เย่จั้นนั่งลงบนเตียงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลเลย จ้าวเอ๋อร์ยังอยู่ดีในตำหนักจินหวู”เย่จิ่งอวี้ค่อยๆ วางมือลงแล้วพึมพำ “ดีแล้ว ดีแล้ว!”เย่จั้นล้วงถุงผงสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วช่วยประคองเย่จิ่งอวี้อย่างระมัดระวัง“ฝ่าบาทเสวยยาเหล่านี้ด้วย พระอาการจะได้ดีขึ้นโดยเร็ว”เขารู้ว่าเย่จิ่งอวี้เป็นคนเฉลียวฉลาด ดังนั้นเขาจึงสั่งให้หลี่เต๋อฝูทุบเม็ดยาให้เป็นผงละเอียดเย่จิ่งอวี้มองแล้วถามว่า “นี่คือยาอะไร”เย่จั้นกล่าวอย่างขัดเจตนาว่า “เป็นยาที่หมอเท้าเปลือยจากนอกวังเก็บไว้ให้น่ะ หากฝ่าบาทได้เสวยแล้ว อาการจึงจะดีขึ้น”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า กินยาแล้วหลับไปอีกครั้งในเวลานี้เอง ข่าวที่ฝ่าบาททรงฟื้นได้แพร่กระจายออกไปทันใดนั้นไทเฮาก็เดินกลับไปกลับมาอยู่ในตำหนักเหมือนหนูติดจั่น“เด็กนี่โชคดีจริงๆ ได้ยินว่าถูกพิษจากดีนกยูงไม่ใช่หรือ หมอหลวงเหล่านั้นบอกข้าว่า เมื่อพิษนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะหมดทางเยียวยา เหตุใดเขาถึงฟื้นขึ้นมาได้อีก”ชุยไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าที่ปริปากเอ่ยคำใดทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดออกมาว่า “กระหม่อมได้ยินม
“เจ้ามาได้อย่างไร”เมื่อเห็นสวีจือย่วน เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยสวีจือย่วนพูดด้วยขอบตาแดงก่ำ “หม่อมฉันได้ยินมาว่าฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัส ในใจรู้สึกกระวนกระวายดั่งไฟแผดเผา วันนี้รู้มาว่าฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว จึงรีบมาเยี่ยมทันที”เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”สวีจือย่วนก้มหน้ายืนข้างเตียง พูดด้วยความเคารพนบนอบ “ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันให้พ้นจากอันตราย หม่อมฉันย่อมเป็นห่วงพระองค์อยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “ข้าไม่เป็นไร”สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ จะไม่เป็นไรได้อย่างไร บาดแผลของฝ่าบาทจะต้องเจ็บปวดมากใช่หรือไม่เพคะ”“ไม่เป็นไร ข้าทนได้”เย่จิ่งอวี้พิงหมอนนุ่ม เรียวตาหงส์ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจที่จะพูดคุยมากนักสวีจือย่วนลอบมองหน้าเขา แล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าคนที่แทงฝ่าบาท...คือพระสนมเหยาเฟย?”ทันใดนั้นเรียวตายาวของเย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้น แววตาเยียบเย็นขึ้นหลายส่วน“ไร้สาระ เหยาเฟยจะแทงข้าได้อย่างไร”เมื่อเกิดความรู้สึกโกรธ เย่จิ่งอวี้ก็เริ่มหอบอีกครั้งสวีจือย่วนคุกเข่าข
ณ จวนจิ้งอ๋องอินชิงเสวียนล้างผงสีดำออก แล้วผลัดเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษสีฟ้าครามนางรวบผมขึ้นด้วยกวานรัดเกล้าทรงสูง ด้านในสวมเสื้อป้ายตัวในสีขาว เมื่อประกอบกับแววตาที่ซ่อนไว้ด้วยความองอาจ ยิ่งทำให้มองไม่เห็นลักษณะเด่นของความเป็นสตรีชัดเจน แต่กลับให้ความรู้สึกของหนุ่มน้อยผู้มีรสนิยมดีที่สวมชุดหรูหราเมื่อเทียบกับกระโปรงคาดอกสามชั้น อินชิงเสวียนชอบชุดบุรุษที่ดูสบายตัวมากกว่า“ขอบพระทัยท่านอ๋อง เสื้อผ้าสวมใส่ได้พอดี”นางดึงชายเสื้อคลุมแล้วถามว่า “วันนี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”“ยังดี มื้อเช้าพอกินอะไรได้บ้าง อาการก็ค่อยๆ ฟื้นตัวดัขึ้น”เย่จั้นวางถ้วยชาลงแล้วพูดอย่างอบอุ่น “ฝ่าบาทฝึกฝนวรยุทธ์สม่ำเสมอทั้งปี สุขภาพดีกว่าคนทั่วไปมาก พระสนมเหยาเฟยไม่ต้องเป็นห่วง”“ดีแล้ว”เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ซีดเซียวและดวงตาที่ปิดสนิทของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ“ในเมื่อเขาไม่ว่ามีวิชาแปลงโฉม เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะขจัดความสงสัยในตัวข้า”เย่จั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นไม่เป็นความจริงเลย ข้าเห็นว่าฝ่าบาทไม่ได้ลืมความรักที่มีต่อเจ้าเพราะเหตุนี้เลย เพียงแต่เป็นเรื่องยากท
สีหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไปทันที แล้วร่างนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งจั้ง“ท่านอ๋อง จอมพลเฒ่ากวน พวกท่าน...”“ข้าต้องเอาชีวิตเจ้ามาให้ได้!”เย่จั้นเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย แล้วร่างของเขาก็พุ่งไปยังอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็วตัวปลอมยังคงเสแสร้งแกล้งทำ เหาะกลับไปกลับมาพร้อมกับตะโกนไปด้วย “ปาจารย์ ช่วยข้าด้วย”แม้ว่าจอมพลเฒ่าจะขาพิการไปข้างหนึ่ง แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ช้าเขาคว้าหอกที่อยู่ข้างๆ และพุ่งหอกใส่ตัวปลอม“ชิงเสวียนไม่เป็นวรยุทธ์ เจ้าเป็นตัวปลอม”ดวงตาของกวนเซี่ยวแสดงความประหลาดใจ นับตั้งแต่ฝ่าบาทถูกลอบสังหาร ชายชราก็ไม่ยอมให้เขาออกจากจวน ดังนั้นกวนเซี่ยวจึงไม่ได้เจอหน้าอาซือหลาน และไม่รู้เกี่ยวกับหน้ากากผิวหนังมนุษย์ เมื่อได้ยินสิ่งที่ปู่พูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนตัวปลอมนี้คงไม่ใช่ใครอื่นแล้ว นอกจากโยวหลานผู้เป็นหนึ่งในสาวใช้ของอาซือหลานเมื่อเห็นว่าตัวตนของนางถูกเปิดเผย นางกลับไม่ตื่นตระหนก แต่กลับหัวเราะ สะบัดข้อมือ แล้วมีดสองเล่มก็มาอยู่ในมือ“ในเมื่อพวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นตัวปลอม เช่นนั้นก็หมายความว่าได้พบกับอินชิงเสวียนแล้ว นางอยู่ที่ไหน บอกมานะ แล้วข้าจะไว้ชีว
ทันใดนั้นดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็มืดลง เขามองไปยังซ่งเซี่ยด้วยแววตาเยียบเย็น“ใครบอกแม่ทัพซ่ง ว่าผู้ที่ทำร้ายข้าคือเหยาเฟย?”ซ่งเซี่ยเป็นคนที่ดีแค่มีร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่กลับมีความคิดมักง่าย เขาพูดโดยไม่ยั้งคิด “ข่าวนี้มาจากในวังพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนต่างก็ทราบดี ขอฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัยโดยเร็ว”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ผู้ที่กล้าบิดเบือนความจริงเช่นนี้ ทำราวกับไม่เห็นข้าในสายตา หากรู้ว่าผู้ใดเป็นคนแพร่ข่าวลือ ข้าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด”ซ่งเซี่ยยังคงพูดอย่างดื้อดึง “ดังคำกล่าวที่ว่า หากไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น ฝ่าบาทควรจับตัวนังมารร้ายนั่นมา เพื่อดำรงไว้ซึ่งความชอบธรรม!”เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เย็นชา พูดเสียงเฉียบขาด “เป็นเพียงคนที่ได้ฟังข่าวลือมาเท่านั้น แต่กลับกล้ามาเห่าหอนต่อหน้าข้า ข้าต้องทำอย่างไร ต้องให้เจ้ามาสอนด้วยรึ”เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทโกรธ ซ่งเซี่ยก็ตกใจกลัว รีบคุกเข่าเสียงกระทบพื้นดังลั่น“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ กระหม่อมเพียงแต่คิดถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้เกรี้ยวกราดรุนแรง “ยังกล้าแก้ตัวอีก เด็กๆ ลากตัวซ่งเซี่ยออกไป ลงโทษโบย
ทางด้านจวนจอมพลกวนฮั่นหลินสั่งให้คนจัดงานเลี้ยง และเชิญเย่จั้นมาดื่มในห้องโถงพวกเขาทั้งสองคนเป็นทหารแม่ทัพเหมือนกัน ย่อมพูดคุยถูกคอมากกว่าคุยกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเสียอีกยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคนที่โดดเด่นในเชิงศึกสงคราม ฉะนั้นย่อมขาดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่องซึ่งกันและกันหลังจากดื่มไปสามรอบ กวนฮั่นหลินก็ยกจอกสุราขึ้น“จอกนี้ ขอคารวะแด่ท่านอ๋อง ขอบคุณท่านอ๋องที่ทำเพื่อตระกูลอิน หากอินจ้งกลับราชสำนักได้ ต้องให้เขามาคุกเข่าขอบคุณท่านแน่นอน”เย่จั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “จอมพลเฒ่ายกย่องเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะประจำการอยู่ที่ชายแดนและไม่เกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมือง แต่ข้าก็รู้ว่าใครทรยศใครภัดี แต่ทุกอย่างจะต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน หากไม่ใช่เพราะค้นเจอจดหมายโต้ตอบกับราชวงศ์เจียงวูในจวนของอินจ้ง ข้าจะช่วยปกป้องเขาจากฝ่าบาทอย่างแน่นอน”เขาถอนหายใจและพูดต่อว่า “จอมพลเฒ่าก็ไม่สามารถตำหนิฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นท่านหรือข้าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เกรงว่าเราจะเลือกแบบเดียวกัน”กวนฮั่นหลินวางจอกสุราลง กระแสเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ“ในฐานะขุนนาง จะตำหนิฮ่อ
หลังดวงอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์ก็ลอยเด่นเหนือนภา ในชั่วพริบตาก็เป็นยามท้องฟ้ามืดมนแล้วม้าหนุ่มสองตัวออกจากจวนอ๋อง มุ่งตรงไปยังวังหลวงทันทีอินชิงเสวียนยังคงสวมหน้ากาก ใส่ชุดของบุรุษ เย่จั้นสวมหมวกคลุมศีรษะ บังใบหน้าของเขาไว้ครึ่งหนึ่งเมื่อถึงประตูทางเข้าวังหลวงทั้งสองก็ลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเทียนเย่จิ่งอวี้กำลังกินลีโวฟล็อกซาซินที่บดเป็นผงอยู่ พอเขาได้ยินว่าเย่จั้นมาถึงแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก“ให้เสด็จอาเข้ามา”เย่จั้นที่สวมเสื้อคลุมเดินเข้ามาจากประตู เมื่อเห็นท่าทางของเขา เย่จิ่งอวี้ก็ตวัดเรียวตาหงส์ไปมอง“ท่านอาสิบสามป่วยรึ เหตุใดถึงสวมใส่เสื้อผ้ามากมายเช่นนี้”เย่จั้นก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ข้าอยากให้ฝ่าบาทมองดูอะไรบางอย่าง ฝ่าบาทอย่าตกใจเกินไปนักนะ”เย่จิ่งอวี้ถามด้วยความสับสน “เรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้ลึกลับเพียงนี้”เย่จั้นค่อยๆ ถอดหมวกของเขาออกเมื่อเห็นใบหน้าของเขาเต็มตา เย่จิ่งอวี้ก็ตกตะลึง“ใบหน้าของท่าน...”“ไม่เป็นไร อีกครึ่งหน้าเป็นหน้ากากผิวหนังมนุษย์ ฝ่าบาทรู้สึกว่าดูเหมือนใครบางคนหรือไม่”ในตอนท
เมื่อได้ยินว่าสวีจือย่วนกำลังจะมา อินชิงเสวียนก็อยากพบนางเช่นกันนอกจากนี้นางควรบอกเรื่องของอาซือหลานกับสวีจือย่วน เพื่อที่นางจะได้ไม่หลงรักจนหัวปักหัวปำ จนโงหัวไม่ขึ้นแต่เย่จิ่งอวี้กลับไม่อยากถูกรบกวนจากความอบอุ่นที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้เขาพูดเสียงเรียบ “ไม่พบ”สวีจือย่วนได้เดินมาถึงประตูแล้ว เมื่อนางได้ยินเสียงของเย่จิ่งอวี้ คิ้วของนางก็ขมวดเล็กน้อยจากนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพูดว่า “ฝ่าบาท ท่านพบเถอะ หม่อมฉันก็อยากพบนายหญิงสวีเช่นกัน”สีหน้าของสวีจือย่วนเปลี่ยนไปทันทีเป็นเสียงของอินชิงเสวียน นางกลับมาทำไมแล้วเสียงของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากภายในห้องโถง“ในเมื่อเสวียนเอ๋อร์ต้องการพบนาง ก็ให้นางเข้ามาเถอะ”หลี่เต๋อฝูย่อมได้ยินอยู่แล้ว ซึ่งเขาเองก็จำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของอินชิงเสวียนโดยปกติแล้วเขาซึ่งเป็นขันทีไม่กล้าถามถึงเรื่องของฝ่าบาท พูดง่ายๆ ก็คือถ้าฝ่าบาทมีความสุข เขาก็สบายใจเขาก้าวถอยหลัง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เชิญนายหญิงสวีเถิด!”“ขอบคุณหลี่กงกง”สวีจือย่วนเปิดประตูอย่างช้าๆเมื่อเข้ามาในห้อง ก็เห็นอินชิงเสวียนในชุดบุรุษนางเดินเข้ามาด้วยความประห