต่อ เย่จั้นจึงรีบเอาผ้าโสโครกยัดปากของเขาไว้ “ฝ่าบาทอย่าได้คล้อยตามเขา เขากำลังอ้อนวอนหาความตาย เพื่อเพิ่มความขัดแย้งระหว่างต้าโจวกับเจียงวูให้รุนแรงมากขึ้น หากฝ่าบาทฆ่าเขาด้วยความโกรธแค้น เช่นนั้นก็จะตกหลุมพรางของเขา”เย่จิ่งอวี้ตอบรับเสียงขรึมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นำบุคคลนี้ไปใส่รถคุมขังนักโทษ และแห่ไปตามถนนสามวัน บอกว่าเขาเป็นสายลับของเจียงวู ปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น แทรกซึมเข้ามาในต้าโจวเพื่อสืบหาข่าวกรอง วันนี้ได้ถูกจับตัวแล้ว สามวันหลังจากนี้จะถูกฆ่าตัดคอและเสียบประจาน ราชกิจเช้าในวันพรุ่งนี้ ข้าจะกลับคำพิพากษาให้แก่ตระกูลอินด้วยตัวเอง”เขาคลายเสียงลงเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เสด็จอาโปรดสานต่อด้วย อย่าได้ละเว้นความผิดโจรสุนัขเหล่านี้ ข้ารู้สึกไม่สบาย
ยายหลี่ตกใจในทันที“หรือ… หรือว่ากำไลนี้เป็นของปลอม?”อินชิงเสวียนจึงรีบถอดกำไลออกเพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงร้องโวยวาย จึงให้ลูกเป็ดสีเหลืองที่ส่งเสียงได้สองตัวกับเขาจากนั้นก็หยิบกำไลขึ้นมาไว้ในมือเพื่อตรวจอย่างละเอียด จู่ๆ ก็พบว่ากำไลไม่ได้หลอมรวมกัน ตรงกลางยังมีจุดต่อกัน อินชิงเสวียนดึงตัวต่อออก มีผงสีดำร่วงมาจากด้านในเล็กน้อยทันที พร้อมกลิ่นหอมที่อ่อนมากๆยายหลี่ตกใจและพูดขึ้น “นี่ นี่คืออะไรกัน?”อวิ๋นฉ่ายก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ“หรือองค์หญิงจะทำร้ายองค์ชายน้อยของพวกเราเพคะ?”อินชิงเสวียนเทผงสีดำออกมาจากกำไลทั้งสองวงจนหมด และยื่นให้เสี่ยวอานจื่อพูดกำชับด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมหนักแน่น “เจ้าไปถามหมอหลวงเหลียงที่สำนักหมอหลวง ให้เขาดูว่าสิ่งนี้คืออะไร อย่าให้ใครพบเข้าเด็ดขาด แต่หากมีคนพบเข้า ก็บอกว่าไปรับยาไล่มดแมลงที่ใช้เป็นประจำ”“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวอานจื่อรับถุงยาแล้ววิ่งไปทันที อินชิงเสวียนก้มหน้ามองเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นว่ายังคงปกติดี จึงสบายใจขึ้นเล็กน้อยเสี่ยวหนานเฟิงกลับดูเหมือนจะชอบกำไลคู่นี้มาก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือไว้ก็อ้ามือน้อย
หลี่เต๋อฝูยืนอยู่หน้าประตูตำหนักด้านใน เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รีบเดิยเข้ามาทันทีพูดขึ้นเสียงเบาว่า “กระหม่อมถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง”อินชิงเสวียนถาม “พระสนมสวีอยู่ด้านในหรือ?”หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป็นผู้ดีดพิณ กระหม่อมเห็นว่าอารมณ์ของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก เหนียงเหนียงมาถึงแล้ว ทรงเข้าไปปลอบหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าจะพยายาม”เมื่อได้ยินว่าผู้ดีดพิณคือเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็โล่งใจ แต่ก็เกินความคาดหมายเช่นกันผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่สามารถบรรเลงบทเพลงประเภทนี้ออกมาแน่นอน มีเพียงผู้ที่เคยผ่านสนามรบจริงเท่านั้น จึงจะสามารถบรรเลงบทเพลงขี่ม้าข้ามแม่น้ำ พลังอาฆาตแค้นที่เหนือกว่าผู้ใดนางสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าตำหนักด้านในจึงได้พบเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ข้างๆ พิณโบราณ วินาทีถัดจากนั้น เสียงพิณก็หยุดลงเย่จิ่งอวี้เงยใบหน้าที่หล่อเหลาขึ้นมา มองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างประตูทางเข้าดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้าสองก้าว พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทกลับแล
ครั้งนี้?ฮ่องเต้น้อยคงไม่คิดจะนอนร่วมเตียงกับนางใช่ไหม?เมื่อนึกถึงคืนนั้นของเขาและเจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนก็ขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้ นางรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก“ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องอย่างว่า ฝ่าบาทต้องพักฟื้นพระวรกายให้ดีเสียก่อน มิเช่นนั้นจะมีอาการอื่นตามมาได้”เมื่อเห็นท่าทีของนางตกใจราวกระต่ายตื่นตูม เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปาก“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ข้าหายดีแล้วจึงจะไปหาเจ้า”อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้น “หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ฝ่าบาททรงมโนไปเองทั้งหมด หม่อมฉันออกมานานแล้ว ต้องกลับก่อนนะเพคะ”เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย ยื่นมือไปจับอินชิงเสวียนไว้ และถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “มโน? หมายความว่าอย่างไร?”“หมายถึงทรงใช้ความคิดมากไปเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งไว้เพียงเย่จิ่งอวี้ที่ยังทำหน้างุนงงเขาใช้ความคิดมากไปงั้นหรือ?ในระหว่างที่กำลังคิด อินชิงเสวียนก็กลับมาอีกครั้งนางยืนอยู่ที่หน้าประตู และพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันขอละลาบละล้วงนะเพคะ หม่อมฉันอยากยืมพิณของฝ่าบาทสักหน่อย ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”นี่เป็นความคิดที่ก
ตอนนั้นอินชิงเสวียนก็เคยดูละครเจินหวนจอมนางคู่แผ่นดินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงรู้ว่าต้นยี่โถคือไม้ที่มีพิษเสี่ยวหนานเฟิงอายุเพียงเท่านี้ เป็นวัยที่กำลังชอบกัดสิ่งของ หากกลืนผงดอกไม้เข้าไปในปาก แทบไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ตามมาอีกทั้งวันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงเพิ่งถูกพิษไปครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าความต้านทานต่อพิษของเสี่ยวหนานเฟิง ยังไม่สามารถเทียบเท่าผู้ใหญ่ได้ แม้น้ำพุวิญญาณจะช่วยได้ แต่ลูกก็ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเช่นกันเมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาก็เย็นชาลงนางไม่เคยไปหาเรื่องไทเฮาเลยแม้แต่น้อย นางกลับบีบนางในทุกย่างก้าว คงเป็นเพราะไทเฮาคิดว่านางกลัวจริงๆสายตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ใบหน้าที่หล่อเหลาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง“ไทเฮาโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ คงคิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษนาง ทหาร ไปที่ตำหนักฉือหนิง”อินชิงเสวียนรีบห้ามเย่จิ่งอวี้ไว้“แม้ฝ่าบาทไปแล้ว ก็ไม่อาจลงโทษนางได้ ตอนนี้ผงยาพิษในกำไลก็ถูกเทออกมาหมดแล้ว ไทเฮาไม่มีทางยอมรับผิดแน่นอนเพคะ หรืออาจจะโยนความผิดให้แก่องค์หญิงไห่ถัง หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นการลำบากผู้อื่นเสียเปล่า”เย่จิ่งอวี้เขม็งสายตาแน่น “เสวียนเอ
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง
“แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ