“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เป็นเพราะใช้กำลังภายใน จึงมีอาการตามมาเล็กน้อย พักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็นั่งลงที่ศาลาด้านข้าง อ่อนเพลียมากเลยจริงๆ ตอนนี้นางเพียงอยากนอนหลับเท่านั้น และไม่อยากขยับแม้เพียงนิดเดียวเย่จั้นก็พูดว่า “เหนียงเหนียงไม่เป็นอะไรจริงๆ หากไม่ใช่เพราะวิชาการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเหนียงเหนียง คงไม่สามารถจับกุมอาซือหลานได้ง่ายเช่นนี้”เย่จั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กับเย่จิ่งอวี้ เย่จิ่งอวี้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก“นางใช้พิณตัวนั้นในโรงเตี๊ยมบรรเลงบทเพลงงั้นหรือ?”เย่จั้นถามขึ้น “ฝ่าบาทรู้จักพิณตัวนั้นด้วยหรือ?”เย่จิ่งอวี้กระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “หีบพิณนั่นถูกเปิดมาสองครั้ง ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”เมื่อนึกถึงเสียงดีดพิณราวกับลาร้องในครั้งก่อน เย่จิ่งอวี้ก็หน้าแดงเล็กน้อยเขาเคยคิดจะกลับไปเล่นพิณตัวนั้นอีกครั้ง แต่ไม่นานหลังจากน้ันฮ่องเต้องค์ก่อนทรงสวรรคต ตัวเองได้ขึ้นครองราชย์ และมีงานราษฎร์งานหลวงอีกเป็นกอง ทำให้แยกตัวออกไปได้ยากทันใดนั้นเย่จั้นก็นึกได้ว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะครองราชย์ เคยถูกขนานนามว่าท่านอ๋องแห่งความสุดยอดท
เย่จิ่งอวี้หัวเราะร่าเสียงดังอย่างอดไม่ได้“พูดดีทีเดียว”เขาก้าวเข้าไปในถังไม้ และรู้สึกว่าน้ำเย็นชุ่มชื่นเมื่อสัมผัสร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึกหนาว มันมีความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ“น้ำนี่แปลกจริงเชียว”อินชิงเสวียนแอบหันกลับไปเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าเขานั่งลงในถังแล้ว จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “มีสิ่งใดน่าแปลกหรือเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในความเย็นชุ่มชื่นกลับมีความอบอุ่น แม้มีความเย็นเฉียบ แต่ยังให้ความรู้สึกถึงความร้อน”อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มมุมปาก เขาพรรณนาได้ดีทีเดียว มันเป็นความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆอุณหภูมิของน้ำพุวิญญาณอาจทำให้คนรู้สึกขัดแย้งกัน แต่กลับสบายเป็นอย่างมากนางแขวนเสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้ ยิ้มและพูดว่า “ฝ่าบาทชอบก็ดีแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า “พอได้แช่น้ำนี้แล้ว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกง่วง”“เช่นนั้นก็หลับสักครู่เถอะเพคะ”อินชิงเสวียนมาที่ด้านหลังของเย่จิ่งอวี้ นำเส้นผมที่ชุ่มน้ำของเขาไว้ด้านนอกถัง และหยิบหมอนมาหนึ่งใบเพื่อให้เขาพิงเมื่อถูกอินชิงเสวียนจัดทรงผมให้ เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งรู้สึกง่วงจนลืมตาไม่ขึ
ณ คุกหลวงทันทีที่เข้าไปในประตูก็จะเห็นทางเดินที่ยาวมาก อากาศเย็นและชื้นลอยมากระทบใบหน้า พร้อมกับกลิ่นเลือดจางๆ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งอินชิงเสวียนมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อก่อนเคยได้ยินเสี่ยวอานจื่อบอกว่า คุกหลวงในวังน่ากลัวเสียยิ่งกว่าคุกที่ขึ้นตรงกับกรมยุติธรรมเสียอีก เมื่อได้เห็นในวันนี้ ชเครื่องมือทรมานนักโทษวางให้เห็นอยู่เต็มไปหมด เครื่องมือทุกชิ้นเต็มไปด้วยรอยเลือด เมื่ออินชิงเสวียนได้เห็นก็รู้สึกใจสั่นเย่จิ่งอวี้จับมือที่เย็นเล็กน้อยของนางไว้ ออกแรงบีบเล็กน้อยราวกับกำลังพูดบางอย่างกับนางวางใจ ข้าอยู่ตรงนี้!อินชิงเสวียนหันไปมองเย่จิ่งอวี้อย่างอดไม่ได้ เย่จิ่งอวี้กันไปพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็ปล่อยมือและรีบเดินเข้าไปในห้องทรมานเย่จั้นยืนอยู่กลางห้อง บนกายยังคงสวมเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับความสกปรกในห้องทรมานด้านหน้าของเย่จั้นมีเก้าอี้เหล็กสี่ตัววางไว้อยู่ มีคนถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้แต่ละตัว คนเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อผ้าหยาบๆ และมีรูปร่างหน้าธรรมดาไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปสี่คนนี้ก็คือคนที่บุกเข้าไปใ
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนโมโหจนหน้าซีดขาว เย่จิ่งอวี้ก็เลิกสังสัยหากนางมีความสัมพันธ์กับเขา เหตุใดนางจึงโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้แม้เขารู้ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงความเท็จ แต่ยังคงรู้สึกขยะแขยงเขาพยายามไม่คิดมาก แต่หัวใจของเขายังคงรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินติดอยู่ ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากอาซือหลานคิดจะพูดต่อ เย่จั้นจึงรีบเอาผ้าโสโครกยัดปากของเขาไว้ “ฝ่าบาทอย่าได้คล้อยตามเขา เขากำลังอ้อนวอนหาความตาย เพื่อเพิ่มความขัดแย้งระหว่างต้าโจวกับเจียงวูให้รุนแรงมากขึ้น หากฝ่าบาทฆ่าเขาด้วยความโกรธแค้น เช่นนั้นก็จะตกหลุมพรางของเขา”เย่จิ่งอวี้ตอบรับเสียงขรึมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นำบุคคลนี้ไปใส่รถคุมขังนักโทษ และแห่ไปตามถนนสามวัน บอกว่าเขาเป็นสายลับของเจียงวู ปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น แทรกซึมเข้ามาในต้าโจวเพื่อสืบหาข่าวกรอง วันนี้ได้ถูกจับตัวแล้ว สามวันหลังจากนี้จะถูกฆ่าตัดคอและเสียบประจาน ราชกิจเช้าในวันพรุ่งนี้ ข้าจะกลับคำพิพากษาให้แก่ตระกูลอินด้วยตัวเอง”เขาคลายเสียงลงเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เสด็จอาโปรดสานต่อด้วย อย่าได้ละเว้นความผิดโจรสุนัขเหล่านี้ ข้ารู้สึกไม่สบาย
ยายหลี่ตกใจในทันที“หรือ… หรือว่ากำไลนี้เป็นของปลอม?”อินชิงเสวียนจึงรีบถอดกำไลออกเพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงร้องโวยวาย จึงให้ลูกเป็ดสีเหลืองที่ส่งเสียงได้สองตัวกับเขาจากนั้นก็หยิบกำไลขึ้นมาไว้ในมือเพื่อตรวจอย่างละเอียด จู่ๆ ก็พบว่ากำไลไม่ได้หลอมรวมกัน ตรงกลางยังมีจุดต่อกัน อินชิงเสวียนดึงตัวต่อออก มีผงสีดำร่วงมาจากด้านในเล็กน้อยทันที พร้อมกลิ่นหอมที่อ่อนมากๆยายหลี่ตกใจและพูดขึ้น “นี่ นี่คืออะไรกัน?”อวิ๋นฉ่ายก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ“หรือองค์หญิงจะทำร้ายองค์ชายน้อยของพวกเราเพคะ?”อินชิงเสวียนเทผงสีดำออกมาจากกำไลทั้งสองวงจนหมด และยื่นให้เสี่ยวอานจื่อพูดกำชับด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมหนักแน่น “เจ้าไปถามหมอหลวงเหลียงที่สำนักหมอหลวง ให้เขาดูว่าสิ่งนี้คืออะไร อย่าให้ใครพบเข้าเด็ดขาด แต่หากมีคนพบเข้า ก็บอกว่าไปรับยาไล่มดแมลงที่ใช้เป็นประจำ”“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวอานจื่อรับถุงยาแล้ววิ่งไปทันที อินชิงเสวียนก้มหน้ามองเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นว่ายังคงปกติดี จึงสบายใจขึ้นเล็กน้อยเสี่ยวหนานเฟิงกลับดูเหมือนจะชอบกำไลคู่นี้มาก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือไว้ก็อ้ามือน้อย
หลี่เต๋อฝูยืนอยู่หน้าประตูตำหนักด้านใน เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รีบเดิยเข้ามาทันทีพูดขึ้นเสียงเบาว่า “กระหม่อมถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง”อินชิงเสวียนถาม “พระสนมสวีอยู่ด้านในหรือ?”หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป็นผู้ดีดพิณ กระหม่อมเห็นว่าอารมณ์ของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก เหนียงเหนียงมาถึงแล้ว ทรงเข้าไปปลอบหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าจะพยายาม”เมื่อได้ยินว่าผู้ดีดพิณคือเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็โล่งใจ แต่ก็เกินความคาดหมายเช่นกันผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่สามารถบรรเลงบทเพลงประเภทนี้ออกมาแน่นอน มีเพียงผู้ที่เคยผ่านสนามรบจริงเท่านั้น จึงจะสามารถบรรเลงบทเพลงขี่ม้าข้ามแม่น้ำ พลังอาฆาตแค้นที่เหนือกว่าผู้ใดนางสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าตำหนักด้านในจึงได้พบเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ข้างๆ พิณโบราณ วินาทีถัดจากนั้น เสียงพิณก็หยุดลงเย่จิ่งอวี้เงยใบหน้าที่หล่อเหลาขึ้นมา มองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างประตูทางเข้าดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้าสองก้าว พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทกลับแล
ครั้งนี้?ฮ่องเต้น้อยคงไม่คิดจะนอนร่วมเตียงกับนางใช่ไหม?เมื่อนึกถึงคืนนั้นของเขาและเจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนก็ขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้ นางรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก“ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องอย่างว่า ฝ่าบาทต้องพักฟื้นพระวรกายให้ดีเสียก่อน มิเช่นนั้นจะมีอาการอื่นตามมาได้”เมื่อเห็นท่าทีของนางตกใจราวกระต่ายตื่นตูม เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปาก“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ข้าหายดีแล้วจึงจะไปหาเจ้า”อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้น “หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ฝ่าบาททรงมโนไปเองทั้งหมด หม่อมฉันออกมานานแล้ว ต้องกลับก่อนนะเพคะ”เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย ยื่นมือไปจับอินชิงเสวียนไว้ และถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “มโน? หมายความว่าอย่างไร?”“หมายถึงทรงใช้ความคิดมากไปเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งไว้เพียงเย่จิ่งอวี้ที่ยังทำหน้างุนงงเขาใช้ความคิดมากไปงั้นหรือ?ในระหว่างที่กำลังคิด อินชิงเสวียนก็กลับมาอีกครั้งนางยืนอยู่ที่หน้าประตู และพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันขอละลาบละล้วงนะเพคะ หม่อมฉันอยากยืมพิณของฝ่าบาทสักหน่อย ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”นี่เป็นความคิดที่ก
ตอนนั้นอินชิงเสวียนก็เคยดูละครเจินหวนจอมนางคู่แผ่นดินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงรู้ว่าต้นยี่โถคือไม้ที่มีพิษเสี่ยวหนานเฟิงอายุเพียงเท่านี้ เป็นวัยที่กำลังชอบกัดสิ่งของ หากกลืนผงดอกไม้เข้าไปในปาก แทบไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ตามมาอีกทั้งวันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงเพิ่งถูกพิษไปครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าความต้านทานต่อพิษของเสี่ยวหนานเฟิง ยังไม่สามารถเทียบเท่าผู้ใหญ่ได้ แม้น้ำพุวิญญาณจะช่วยได้ แต่ลูกก็ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเช่นกันเมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาก็เย็นชาลงนางไม่เคยไปหาเรื่องไทเฮาเลยแม้แต่น้อย นางกลับบีบนางในทุกย่างก้าว คงเป็นเพราะไทเฮาคิดว่านางกลัวจริงๆสายตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ใบหน้าที่หล่อเหลาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง“ไทเฮาโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ คงคิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษนาง ทหาร ไปที่ตำหนักฉือหนิง”อินชิงเสวียนรีบห้ามเย่จิ่งอวี้ไว้“แม้ฝ่าบาทไปแล้ว ก็ไม่อาจลงโทษนางได้ ตอนนี้ผงยาพิษในกำไลก็ถูกเทออกมาหมดแล้ว ไทเฮาไม่มีทางยอมรับผิดแน่นอนเพคะ หรืออาจจะโยนความผิดให้แก่องค์หญิงไห่ถัง หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นการลำบากผู้อื่นเสียเปล่า”เย่จิ่งอวี้เขม็งสายตาแน่น “เสวียนเอ