อินชิงเสวียนนั่งลงข้างพิณ ดีดสายพิณด้วยนิ้วหัวแม่มือของนาง และเสียงที่คมชัดก็ดังออกมาในทันทีทันใดนั้นเจ้าของร้านถามขึ้นราวกับมอบของขวัญล้ำค่า “แม่นางคิดว่าพิณนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”อินชิงเสวียนไม่ค่อยรู้เรื่องพิณ แต่ฟังจากเสียงสะท้อนที่ไม่มีเสียงอื้ออึง ก็รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียวจึงพยักหน้า “เป็นพิณที่ดี”เจ้าของร้านยิ้มปากกว้างในทันที “แม่นางสายตาเฉียบแหลมทีเดียว พิณนี้ทำมาจากไม้เพาโลเนียอายุห้าร้อยปี ข้าใช้เงินก้อนโตซื้อมาจากชาวพเนจรผู้หนึ่ง ราคาเปิดหีบหนึ่งพันตำลึงก็เป็นราคาที่เขาตั้งไว้เอง”อินชิงเสวียนเข้าใจทันทีว่านี่คือกฎหากรู้ว่าแพงขนาดนี้ สู้ซื้อพิณมาเล่นเองข้างถนนดีกว่าเจ้าของร้านลูบเคราแล้วพูดว่า “พิณนี้อยู่ในโรงเตี๊ยมมาสามปีแล้ว แต่เปิดหีบน้อยครั้งมาก ทั้งหมดเพียงสามครั้งเท่านั้น แม่นางโปรดปฏิบัติต่อมันด้วยความกรุณา”เย่จั้นนั่งลงอีกด้านของโต๊ะ พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “แน่นอน เถ้าแก่ช่วยเตรียมอาหารมาด้วย”“ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”เมื่อเจ้าของร้านเดินออกไป อินชิงเสวียนก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย“เล่นหนึ่งครั้งเสียพันตำลึง แพงเกินไปแล้ว”
พลังอันมหาศาลของมิติ มาพร้อมกับลมคำรามที่รุนแรง อาซือหลานไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงหมดสติลงไปกับพื้นตรงนั้นสามคนที่เหลือต่างก็ตกใจมาก“นายท่าน!”ไม่รอให้พวกเขาได้สติ ทหารเปลวเพลิงแดงก็จู่โจมเข้ามา และกดพวกเขาไว้กับพื้นอินชิงเสวียนดีใจในทันที นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะจับอาซือหลานได้ง่ายเช่นนี้ ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับความเร็วและพลังของมิติเย่จั้นแทบไม่คิดเหมือนกันว่าจะง่ายดายเช่นนี้ เดิมทีเขาคิดว่าจะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือด และเมื่อเขานึกถึงความเร็วอันน่ากลัวของอินชิงเสวียน ความคิดมากมายก็ผุดขึ้นในแววตาไม่เจอกันเพียงสองวัน การเคลื่อนไหวของร่างกายนางกลับแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว ว่องไวจนเขามองไม่ชัดเจนสำหรับฮ่องเต้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายเมื่อมองดูใบหน้าที่คล้ายกับสหายเก่าไม่น้อย ความก็รู้สึกก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเมื่ออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ออกคำสั่ง“พวกเจ้านำคนเหล่านี้กลับไปด้วยทั้งหมด คุ้มกันแน่นหนา ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้”ทันทีที่เย่จั้นพูดจบ ก็พบว่าอินชิงเสวียนโซเซเล็กน้อย จึงรีบยื่นมือไปพยุงนางไว้“เหนียงเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง?”อินชิงเสวียนฝื
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เป็นเพราะใช้กำลังภายใน จึงมีอาการตามมาเล็กน้อย พักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นเพคะ”อินชิงเสวียนพูดจบก็นั่งลงที่ศาลาด้านข้าง อ่อนเพลียมากเลยจริงๆ ตอนนี้นางเพียงอยากนอนหลับเท่านั้น และไม่อยากขยับแม้เพียงนิดเดียวเย่จั้นก็พูดว่า “เหนียงเหนียงไม่เป็นอะไรจริงๆ หากไม่ใช่เพราะวิชาการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเหนียงเหนียง คงไม่สามารถจับกุมอาซือหลานได้ง่ายเช่นนี้”เย่จั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กับเย่จิ่งอวี้ เย่จิ่งอวี้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก“นางใช้พิณตัวนั้นในโรงเตี๊ยมบรรเลงบทเพลงงั้นหรือ?”เย่จั้นถามขึ้น “ฝ่าบาทรู้จักพิณตัวนั้นด้วยหรือ?”เย่จิ่งอวี้กระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “หีบพิณนั่นถูกเปิดมาสองครั้ง ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”เมื่อนึกถึงเสียงดีดพิณราวกับลาร้องในครั้งก่อน เย่จิ่งอวี้ก็หน้าแดงเล็กน้อยเขาเคยคิดจะกลับไปเล่นพิณตัวนั้นอีกครั้ง แต่ไม่นานหลังจากน้ันฮ่องเต้องค์ก่อนทรงสวรรคต ตัวเองได้ขึ้นครองราชย์ และมีงานราษฎร์งานหลวงอีกเป็นกอง ทำให้แยกตัวออกไปได้ยากทันใดนั้นเย่จั้นก็นึกได้ว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะครองราชย์ เคยถูกขนานนามว่าท่านอ๋องแห่งความสุดยอดท
เย่จิ่งอวี้หัวเราะร่าเสียงดังอย่างอดไม่ได้“พูดดีทีเดียว”เขาก้าวเข้าไปในถังไม้ และรู้สึกว่าน้ำเย็นชุ่มชื่นเมื่อสัมผัสร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึกหนาว มันมีความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ“น้ำนี่แปลกจริงเชียว”อินชิงเสวียนแอบหันกลับไปเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าเขานั่งลงในถังแล้ว จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “มีสิ่งใดน่าแปลกหรือเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในความเย็นชุ่มชื่นกลับมีความอบอุ่น แม้มีความเย็นเฉียบ แต่ยังให้ความรู้สึกถึงความร้อน”อินชิงเสวียนกระตุกยิ้มมุมปาก เขาพรรณนาได้ดีทีเดียว มันเป็นความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆอุณหภูมิของน้ำพุวิญญาณอาจทำให้คนรู้สึกขัดแย้งกัน แต่กลับสบายเป็นอย่างมากนางแขวนเสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้ ยิ้มและพูดว่า “ฝ่าบาทชอบก็ดีแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า “พอได้แช่น้ำนี้แล้ว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกง่วง”“เช่นนั้นก็หลับสักครู่เถอะเพคะ”อินชิงเสวียนมาที่ด้านหลังของเย่จิ่งอวี้ นำเส้นผมที่ชุ่มน้ำของเขาไว้ด้านนอกถัง และหยิบหมอนมาหนึ่งใบเพื่อให้เขาพิงเมื่อถูกอินชิงเสวียนจัดทรงผมให้ เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งรู้สึกง่วงจนลืมตาไม่ขึ
ณ คุกหลวงทันทีที่เข้าไปในประตูก็จะเห็นทางเดินที่ยาวมาก อากาศเย็นและชื้นลอยมากระทบใบหน้า พร้อมกับกลิ่นเลือดจางๆ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งอินชิงเสวียนมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อก่อนเคยได้ยินเสี่ยวอานจื่อบอกว่า คุกหลวงในวังน่ากลัวเสียยิ่งกว่าคุกที่ขึ้นตรงกับกรมยุติธรรมเสียอีก เมื่อได้เห็นในวันนี้ ชเครื่องมือทรมานนักโทษวางให้เห็นอยู่เต็มไปหมด เครื่องมือทุกชิ้นเต็มไปด้วยรอยเลือด เมื่ออินชิงเสวียนได้เห็นก็รู้สึกใจสั่นเย่จิ่งอวี้จับมือที่เย็นเล็กน้อยของนางไว้ ออกแรงบีบเล็กน้อยราวกับกำลังพูดบางอย่างกับนางวางใจ ข้าอยู่ตรงนี้!อินชิงเสวียนหันไปมองเย่จิ่งอวี้อย่างอดไม่ได้ เย่จิ่งอวี้กันไปพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็ปล่อยมือและรีบเดินเข้าไปในห้องทรมานเย่จั้นยืนอยู่กลางห้อง บนกายยังคงสวมเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับความสกปรกในห้องทรมานด้านหน้าของเย่จั้นมีเก้าอี้เหล็กสี่ตัววางไว้อยู่ มีคนถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้แต่ละตัว คนเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อผ้าหยาบๆ และมีรูปร่างหน้าธรรมดาไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปสี่คนนี้ก็คือคนที่บุกเข้าไปใ
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนโมโหจนหน้าซีดขาว เย่จิ่งอวี้ก็เลิกสังสัยหากนางมีความสัมพันธ์กับเขา เหตุใดนางจึงโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้แม้เขารู้ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงความเท็จ แต่ยังคงรู้สึกขยะแขยงเขาพยายามไม่คิดมาก แต่หัวใจของเขายังคงรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินติดอยู่ ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากอาซือหลานคิดจะพูดต่อ เย่จั้นจึงรีบเอาผ้าโสโครกยัดปากของเขาไว้ “ฝ่าบาทอย่าได้คล้อยตามเขา เขากำลังอ้อนวอนหาความตาย เพื่อเพิ่มความขัดแย้งระหว่างต้าโจวกับเจียงวูให้รุนแรงมากขึ้น หากฝ่าบาทฆ่าเขาด้วยความโกรธแค้น เช่นนั้นก็จะตกหลุมพรางของเขา”เย่จิ่งอวี้ตอบรับเสียงขรึมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นำบุคคลนี้ไปใส่รถคุมขังนักโทษ และแห่ไปตามถนนสามวัน บอกว่าเขาเป็นสายลับของเจียงวู ปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น แทรกซึมเข้ามาในต้าโจวเพื่อสืบหาข่าวกรอง วันนี้ได้ถูกจับตัวแล้ว สามวันหลังจากนี้จะถูกฆ่าตัดคอและเสียบประจาน ราชกิจเช้าในวันพรุ่งนี้ ข้าจะกลับคำพิพากษาให้แก่ตระกูลอินด้วยตัวเอง”เขาคลายเสียงลงเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เสด็จอาโปรดสานต่อด้วย อย่าได้ละเว้นความผิดโจรสุนัขเหล่านี้ ข้ารู้สึกไม่สบาย
ยายหลี่ตกใจในทันที“หรือ… หรือว่ากำไลนี้เป็นของปลอม?”อินชิงเสวียนจึงรีบถอดกำไลออกเพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงร้องโวยวาย จึงให้ลูกเป็ดสีเหลืองที่ส่งเสียงได้สองตัวกับเขาจากนั้นก็หยิบกำไลขึ้นมาไว้ในมือเพื่อตรวจอย่างละเอียด จู่ๆ ก็พบว่ากำไลไม่ได้หลอมรวมกัน ตรงกลางยังมีจุดต่อกัน อินชิงเสวียนดึงตัวต่อออก มีผงสีดำร่วงมาจากด้านในเล็กน้อยทันที พร้อมกลิ่นหอมที่อ่อนมากๆยายหลี่ตกใจและพูดขึ้น “นี่ นี่คืออะไรกัน?”อวิ๋นฉ่ายก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ“หรือองค์หญิงจะทำร้ายองค์ชายน้อยของพวกเราเพคะ?”อินชิงเสวียนเทผงสีดำออกมาจากกำไลทั้งสองวงจนหมด และยื่นให้เสี่ยวอานจื่อพูดกำชับด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมหนักแน่น “เจ้าไปถามหมอหลวงเหลียงที่สำนักหมอหลวง ให้เขาดูว่าสิ่งนี้คืออะไร อย่าให้ใครพบเข้าเด็ดขาด แต่หากมีคนพบเข้า ก็บอกว่าไปรับยาไล่มดแมลงที่ใช้เป็นประจำ”“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวอานจื่อรับถุงยาแล้ววิ่งไปทันที อินชิงเสวียนก้มหน้ามองเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นว่ายังคงปกติดี จึงสบายใจขึ้นเล็กน้อยเสี่ยวหนานเฟิงกลับดูเหมือนจะชอบกำไลคู่นี้มาก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนถือไว้ก็อ้ามือน้อย
หลี่เต๋อฝูยืนอยู่หน้าประตูตำหนักด้านใน เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รีบเดิยเข้ามาทันทีพูดขึ้นเสียงเบาว่า “กระหม่อมถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง”อินชิงเสวียนถาม “พระสนมสวีอยู่ด้านในหรือ?”หลี่เต๋อฝูยิ้มและพูดว่า “ไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป็นผู้ดีดพิณ กระหม่อมเห็นว่าอารมณ์ของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก เหนียงเหนียงมาถึงแล้ว ทรงเข้าไปปลอบหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าจะพยายาม”เมื่อได้ยินว่าผู้ดีดพิณคือเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็โล่งใจ แต่ก็เกินความคาดหมายเช่นกันผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่สามารถบรรเลงบทเพลงประเภทนี้ออกมาแน่นอน มีเพียงผู้ที่เคยผ่านสนามรบจริงเท่านั้น จึงจะสามารถบรรเลงบทเพลงขี่ม้าข้ามแม่น้ำ พลังอาฆาตแค้นที่เหนือกว่าผู้ใดนางสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าตำหนักด้านในจึงได้พบเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ข้างๆ พิณโบราณ วินาทีถัดจากนั้น เสียงพิณก็หยุดลงเย่จิ่งอวี้เงยใบหน้าที่หล่อเหลาขึ้นมา มองไปยังอินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างประตูทางเข้าดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้าสองก้าว พูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทกลับแล
เช้าวันรุ่งขึ้นอินชิงเสวียนออกจากตระกูลอินภายใต้สายตาที่ไม่เต็มใจของทุกคน และผู้ที่คุ้มกันนางกลับวังหลวง ก็คืออินสิงอวิ๋นพี่ชายคนโตเขายังคงหล่อเหลา ทว่านิสัยสุขุมเยือกเย็นมากกว่าปีที่แล้วอินชิงเสวียนเปิดม่านเกี้ยว“พี่ใหญ่ได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการพี่สะใภ้บ้างหรือยัง”อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างอบอุ่น มองอินชิงเสวียนด้วยสายตาแบบเดียวกับเมื่อก่อน มีความเอาใจใส่เล็กน้อย“หาแล้ว คราวนี้ก็ค่อนข้างดี น้ำพุวิญญาณของเจ้า แทบจะให้พี่สะใภ้ดื่มหมด”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ควรเป็นเช่นนี้แล้ว พี่สะใภ้อยู่ไกลบ้าน รอนแรมมาไกลกว่าจะถึงตระกูลอินของเรา เราต้องดูแลนางให้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้นางอุดอู้อยู่บ้านทั้งวัน ถ้าท่านมีเวลาว่าง ควรพานางไปเดินเล่นบ่อยๆ คนท้องจะรู้สึกหดหู่โดยไม่รู้ตัว ถ้ามีท่านอยู่ข้างๆ บางทีนางอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง”“อืม คราวนี้แหละ ข้าควรจะหาเวลาได้แล้วจริงๆ”อินสิงอวิ๋นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก มีหรือที่เขาไม่ต้องการใช้เวลากับเป่าเล่อเอ่อร์ให้มากๆ แต่ในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จนเขาไม่กล้าที่จะหย่อนยานตอนนี้ฝ่าบาทและน้องสาวกลับเมืองหลวงแล้ว ก็เหมือนมีกระดูกสันหลัง ทายาทเฟย
อินชิงเสวียนคำนับทั้งสองคน นางไม่ได้มาจากรัชสมัยนี้ ไม่เห็นความสำคัญของมารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนาง แต่กลับให้ความสำคัญกับจริยธรรมของมนุษย์แม้ว่านางจะยอมรับเหมยชิงเกอ แต่บุญคุณที่ตระกูลอินเลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมมานานกว่าสิบปี ก็ไม่สามารถลืมได้ หากนางไม่รู้สึกขอบคุณผู้มีพระคุณของตัวเอง แล้วจะพูดถึงการมีใจกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างไร“เป็นพ่อหนึ่งวัน ย่อมเป็นพ่อตลอดไป แม่เลี้ยงก็คือแม่แท้ๆ พวกท่านเหมาะสมแล้ว”อินชิงเสวียนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยของอินจ้งนั้นหายไปในทันที จับมือนางแน่นๆ“ดี ดี ลูกสาวคนดี!”ซูหมิงหลานก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน แม้ว่านางจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวแล้ว แต่หากไม่มีอินชิงเสวียน สถานะนี้ก็ไม่สมบูรณ์ อินหลีที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวโน้มน้าวเบาๆ “ท่านพี่พี่สะใภ้ไม่ต้องร้อง หากมีเรื่องอะไรไว้ค่อยกลับไปพูดที่บ้านเถิด เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต”อินจ้งรู้สึกตัวเพราะคำพูดนี้ เห็นผู้คนที่เอาแต่ยืดคอมองมาทางนี้ เขาก็พยักหน้าโดยเร็ว“ถูกต้อง เรากลับไปคุยกันที่บ้านนะ”อินชิงเสวียนดึงเป่าเล่อเอ่อร
ทหารที่อยู่ข้างหน้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นแล้วก็มองเห็นชุดเกราะสีแดงรางๆเฉิงเฟิ่งโหลวสะดุ้งเล็กน้อย นี่...อาจเป็นทหารเปลวเพลิงสีชาดของราชาสงครามอาภรณ์ขาวกระมัง?ถ้ามารับเสด็จฮ่องเต้ เหตุใดจึงสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก?หรือว่าว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง อ๋องสิบสาม...ก่อกบฏ?มือที่กุมกระบี่ของเฉิงเฟิ่งโหลวสั่นเทา เขาดึงสายบังเหียนออกทันที แม้ว่าเจ้านายกับนายหญิงจะมีทักษะวรยุทธ์สูง แต่มือเดียวสู้มือหลายไม่ได้ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาดูสิ้นหวัง “ฝ่าบาท เสด็จขึ้นรถม้าเร็วเข้า”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าทั่วทั้งโลกจะทรยศเขา แต่เสด็จอาจะไม่มีวันทรยศเขา นี่คือความมั่นใจของเขา การสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก ถือเป็นมารยาทสูงสุดของค่ายเปลวเพลิงสีชาดในชั่วพริบตา ทหารม้าขบวนนั้นก็มาถึงเบื้องหน้า พวกเขาควบม้าและเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นแยกออกจากกันเป็นสองทาง เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวชายผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดราวกับหิมะ และเสื้อผ้าพลิ้วไหวดุจดั่งเทพเซียนเขาพลิกตัวลงจากม้า เดินเร็วๆ ไปที่รถม้า สะบัดเสื้อคล
ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวงอินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลาในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วยอายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษาเสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้
ระหว่างเจ้าสำนักเซี่ยวและเจ้าสำนักเฮ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ทว่าระหว่างเซี่ยวอิ่นหวนและลิ่นเซียวนั้นอยู่ในระดับปานกลาง จนแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยบัดนี้เห็นเขาขวางทาง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการตายของศิษย์น้องเฟิ่งอี๋ ทำให้กลายเป็นคนสติเลอะเลือน กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ผ่านการใช้ความคิด เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าใจทันทีว่าเขามีเจตนาอะไรลิ่นเซียวรู้จักนาง พยักหน้าเบาๆ“เฟิ่งอี๋ตายแล้ว ข้ารู้แล้ว”เซี่ยวอิ่นหวนรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่เดิมก็เจ็บปวดจากการพลัดพรากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขาพูดถึงศิษย์น้องที่รักดุจน้องสาว หางตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีริมฝีปากของนางสั่นเทา ลดเสียงลง กดซ่อนความเศร้าไว้ในใจ“ศิษย์พี่ลิ่นควรจะออกมาสู่ความจริงได้แล้ว ถ้าศิษย์น้องอยู่บนสวรรค์มีญาณรับรู้ คงไม่อยากเห็นท่านจมปลักอยู่ที่นี่เพราะนางแน่นอน...”ลิ่นเซียวไม่ต่อคำ แต่พูดต่อว่า “ตาเฒ่าเซี่ยวก็จากไปแล้วเช่นกัน”หัวใจของเซี่ยวอิ่นหวนเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ก้มหน้าสะอื้น“พ่อบุญธรรมเสียชีวิตเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธจักร ไม่ผิดต่อปณิธานที่ก่อตั้งหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”ลิ่นเซียวย
อินชิงเสวียนมอบตั๋วเงินเงินอีกหนึ่งพันตำลึงให้แก่ทั้งสามคน กำชับพวกเขาว่าอย่าใช้ฟุ่มเฟือย หากไม่เจอตัวคน ก็สามารถไปพำนักที่เมืองหลวงได้ทั้งสามพยักหน้าซ้ำๆ ขนของทั้งหมดขึ้นรถม้า และจากไปอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้“นิสัยแบบนี้นี่เข้ากับเย่จิ่งหลานได้เป็นอย่างดี”เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่ทั้งสามคน พูดด้วยรอยยิ้ม “ชาวยุทธ์ ก็ควรจะเป็นอิสระไม่ยึดติดอย่างชาวยุทธ์ นี่แหละคือความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง!”“เช่นนั้นพวกเราก็ควรจากไปอย่างไม่ยึดติดใช่ไหม”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้ ทั้งสองตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ว่าแทนที่จะรอให้พวกเขาสร่างเมา พลัดพรากจากกันด้วยความเป็นความตาย มิสู้จากไปอย่างเงียบๆ “ข้าเชื่อเมียข้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้ผิวปาก เงาสีขาวสองเงาพุ่งออกมาจากระยะไกล ตามมาด้วยรถม้าอินชิงเสวียนตะโกนอย่างมีความสุข“ไป๋เสวี่ย เสี่ยวไป๋!”ไป๋เสวี่ยกางอุ้งเท้าใหญ่ แล้วกอดเอวของอินชิงเสวียนอย่างเสน่หาเสี่ยวไป๋ก็กลิ้งหน้าถูขาของอินชิงเสวียน ซึ่งเป็นการแสดงความใกล้ชิดกับคนที่หาได้ยากอินชิงเสวียนลูบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย จากนั้นลูบหัวของเสี่ยวไป๋
เฮ่อซือจวินออกแรงดึงอินชิงเสวียนขึ้นมา แล้วกอดนางไว้ พูดเสียงสะอื้น “เจ้ายอมรับข้า ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งนัก ชั่วชีวิตนี้จะพยายามดูแลสุขภาพของท่านพ่อและน้าเหมยอย่างเต็มที่”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปใกล้ใบหน้าของนาง แล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านเป็นพี่สาวต่างแม่ของข้า จะแตกต่างจากพี่สาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากท่านอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ไปหาข้าที่เมืองหลวงได้ ข้าจะพาท่านท่องเที่ยวให้สำราญใจแน่นอน”เฮ่อซือจวินพยักหน้าโดยเร็ว“ได้ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน”“สนใจแต่พี่สาวของเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องการพี่ชายแล้วหรือ”เฮ่อฉางเฟิงเดินเข้ามาจากประตู สวมเสื้อคลุมใบไผ่สีเขียวที่ขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลา สง่า และเป็นวีรบุรุษไม่ธรรมดา“ชิงเสวียนคำนับพี่ใหญ่”อินชิงเสวียนโค้งคำนับ เฮ่อฉางเฟิงก็รีบเอื้อมมือไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้อง ไม่ต้องมากพิธี ตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“พรุ่งนี้น่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่กี่วันก็ต้องไปอยู่ดี ฮ่องเต้จากเมืองหลวงมานานเกินไปแล้ว ในใจพะวงถึงอยู่ตลอด ถึงเวลาต้องกลับไปดูแลแล้ว”เฮ่อฉางเฟิงก็ตัดใจจากน้องสาวไม่ได้ และยังไม่อ
ในวันที่สอง สำนักในยุทธ์จักรที่นำโดยเฮ่ออวิ๋นทง ต่างกล่าวคำอำลากับเฮ่อยวนเฮ่อยวนนำลูกศิษย์อิ๋นเฉิงส่งกันไปไกลถึงสิบสิบลี้ ในอิ๋นเฉิง เซี่ยวอิ่นหวนจับมือของอินชิงเสวียน“กลับภูเขาคราวนี้ เกรงว่าจะต้องจัดระเบียบยกใหญ่ ไม่รู้จะได้เจอพวกเจ้าอีกเมื่อไร พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ปรึกษาหารือกันทุกเรื่อง หากเผชิญหน้ากับเรื่องใด ต้องพูดมันออกไป อย่าเก็บมันไว้ในใจตัวเอง จะได้ไม่เกิดความขุ่นเคืองสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ”นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม้ว่าแม่จะเคยเป็นกุ้ยเฟย แต่ไม่รู้หลักการปกครองบ้านเมือง ความรุ่งเรืองและความเสื่อมของต้าโจวล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ด้วยความสามารถและการเรียนรู้ของเจ้าทั้งสอง เชื่อว่าในอีกไม่กี่ปี ก็จะสามารถนำความรุ่งเรืองมาสู่ต้าโจวได้ ถ้าแม่มีเวลาว่าง จะไปหาพวกเจ้ากับจ้าวเอ๋อร์ที่เมืองหลวงย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนจับมือเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดอ่อนโยน “ท่านแม่วางใจ ข้ากับอาอวี้จะรักษาตัวให้ดีอย่างแน่นอน”อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวหนานเฟิงดึงชายเสื้อของเซี่ยวอิ่นหวนอย่างไม่เต็มใจ“ท่านย่าจะไปแล้วหรือ”เซี่ยวอิ่นหวนกอดเสี่ยวหนานเฟิง จูบใบหน้ากลมจ้ำม่ำของเขา แล้วพูดด้วยความรัก “ใช
ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างเย็นชา “แม้แต่เป็นฮ่องเต้ข้ายังไม่สนใจด้วยซ้ำ จะสนใจพระชายาอ๋องได้อย่างไร”“พูดมาก็มีเหตุผล งั้นข้ายังมีที่อื่นที่อยากไป”เย่จิ่งหลานค่อยๆ หยัดกายขึ้นนั่ง หยิบแผนที่ออกมาจากอกเสื้อ“ตอนที่ข้ากำลังเดินทางไปตงหลิว พบว่ามีหลายแคว้นอยู่ใกล้เคียง ทำไมเจ้ากับข้าไม่พยายามพิชิตพวกเขาทั้งหมดล่ะ”ลั่วสุ่ยชิงสาดน้ำเย็นใส่เขาทันที“ตอนนี้เจ้ายังมีความสามารถนั้นอยู่รึ?”“หากเจ้าเต็มใจที่จะบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณกับข้า บางทีวรยุทธ์ของข้าอาจจะกลับคืน”ลั่วสุ่ยชิงถูกเขาทำให้โกรธจนกำลังภายในพุ่งสูงขึ้น กระทั่งจุดที่ถูกจี้สกัดได้คลายออก นางตบศีรษะเย่จิ่งหลานทันที“ไร้ยางอาย”“เจ้าหายแล้ว?”เย่จิ่งหลานมีความสุขมาก เขาพยายามคุกเข่า ฝืนยืนขึ้น ร่างกายโงนเงน ล้มลงตรงหน้าลั่วสุ่ยชิง ฉวยโอกาสกอดเอวของนาง“จอมยุทธ์หญิงลั่ว ข้ายืนไม่ไหว โปรดช่วยพยุงข้าด้วย”ใบหน้าของลั่วสุ่ยชิงเปลี่ยนเป็นสีแดง ยกมือขึ้นผลักเขาลงไปที่พื้น เย่จิ่งหลานล้มหงายหลัง เหมือนกับเต่าที่นอนหงายลั่วสุ่ยชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะงอหาย เมื่อนางหัวเราะมากพอแล้ว ก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างเงียบๆ และบ่นว่า “เสด็จ