เมื่อเห็นอินชิงเสวียนโมโหจนหน้าซีดขาว เย่จิ่งอวี้ก็เลิกสังสัยหากนางมีความสัมพันธ์กับเขา เหตุใดนางจึงโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้แม้เขารู้ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงความเท็จ แต่ยังคงรู้สึกขยะแขยงเขาพยายามไม่คิดมาก แต่หัวใจของเขายังคงรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินติดอยู่ ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากอาซือหลานคิดจะพูดต่อ เย่จั้นจึงรีบเอาผ้าโสโครกยัดปากของเขาไว้ “ฝ่าบาทอย่าได้คล้อยตามเขา เขากำลังอ้อนวอนหาความตาย เพื่อเพิ่มความขัดแย้งระหว่างต้าโจวกับเจียงวูให้รุนแรงมากขึ้น หากฝ่าบาทฆ่าเขาด้วยความโกรธแค้น เช่นนั้นก็จะตกหลุมพรางของเขา”เย่จิ่งอวี้ตอบรับเสียงขรึมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นำบุคคลนี้ไปใส่รถคุมขังนักโทษ และแห่ไปตามถนนสามวัน บอกว่าเขาเป็นสายลับของเจียงวู ปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น แทรกซึมเข้ามาในต้าโจวเพื่อสืบหาข่าวกรอง วันนี้ได้ถูกจับตัวแล้ว สามวันหลังจากนี้จะถูกฆ่าตัดคอและเสียบประจาน ราชกิจเช้าในวันพรุ่งนี้ ข้าจะกลับคำพิพากษาให้แก่ตระกูลอินด้วยตัวเอง”เขาคลายเสียงลงเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เสด็จอาโปรดสานต่อด้วย อย่าได้ละเว้นความผิดโจรสุนัขเหล่านี้ ข้ารู้สึกไม่สบาย
ยายหลี่ตกใจในทันที“หรือ… หรือว่ากำไลนี้เป็นของปลอม?”อินชิงเสวียนจึงรีบถอดกำไลออกเพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงร้องโวยวาย จึงให้ลูกเป็ดสีเหลืองที่ส่งเสียงได้สองตัวกับเขาจากนั้นก็หยิบกำไลขึ้นมาไว้ในมือเพื่อตรวจอย่างละเอียด จู่ๆ ก็พบว่ากำไลไม่ได้หลอมรวมกัน ตรงกลางยังมีจุดต่อกัน อินชิงเสวียนดึงตัวต่อออก มีผงสีดำร่วงมาจากด้านในเล็กน้อยทันที พร้อมกลิ่นหอมที่อ่อนมากๆยายหลี่ตกใจและพูดขึ้น “นี่ นี่คืออะไรกัน?”อวิ๋นฉ่ายก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ“หรือองค์หญิงจะทำร้ายองค์ชายน้อยของพวกเราเพคะ?”อินชิงเสวียนเทผงสีดำออกมาจากกำไลทั้งสองวงจนหมด และยื่นให้เสี่ยวอานจื่อพูดกำชับด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมหนักแน่น “เจ้าไปถามหมอหลวงเหลียงที่สำนักหมอหลวง ให้เขาดูว่าสิ่งนี้คืออะไร อย่าให้ใครพบเข้าเด็ดขาด แต่หากมีคนพบเข้า ก็บอกว่าไปรับยาไล่มดแมลงที่ใช้เป็นประจำ”“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวอานจื่อรับถุงยาแล้ววิ่งไปทันที อินชิงเสวียนก้มหน้ามองเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นว่ายังคงปกติดี จึงสบายใจขึ้นเล็กน้อยเสี่ยวหนานเฟิงกลับดูเหมือนจะชอบกำไลคู่นี้มาก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือไว้ก็อ้ามือน้อย
หลี่เต๋อฝูยืนอยู่หน้าประตูตำหนักด้านใน เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รีบเดิยเข้ามาทันทีพูดขึ้นเสียงเบาว่า “กระหม่อมถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง”อินชิงเสวียนถาม “พระสนมสวีอยู่ด้านในหรือ?”หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป็นผู้ดีดพิณ กระหม่อมเห็นว่าอารมณ์ของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก เหนียงเหนียงมาถึงแล้ว ทรงเข้าไปปลอบหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าจะพยายาม”เมื่อได้ยินว่าผู้ดีดพิณคือเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็โล่งใจ แต่ก็เกินความคาดหมายเช่นกันผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่สามารถบรรเลงบทเพลงประเภทนี้ออกมาแน่นอน มีเพียงผู้ที่เคยผ่านสนามรบจริงเท่านั้น จึงจะสามารถบรรเลงบทเพลงขี่ม้าข้ามแม่น้ำ พลังอาฆาตแค้นที่เหนือกว่าผู้ใดนางสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าตำหนักด้านในจึงได้พบเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ข้างๆ พิณโบราณ วินาทีถัดจากนั้น เสียงพิณก็หยุดลงเย่จิ่งอวี้เงยใบหน้าที่หล่อเหลาขึ้นมา มองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างประตูทางเข้าดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้าสองก้าว พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทกลับแล
ครั้งนี้?ฮ่องเต้น้อยคงไม่คิดจะนอนร่วมเตียงกับนางใช่ไหม?เมื่อนึกถึงคืนนั้นของเขาและเจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนก็ขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้ นางรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก“ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องอย่างว่า ฝ่าบาทต้องพักฟื้นพระวรกายให้ดีเสียก่อน มิเช่นนั้นจะมีอาการอื่นตามมาได้”เมื่อเห็นท่าทีของนางตกใจราวกระต่ายตื่นตูม เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มที่มุมปาก“เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ข้าหายดีแล้วจึงจะไปหาเจ้า”อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้น “หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ฝ่าบาททรงมโนไปเองทั้งหมด หม่อมฉันออกมานานแล้ว ต้องกลับก่อนนะเพคะ”เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย ยื่นมือไปจับอินชิงเสวียนไว้ และถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “มโน? หมายความว่าอย่างไร?”“หมายถึงทรงใช้ความคิดมากไปเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งไว้เพียงเย่จิ่งอวี้ที่ยังทำหน้างุนงงเขาใช้ความคิดมากไปงั้นหรือ?ในระหว่างที่กำลังคิด อินชิงเสวียนก็กลับมาอีกครั้งนางยืนอยู่ที่หน้าประตู และพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันขอละลาบละล้วงนะเพคะ หม่อมฉันอยากยืมพิณของฝ่าบาทสักหน่อย ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”นี่เป็นความคิดที่ก
ตอนนั้นอินชิงเสวียนก็เคยดูละครเจินหวนจอมนางคู่แผ่นดินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงรู้ว่าต้นยี่โถคือไม้ที่มีพิษเสี่ยวหนานเฟิงอายุเพียงเท่านี้ เป็นวัยที่กำลังชอบกัดสิ่งของ หากกลืนผงดอกไม้เข้าไปในปาก แทบไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ตามมาอีกทั้งวันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงเพิ่งถูกพิษไปครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าความต้านทานต่อพิษของเสี่ยวหนานเฟิง ยังไม่สามารถเทียบเท่าผู้ใหญ่ได้ แม้น้ำพุวิญญาณจะช่วยได้ แต่ลูกก็ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเช่นกันเมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาก็เย็นชาลงนางไม่เคยไปหาเรื่องไทเฮาเลยแม้แต่น้อย นางกลับบีบนางในทุกย่างก้าว คงเป็นเพราะไทเฮาคิดว่านางกลัวจริงๆสายตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ใบหน้าที่หล่อเหลาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง“ไทเฮาโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ คงคิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษนาง ทหาร ไปที่ตำหนักฉือหนิง”อินชิงเสวียนรีบห้ามเย่จิ่งอวี้ไว้“แม้ฝ่าบาทไปแล้ว ก็ไม่อาจลงโทษนางได้ ตอนนี้ผงยาพิษในกำไลก็ถูกเทออกมาหมดแล้ว ไทเฮาไม่มีทางยอมรับผิดแน่นอนเพคะ หรืออาจจะโยนความผิดให้แก่องค์หญิงไห่ถัง หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นการลำบากผู้อื่นเสียเปล่า”เย่จิ่งอวี้เขม็งสายตาแน่น “เสวียนเอ
เมื่อได้ยินเสียงทะลุฝ่าอากาศ กวนฮั่นหลินก็หันกลับมาโดยไม่รู้ตัว และดาบเล่มใหญ่ก็เสียบเข้าไปในอกของเขาพลังที่มหาศาลแทงกวนฮั่นหลินเข้าไปได้ตรงๆ ดาบเล่มใหญ่แทงทะลุออกมาจากด้านหลังกวนฮั่นหลินถอยคกรูดสามก้าว สีหน้าซีดขาวในทันที“เซี่ยวเอ๋อร์ เจ้า...”กวนเซี่ยวส่งเสียงเย้ยหยัน“เป็นเพราะท่านมีใจภักดีต่อต้าโจว และทำให้ท่านพ่อของข้าตายอย่างอนาถ นี่คือสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ”เมื่อเขาหมุนข้อมือ ตัวดาบที่เต็มไปด้วยเนื้อหนังก็ถูกกวนให้รวมกันในร่างกายของกวนฮั่นหลินทันทีความเจ็บปวดบนร่างกาย กลับน้อยกว่าความเจ็บปวดในใจจอมพลเฒ่ามองหน้ากวนเซี่ยวด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่มีทางเข้าใจเลยว่าเหตุใดหลานชายจึงเกลียดตัวเองได้?ในฐานะจอมพล เขาสมควรรับใช้ชาติ เขาเชื่อว่าลูกชายของเขายอมตายโดยไม่เสียใจ และเขาก็เป็นเช่นนั้น!“ตายเสียเถอะ”กวนเซี่ยวใช้เท้าถีบจอมพลเฒ่ากวนกระเด็น และชักดาบออกมาจอมพลเฒ่าจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ร่างของเขาล้มลงบนพื้นอย่างรุนแรงเขามองบนท้องฟ้า น้ำตาขุ่นมัวไหลออกมาจากหางตาของเขา และถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจเข้าใจได้ “เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด?”กวนเซี่ยวถือด
“เป็นอย่างไรบ้าง?”เย่จิ่งอวี้เดินมาด้านหน้าเตียง และถามด้วยน้ำเสียงรีบร้อนหมอหลวงเหลียงส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้“จอมพลเฒ่าบาดเจ็บสาหัสมาก เกรงว่าจะทำการรักษาได้ยาก”เมื่อนึกถึงวันที่จอมพลเฒ่ามอบจี้หยกให้ตัวเอง อินชิงเสวียนดวงตาแดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้จู่ๆ นางก็นึกถึงเย่จิ่งหลาน จึงรีบพูดว่า “ฝ่าบาท อาจมีใครคนหนึ่งที่สามารถรักษาจอมพลเฒ่าได้”“ผู้ใด?”“ฝูอี้อ๋อง”“เขา?”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วหากเขาจำไม่ผิด เสด็จน้องผู้นี้มีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น อีกทั้งเขายังไม่เคยร่ำเรียนกับหมอหลวง จะมีวิชาการแพทย์ชั้นสูงขนาดนั้นได้อย่างไรเมื่ออยู่ในภาวะฉุกเฉิน อินชิงเสวียนไม่มีเวลามาอธิบาย“หมอหลวงได้โปรดพยายามอย่างที่สุดก่อน รักษาการเต้นของหัวใจให้กับท่านอาจารย์ไว้ ข้าจะไปตามฝูอี้อ๋องเดี๋ยวนี้”เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา นางแลกความเร็วห้านาทีจากในมิติ ทันทีที่นางก้าวออกจากทาง ร่างของนางก็หายตัวไปทิ้งไว้เพียงคนในห้องที่มีสีหน้าประหลาดใจวิชาร่างของเหยาเฟยเหนียงเหนียง รวดเร็วได้เพียงนี้เชียวหรือ?พวกเขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่?เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเป็นอย่างมาก วิชาร่าง
คนในเงามืดตกใจเล็กน้อย“ท่านคือ... ท่านอ๋องถูหย่าลาจี๋เล่อ?”คนนั้นหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “เสนากวนตาถึงจริงๆ”ร่างในเงามืดเดินออกมาที่สว่าง และเขาก็คือเสนากวนเมิ่งถิงของต้าโจวเมื่อเห็นอาซือหลาน กวนเมิ่งถิงก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้“ไม่นึกว่าท่านอ๋องจะอยู่ในเมืองหลวงจริงๆ”อาซือหลานพูดขึ้นด้วยความเหน็บแนม “ข้าเองก็นึกไม่ถึง ว่าผู้ที่แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเองไม่มีกับเจียงวูมาโดยตลอด จะเป็นเสนาของแคว้นโจว”กวนเมิ่งถิงพูดด้วยสีหน้าปกติว่า “มีคำกล่าวมาตั้งแต่โบราณว่า ผู้รู้สถานการณ์แผ่นดินนั้นเรียกว่าเป็นยอดบุรุษ ข้าก็อยากเป็นยอดบุรุษผู้รู้สถานการณ์เช่นกัน”เขาโบกมือ คนรับใช้ก็เข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับปิดประตูอาซือหลานเหลือบมองกวนเมิ่งถิงด้วยใบหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดลากเสียงยาวว่า “เรื่องนี้ก็พอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ตอนนี้เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ท่านเสนาก็เหลือเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น ไม่แปลกที่จะไม่พึงพอใจ เพียงแต่น่าเสียดายที่ท่านเสนาไม่ได้ประสบความสำเร็จในสิ่งใด หากต้องการได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเจียงวู เกรงว่ายังไม่พอ”กวนเมิ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี