หลี่เต๋อฝูยืนอยู่หน้าประตูตำหนักด้านใน เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รีบเดิยเข้ามาทันทีพูดขึ้นเสียงเบาว่า “กระหม่อมถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง”อินชิงเสวียนถาม “พระสนมสวีอยู่ด้านในหรือ?”หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป็นผู้ดีดพิณ กระหม่อมเห็นว่าอารมณ์ของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก เหนียงเหนียงมาถึงแล้ว ทรงเข้าไปปลอบหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าจะพยายาม”เมื่อได้ยินว่าผู้ดีดพิณคือเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็โล่งใจ แต่ก็เกินความคาดหมายเช่นกันผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่สามารถบรรเลงบทเพลงประเภทนี้ออกมาแน่นอน มีเพียงผู้ที่เคยผ่านสนามรบจริงเท่านั้น จึงจะสามารถบรรเลงบทเพลงขี่ม้าข้ามแม่น้ำ พลังอาฆาตแค้นที่เหนือกว่าผู้ใดนางสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าตำหนักด้านในจึงได้พบเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ข้างๆ พิณโบราณ วินาทีถัดจากนั้น เสียงพิณก็หยุดลงเย่จิ่งอวี้เงยใบหน้าที่หล่อเหลาขึ้นมา มองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างประตูทางเข้าดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้าสองก้าว พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทกลับแล
ครั้งนี้?ฮ่องเต้น้อยคงไม่คิดจะนอนร่วมเตียงกับนางใช่ไหม?เมื่อนึกถึงคืนนั้นของเขาและเจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนก็ขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้ นางรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก“ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องอย่างว่า ฝ่าบาทต้องพักฟื้นพระวรกายให้ดีเสียก่อน มิเช่นนั้นจะมีอาการอื่นตามมาได้”เมื่อเห็นท่าทีของนางตกใจราวกระต่ายตื่นตูม เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปาก“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ข้าหายดีแล้วจึงจะไปหาเจ้า”อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้น “หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ฝ่าบาททรงมโนไปเองทั้งหมด หม่อมฉันออกมานานแล้ว ต้องกลับก่อนนะเพคะ”เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย ยื่นมือไปจับอินชิงเสวียนไว้ และถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “มโน? หมายความว่าอย่างไร?”“หมายถึงทรงใช้ความคิดมากไปเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งไว้เพียงเย่จิ่งอวี้ที่ยังทำหน้างุนงงเขาใช้ความคิดมากไปงั้นหรือ?ในระหว่างที่กำลังคิด อินชิงเสวียนก็กลับมาอีกครั้งนางยืนอยู่ที่หน้าประตู และพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันขอละลาบละล้วงนะเพคะ หม่อมฉันอยากยืมพิณของฝ่าบาทสักหน่อย ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”นี่เป็นความคิดที่ก
ตอนนั้นอินชิงเสวียนก็เคยดูละครเจินหวนจอมนางคู่แผ่นดินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงรู้ว่าต้นยี่โถคือไม้ที่มีพิษเสี่ยวหนานเฟิงอายุเพียงเท่านี้ เป็นวัยที่กำลังชอบกัดสิ่งของ หากกลืนผงดอกไม้เข้าไปในปาก แทบไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ตามมาอีกทั้งวันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงเพิ่งถูกพิษไปครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าความต้านทานต่อพิษของเสี่ยวหนานเฟิง ยังไม่สามารถเทียบเท่าผู้ใหญ่ได้ แม้น้ำพุวิญญาณจะช่วยได้ แต่ลูกก็ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเช่นกันเมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาก็เย็นชาลงนางไม่เคยไปหาเรื่องไทเฮาเลยแม้แต่น้อย นางกลับบีบนางในทุกย่างก้าว คงเป็นเพราะไทเฮาคิดว่านางกลัวจริงๆสายตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ใบหน้าที่หล่อเหลาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง“ไทเฮาโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ คงคิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษนาง ทหาร ไปที่ตำหนักฉือหนิง”อินชิงเสวียนรีบห้ามเย่จิ่งอวี้ไว้“แม้ฝ่าบาทไปแล้ว ก็ไม่อาจลงโทษนางได้ ตอนนี้ผงยาพิษในกำไลก็ถูกเทออกมาหมดแล้ว ไทเฮาไม่มีทางยอมรับผิดแน่นอนเพคะ หรืออาจจะโยนความผิดให้แก่องค์หญิงไห่ถัง หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นการลำบากผู้อื่นเสียเปล่า”เย่จิ่งอวี้เขม็งสายตาแน่น “เสวียนเอ
เมื่อได้ยินเสียงทะลุฝ่าอากาศ กวนฮั่นหลินก็หันกลับมาโดยไม่รู้ตัว และดาบเล่มใหญ่ก็เสียบเข้าไปในอกของเขาพลังที่มหาศาลแทงกวนฮั่นหลินเข้าไปได้ตรงๆ ดาบเล่มใหญ่แทงทะลุออกมาจากด้านหลังกวนฮั่นหลินถอยคกรูดสามก้าว สีหน้าซีดขาวในทันที“เซี่ยวเอ๋อร์ เจ้า...”กวนเซี่ยวส่งเสียงเย้ยหยัน“เป็นเพราะท่านมีใจภักดีต่อต้าโจว และทำให้ท่านพ่อของข้าตายอย่างอนาถ นี่คือสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ”เมื่อเขาหมุนข้อมือ ตัวดาบที่เต็มไปด้วยเนื้อหนังก็ถูกกวนให้รวมกันในร่างกายของกวนฮั่นหลินทันทีความเจ็บปวดบนร่างกาย กลับน้อยกว่าความเจ็บปวดในใจจอมพลเฒ่ามองหน้ากวนเซี่ยวด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่มีทางเข้าใจเลยว่าเหตุใดหลานชายจึงเกลียดตัวเองได้?ในฐานะจอมพล เขาสมควรรับใช้ชาติ เขาเชื่อว่าลูกชายของเขายอมตายโดยไม่เสียใจ และเขาก็เป็นเช่นนั้น!“ตายเสียเถอะ”กวนเซี่ยวใช้เท้าถีบจอมพลเฒ่ากวนกระเด็น และชักดาบออกมาจอมพลเฒ่าจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ร่างของเขาล้มลงบนพื้นอย่างรุนแรงเขามองบนท้องฟ้า น้ำตาขุ่นมัวไหลออกมาจากหางตาของเขา และถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจเข้าใจได้ “เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด?”กวนเซี่ยวถือด
“เป็นอย่างไรบ้าง?”เย่จิ่งอวี้เดินมาด้านหน้าเตียง และถามด้วยน้ำเสียงรีบร้อนหมอหลวงเหลียงส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้“จอมพลเฒ่าบาดเจ็บสาหัสมาก เกรงว่าจะทำการรักษาได้ยาก”เมื่อนึกถึงวันที่จอมพลเฒ่ามอบจี้หยกให้ตัวเอง อินชิงเสวียนดวงตาแดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้จู่ๆ นางก็นึกถึงเย่จิ่งหลาน จึงรีบพูดว่า “ฝ่าบาท อาจมีใครคนหนึ่งที่สามารถรักษาจอมพลเฒ่าได้”“ผู้ใด?”“ฝูอี้อ๋อง”“เขา?”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วหากเขาจำไม่ผิด เสด็จน้องผู้นี้มีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น อีกทั้งเขายังไม่เคยร่ำเรียนกับหมอหลวง จะมีวิชาการแพทย์ชั้นสูงขนาดนั้นได้อย่างไรเมื่ออยู่ในภาวะฉุกเฉิน อินชิงเสวียนไม่มีเวลามาอธิบาย“หมอหลวงได้โปรดพยายามอย่างที่สุดก่อน รักษาการเต้นของหัวใจให้กับท่านอาจารย์ไว้ ข้าจะไปตามฝูอี้อ๋องเดี๋ยวนี้”เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา นางแลกความเร็วห้านาทีจากในมิติ ทันทีที่นางก้าวออกจากทาง ร่างของนางก็หายตัวไปทิ้งไว้เพียงคนในห้องที่มีสีหน้าประหลาดใจวิชาร่างของเหยาเฟยเหนียงเหนียง รวดเร็วได้เพียงนี้เชียวหรือ?พวกเขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่?เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเป็นอย่างมาก วิชาร่าง
คนในเงามืดตกใจเล็กน้อย“ท่านคือ... ท่านอ๋องถูหย่าลาจี๋เล่อ?”คนนั้นหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “เสนากวนตาถึงจริงๆ”ร่างในเงามืดเดินออกมาที่สว่าง และเขาก็คือเสนากวนเมิ่งถิงของต้าโจวเมื่อเห็นอาซือหลาน กวนเมิ่งถิงก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้“ไม่นึกว่าท่านอ๋องจะอยู่ในเมืองหลวงจริงๆ”อาซือหลานพูดขึ้นด้วยความเหน็บแนม “ข้าเองก็นึกไม่ถึง ว่าผู้ที่แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเองไม่มีกับเจียงวูมาโดยตลอด จะเป็นเสนาของแคว้นโจว”กวนเมิ่งถิงพูดด้วยสีหน้าปกติว่า “มีคำกล่าวมาตั้งแต่โบราณว่า ผู้รู้สถานการณ์แผ่นดินนั้นเรียกว่าเป็นยอดบุรุษ ข้าก็อยากเป็นยอดบุรุษผู้รู้สถานการณ์เช่นกัน”เขาโบกมือ คนรับใช้ก็เข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับปิดประตูอาซือหลานเหลือบมองกวนเมิ่งถิงด้วยใบหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดลากเสียงยาวว่า “เรื่องนี้ก็พอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ตอนนี้เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ท่านเสนาก็เหลือเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น ไม่แปลกที่จะไม่พึงพอใจ เพียงแต่น่าเสียดายที่ท่านเสนาไม่ได้ประสบความสำเร็จในสิ่งใด หากต้องการได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเจียงวู เกรงว่ายังไม่พอ”กวนเมิ
สำนักหมอหลวงการผ่าตัดของกวนฮั่นหลินยังคงดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดแม้ว่าความสาหัสของจอมพลเฒ่าจะไม่เทียบเท่าบาดแผลถูกแทงที่ทรวงอกของเย่จิ่งอวี้ แต่ความซับซ้อนนั้นมีมากกว่าฮ่องเต้น้อยหลายขุมถึงอย่างไรก็เป็นการทะลุ ด้วยบาดแผลขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องเสียเลือดมากเพียงใด โชคดีที่ในห้องผ่าตัดของเย่จิ่งหลานมีน้ำเลือดหรือพลาสมาอยู่ด้วย หลังจากทำการทดสอบหมู่เลือดแล้ว เขาก็ทำการถ่ายเลือดให้แก่จอมพลเฒ่าได้ทันเวลา เมื่ออินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นถุงน้ำเลือดติดเอาไว้ว่าหมู่เลือดเอ นางลังเลอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ข้าก็มีหมู่เลือดเอเหมือนกัน หากเจ้าต้องการเลือด ข้าสามารถบริจาคให้ได้”นางรู้ดีว่าในสมัยโบราณการหาคนมาบริจาคโลหิตให้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คนในยุคนี้เชื่อว่าทุกอย่างในร่างกายล้วนได้รับมาจากบุพการี ไม่ควรทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือได้ความเสียหายใดๆเย่จิ่งหลานพูดอย่างเป็นปกติธรรมดา “ไม่ต้องห่วง ข้ายังมีน้ำเลือดอยู่อีกเยอะ ถ้าเมื่อไหร่ข้าต้องการจริงๆ ค่อยไปเอาจากเจ้าก็ไม่สาย”“ได้”อินชิงเสวียนใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อให้เย่จิ่งหลาน จากนั้นมองดูเครื่องวัดอัตราการเ
“ระวัง!”อินชิงเสวียนตกตะลึงทว่าเย่จิ่งอวี้ได้เคลื่อนไหวแล้ว เขาโยกตัวหลบมีดสั้นไปด้านข้าง และใช้นิ้วคีบจับมีดสั้นอันคมกริบได้อย่างเหมาะเจาะความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาของเขา แม้แต่ตัวเย่จิ่งอวี้เองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งและความรวดเร็วขนาดนี้จากนั้นเขาก็แค่นเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “บังอาจนัก ถึงกับกล้ามาลอบสังหารข้าถึงในวัง”เมื่อชายคนนั้นเห็นว่ามีดสั้นแทงได้เพียงความว่างเปล่า เขาก็ชักดาบออกมาทันที“ฮ่องเต้โฉด วันนี้คือวันตายของเจ้า!”กระแสเสียงนั้นทั้งแหบห้าวและสิ้นหวัง อินชิงเสวียนฟังไม่ออกได้ว่าเป็นใครในทันทีเย่จิ่งอวี้ตบกระบี่ด้วยฝ่ามือเดียว ชายคนนั้นรู้สึกถึงพลังอันท่วมท้นที่ไหลบ่ามาจากฝ่ามือนั้น จนดาบยาวเกือบจะหลุดมือไปเขาเปลี่ยนมาจับด้วยมือทั้งสองแทน และกระโดดขึ้นฟันในอากาศเย่จิ่งอวี้จำต้องถอยออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “วิชาดาบของตระกูลกวน เจ้าเป็นใครกันแน่”“ไม่ต้องพูดมาก วันนี้ไม่เจ้าก็ข้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”มือทั้งคู่ของชายคนนั้นวาดขึ้นไปในอากาศ และอาศัยพลังนี้พุ่งทะยานไปหาเย่จิ่งอวี้เย่จิ่งอวี้ก็ต้องการทดสอบฝีมือของตัวเองอยู
“หม่อมฉันน้อมถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”อินชิงเสวียนยอบกายน้อยๆ ทำความเคารพอย่างเป็นทางการตามราชประเพณี“ตามสบาย”เย่จิ่งอวี้คว้าตัวอินชิงเสวียนขึ้นเมื่อก่อนที่เคยอยู่ในวังหลวง เย่จิ่งอวี้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าราชบริพารจะกราบถวายบังคมเจ้าเหนือหัว ตอนนี้เมื่อได้เดินทางท่องยุทธภพ กลับรู้สึกว่ามันลำบากยุ่งยากจริงๆ“จากนี้ไปเมื่อเสวียนเอ๋อร์พบข้า ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอีก ส่วนพวกเจ้าเมื่อกลับเข้าวังมาแล้ว เช่นนั้นควรปฏิบัติหน้าที่รับใช้ให้ดี เสวียนเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”เมื่อทั้งหมดรู้ว่าอินชิงเสวียนตั้งครรภ์ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ ในสายตาของพวกเขา การมีลูกหลานมากมายถือเป็นโชควาสนา ทั้งสองพระองค์แต่งงานกันมาเกือบสองปีแล้ว ยังมีแค่เสี่ยวหนานเฟิงคนเดียว ในวังค่อนข้างเงียบเหงาอยู่บ้าง“พวกกระหม่อม/หม่อมฉัน น้อมรับพระบัญชา จะพยายามดูแลพระนางฮองเฮาให้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!”“ดีมาก ออกไปก่อนเถอะ”เย่จิ่งอวี้ถอยห่างจากฝูงชน ดึงอินชิงเสวียนไปที่เก้าอี้“เสวียนเอ๋อร์สวมอาภรณ์ฮองเฮาช่างดูดียิ่งนัก”“ฝ่าบาทก็เช่นกัน ชุดมังกรเหมาะกับท่านมาก”อิ
เมื่อเห็นพวกเขา อินชิงเสวียนก็รู้สึกตื้นตันใจเช่นกัน“เสี่ยวอานจื่อ อวิ๋นฉ่าย อวี้จิ่น ยายหลี่ พวกเจ้าอยู่กันทุกคน วิเศษไปเลย ลุกขึ้นมาพูดคุยกันเร็ว!”อินชิงเสวียนช่วยพยุงทุกคนให้ลุกขึ้น ดวงตาชื้นเมื่อเห็นพวกเขา นางก็พลันหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งข้ามภพมาอยู่ในตำหนักเย็นเป็นครั้งแรก ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน“ฮองเฮา ท่านกลับมาช่างดีจริงๆ!”ทั้งหมดต่างมาห้อมล้อมอินชิงเสวียนไว้ตรงกลาง กอดนางเต็มรัก อินชิงเสวียนก็กอดพวกเขาตอบเช่นกัน ทุกคนต่างวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้าวังระหว่างทาง เสี่ยวอานจื่อก็พูดเจื้อยแจ้ว “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักเย็นถูกรื้อแล้ว ฝ่าบาทสร้างสวนสนุกที่นั่น องค์ชายน้อยมีที่เล่นสนุกแล้ว”อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจ“แล้วคนในตำหนักเย็นล่ะ สวีจือย่วนอยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ”ตอนที่นางจากไปเหมือนว่าสวีจือย่วนยังอยู่ในตำหนักเย็นอยู่เลยยายหลี่ลดเสียงกระซิบว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่า นายหญิงสวีฆ่าตัวตาย ร่างถูกโยนลงในสุสานไร้ญาติ”“อ้อ”อินชิงเสวียนเข้าใจแล้วจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้แม้ว่าจะถูกเย่จิ่งอวี้ประหารอย่างลับๆ แต่ก็นับว่าส
เช้าวันรุ่งขึ้นอินชิงเสวียนออกจากตระกูลอินภายใต้สายตาที่ไม่เต็มใจของทุกคน และผู้ที่คุ้มกันนางกลับวังหลวง ก็คืออินสิงอวิ๋นพี่ชายคนโตเขายังคงหล่อเหลา ทว่านิสัยสุขุมเยือกเย็นมากกว่าปีที่แล้วอินชิงเสวียนเปิดม่านเกี้ยว“พี่ใหญ่ได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการพี่สะใภ้บ้างหรือยัง”อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างอบอุ่น มองอินชิงเสวียนด้วยสายตาแบบเดียวกับเมื่อก่อน มีความเอาใจใส่เล็กน้อย“หาแล้ว คราวนี้ก็ค่อนข้างดี น้ำพุวิญญาณของเจ้า แทบจะให้พี่สะใภ้ดื่มหมด”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ควรเป็นเช่นนี้แล้ว พี่สะใภ้อยู่ไกลบ้าน รอนแรมมาไกลกว่าจะถึงตระกูลอินของเรา เราต้องดูแลนางให้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้นางอุดอู้อยู่บ้านทั้งวัน ถ้าท่านมีเวลาว่าง ควรพานางไปเดินเล่นบ่อยๆ คนท้องจะรู้สึกหดหู่โดยไม่รู้ตัว ถ้ามีท่านอยู่ข้างๆ บางทีนางอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง”“อืม คราวนี้แหละ ข้าควรจะหาเวลาได้แล้วจริงๆ”อินสิงอวิ๋นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก มีหรือที่เขาไม่ต้องการใช้เวลากับเป่าเล่อเอ่อร์ให้มากๆ แต่ในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จนเขาไม่กล้าที่จะหย่อนยานตอนนี้ฝ่าบาทและน้องสาวกลับเมืองหลวงแล้ว ก็เหมือนมีกระดูกสันหลัง ทายาทเฟย
อินชิงเสวียนคำนับทั้งสองคน นางไม่ได้มาจากรัชสมัยนี้ ไม่เห็นความสำคัญของมารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนาง แต่กลับให้ความสำคัญกับจริยธรรมของมนุษย์แม้ว่านางจะยอมรับเหมยชิงเกอ แต่บุญคุณที่ตระกูลอินเลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมมานานกว่าสิบปี ก็ไม่สามารถลืมได้ หากนางไม่รู้สึกขอบคุณผู้มีพระคุณของตัวเอง แล้วจะพูดถึงการมีใจกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างไร“เป็นพ่อหนึ่งวัน ย่อมเป็นพ่อตลอดไป แม่เลี้ยงก็คือแม่แท้ๆ พวกท่านเหมาะสมแล้ว”อินชิงเสวียนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยของอินจ้งนั้นหายไปในทันที จับมือนางแน่นๆ“ดี ดี ลูกสาวคนดี!”ซูหมิงหลานก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน แม้ว่านางจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวแล้ว แต่หากไม่มีอินชิงเสวียน สถานะนี้ก็ไม่สมบูรณ์ อินหลีที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวโน้มน้าวเบาๆ “ท่านพี่พี่สะใภ้ไม่ต้องร้อง หากมีเรื่องอะไรไว้ค่อยกลับไปพูดที่บ้านเถิด เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต”อินจ้งรู้สึกตัวเพราะคำพูดนี้ เห็นผู้คนที่เอาแต่ยืดคอมองมาทางนี้ เขาก็พยักหน้าโดยเร็ว“ถูกต้อง เรากลับไปคุยกันที่บ้านนะ”อินชิงเสวียนดึงเป่าเล่อเอ่อร
ทหารที่อยู่ข้างหน้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นแล้วก็มองเห็นชุดเกราะสีแดงรางๆเฉิงเฟิ่งโหลวสะดุ้งเล็กน้อย นี่...อาจเป็นทหารเปลวเพลิงสีชาดของราชาสงครามอาภรณ์ขาวกระมัง?ถ้ามารับเสด็จฮ่องเต้ เหตุใดจึงสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก?หรือว่าว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง อ๋องสิบสาม...ก่อกบฏ?มือที่กุมกระบี่ของเฉิงเฟิ่งโหลวสั่นเทา เขาดึงสายบังเหียนออกทันที แม้ว่าเจ้านายกับนายหญิงจะมีทักษะวรยุทธ์สูง แต่มือเดียวสู้มือหลายไม่ได้ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาดูสิ้นหวัง “ฝ่าบาท เสด็จขึ้นรถม้าเร็วเข้า”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าทั่วทั้งโลกจะทรยศเขา แต่เสด็จอาจะไม่มีวันทรยศเขา นี่คือความมั่นใจของเขา การสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก ถือเป็นมารยาทสูงสุดของค่ายเปลวเพลิงสีชาดในชั่วพริบตา ทหารม้าขบวนนั้นก็มาถึงเบื้องหน้า พวกเขาควบม้าและเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นแยกออกจากกันเป็นสองทาง เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวชายผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดราวกับหิมะ และเสื้อผ้าพลิ้วไหวดุจดั่งเทพเซียนเขาพลิกตัวลงจากม้า เดินเร็วๆ ไปที่รถม้า สะบัดเสื้อคล
ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวงอินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลาในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วยอายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษาเสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้
ระหว่างเจ้าสำนักเซี่ยวและเจ้าสำนักเฮ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ทว่าระหว่างเซี่ยวอิ่นหวนและลิ่นเซียวนั้นอยู่ในระดับปานกลาง จนแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยบัดนี้เห็นเขาขวางทาง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการตายของศิษย์น้องเฟิ่งอี๋ ทำให้กลายเป็นคนสติเลอะเลือน กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ผ่านการใช้ความคิด เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าใจทันทีว่าเขามีเจตนาอะไรลิ่นเซียวรู้จักนาง พยักหน้าเบาๆ“เฟิ่งอี๋ตายแล้ว ข้ารู้แล้ว”เซี่ยวอิ่นหวนรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่เดิมก็เจ็บปวดจากการพลัดพรากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขาพูดถึงศิษย์น้องที่รักดุจน้องสาว หางตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีริมฝีปากของนางสั่นเทา ลดเสียงลง กดซ่อนความเศร้าไว้ในใจ“ศิษย์พี่ลิ่นควรจะออกมาสู่ความจริงได้แล้ว ถ้าศิษย์น้องอยู่บนสวรรค์มีญาณรับรู้ คงไม่อยากเห็นท่านจมปลักอยู่ที่นี่เพราะนางแน่นอน...”ลิ่นเซียวไม่ต่อคำ แต่พูดต่อว่า “ตาเฒ่าเซี่ยวก็จากไปแล้วเช่นกัน”หัวใจของเซี่ยวอิ่นหวนเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ก้มหน้าสะอื้น“พ่อบุญธรรมเสียชีวิตเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธจักร ไม่ผิดต่อปณิธานที่ก่อตั้งหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”ลิ่นเซียวย
อินชิงเสวียนมอบตั๋วเงินเงินอีกหนึ่งพันตำลึงให้แก่ทั้งสามคน กำชับพวกเขาว่าอย่าใช้ฟุ่มเฟือย หากไม่เจอตัวคน ก็สามารถไปพำนักที่เมืองหลวงได้ทั้งสามพยักหน้าซ้ำๆ ขนของทั้งหมดขึ้นรถม้า และจากไปอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้“นิสัยแบบนี้นี่เข้ากับเย่จิ่งหลานได้เป็นอย่างดี”เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่ทั้งสามคน พูดด้วยรอยยิ้ม “ชาวยุทธ์ ก็ควรจะเป็นอิสระไม่ยึดติดอย่างชาวยุทธ์ นี่แหละคือความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง!”“เช่นนั้นพวกเราก็ควรจากไปอย่างไม่ยึดติดใช่ไหม”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้ ทั้งสองตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ว่าแทนที่จะรอให้พวกเขาสร่างเมา พลัดพรากจากกันด้วยความเป็นความตาย มิสู้จากไปอย่างเงียบๆ “ข้าเชื่อเมียข้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้ผิวปาก เงาสีขาวสองเงาพุ่งออกมาจากระยะไกล ตามมาด้วยรถม้าอินชิงเสวียนตะโกนอย่างมีความสุข“ไป๋เสวี่ย เสี่ยวไป๋!”ไป๋เสวี่ยกางอุ้งเท้าใหญ่ แล้วกอดเอวของอินชิงเสวียนอย่างเสน่หาเสี่ยวไป๋ก็กลิ้งหน้าถูขาของอินชิงเสวียน ซึ่งเป็นการแสดงความใกล้ชิดกับคนที่หาได้ยากอินชิงเสวียนลูบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย จากนั้นลูบหัวของเสี่ยวไป๋
เฮ่อซือจวินออกแรงดึงอินชิงเสวียนขึ้นมา แล้วกอดนางไว้ พูดเสียงสะอื้น “เจ้ายอมรับข้า ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งนัก ชั่วชีวิตนี้จะพยายามดูแลสุขภาพของท่านพ่อและน้าเหมยอย่างเต็มที่”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปใกล้ใบหน้าของนาง แล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านเป็นพี่สาวต่างแม่ของข้า จะแตกต่างจากพี่สาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากท่านอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ไปหาข้าที่เมืองหลวงได้ ข้าจะพาท่านท่องเที่ยวให้สำราญใจแน่นอน”เฮ่อซือจวินพยักหน้าโดยเร็ว“ได้ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน”“สนใจแต่พี่สาวของเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องการพี่ชายแล้วหรือ”เฮ่อฉางเฟิงเดินเข้ามาจากประตู สวมเสื้อคลุมใบไผ่สีเขียวที่ขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลา สง่า และเป็นวีรบุรุษไม่ธรรมดา“ชิงเสวียนคำนับพี่ใหญ่”อินชิงเสวียนโค้งคำนับ เฮ่อฉางเฟิงก็รีบเอื้อมมือไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้อง ไม่ต้องมากพิธี ตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“พรุ่งนี้น่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่กี่วันก็ต้องไปอยู่ดี ฮ่องเต้จากเมืองหลวงมานานเกินไปแล้ว ในใจพะวงถึงอยู่ตลอด ถึงเวลาต้องกลับไปดูแลแล้ว”เฮ่อฉางเฟิงก็ตัดใจจากน้องสาวไม่ได้ และยังไม่อ