เมื่อฝ่ามือตกลงที่หมอกดำ นักพรตเทียนชิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในขณะนั้นก็สัมผัสได้ว่า กำลังภายในกำลังไหลออกจากตัวราวกับกระแสน้ำ ไหลไปสู่หมอดำกลุ่มนั้นนักพรตเทียนชิงฝึกฝนมาหลายทศวรรษแล้ว ไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาตกใจ ถอนฝ่ามือกลับไปยังตำแหน่งเดิมเย่จิ่งหลานไม่ได้ทำอะไรอีก เขาเป็นเหมือนนกฮูกกลางคืนในความมืดมิด มองดูนักพรตเทียนชิงด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับว่าภารกิจของเขาคือการควบคุมเท่านั้น และทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับเขานักพรตเทียนชิงเหลือบมองเย่จิ่งหลาน พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์มานานหลายทศวรรษ กลับพัฒนานิสัยที่ชั่วร้ายเช่นนี้ออกมา”ชิงฮุยกล่าวว่า “ไม่สามารถพูดได้ว่าชั่วร้ายได้ นี่คือเวทมนตร์ของแคว้นเฟยเหยา ข้าคงไม่อาจยืนนิ่งเฉยรอความตายอยู่ตรงนี้ได้ ดังคำกล่าวที่ว่า แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า ไม่ว่าจะเป็นประสงค์ของสวรรค์หรือความเป็นมนุษย์ ถึงอย่างไรก็ต้องต่อสู้แย่งชิงอย่างเต็มที่ ถึงจะไม่เสียใจภายหลัง ถ้าสามารถดูดซึมกำลังภายในของอาจารย์ได้ ศิษย์จะใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้เสียชื่อของอาจารย์”“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน
ชิงฮุยถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าที่หล่อเหลาเคร่งขรึมขึ้น เย่จิ่งหลานก็รวดเร็วเช่นกัน มาถึงข้างกายเขาได้ภายในพริบตา ดวงอันแสนเย็นชาคู่นั้น จ้องมองนักพรตเทียนชิงอย่างไม่เป็นมิตรนักพรตเทียนชิงเหยียบอากาศที่ว่างเปล่า แล้วเทศนา “ขอสุขสถาพรสถิตชั่วนิรันดร์! สู่ความว่างเปล่าสุดขั้ว รักษาความสงบให้อยู่ตัว เมื่อไม่ต่อสู้ ก็ไม่มีใครในโลกที่จะสู้ได้ รู้จักพอไม่เสื่อม ย่อมอยู่ยั้งยืนนานเอย ชิงฮุย เจ้าบำเพ็ญหลักปรัชญาเต๋านานหลายปี ควรเข้าใจหลักความจริงนี้”ชิงฮุยพูดเบาๆ “ไม่แย่งชิงแต่บรรลุอิสรภาพ เป็นแค่เพียงสิ่งลวงตา อาจารย์ไม่เคยยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของพลังอำนาจ ย่อมไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงและความเพ้อฝัน ส่วนการรู้จักหยุดไม่เสื่อม นั่นเป็นเพียงความคิดของมนุษย์โลก เป็นพวกท่านที่คิดว่าข้าเดินทางผิด แต่ข้ายังเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าเส้นทางนี้ถูกต้อง เพราะครั้งหนึ่งข้าเคยยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของดินแดนนี้ มองดูภูเขา แม่น้ำ ทุกแห่งที่ข้ามองคือดินแดนของราชาแห่งข้า ในเมื่อคนต้าโจวเจ้าสามารถฆ่าคนเฟยเหยาได้ ทำไมเฟยเหยาถึงไม่สามารถเอาคืนได้!”น้ำเสียงของชิงฮุยไม่ดัง น้ำเสียงไม่ได้ดูเร่าร้อนหรือโกร
นักพรตเทียนชิงขมวดคิ้วยังมีกลุ่มพลังสีดำค้างอยู่ตรงกลางคิ้วของเย่จิ่งหลาน ปิดกั้นกำลังภายในของนักพรตเทียนชิงหรือว่านี่คือข้อห้ามที่ชิงฮุยปลูกฝังไว้?เมื่อจับตัวชิงฮุยไม่ได้ เช่นนั้นก็ถือโอกาสช่วยเย่จิ่งหลานไปเลย เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำสิ่งชั่วร้ายและทำให้เกิดฟ้าผ่าเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นักพรตเทียนชิงก็จี้จุดที่ไหล่และขาของเย่จิ่งหลานอย่างรวดเร็ว เย่จิ่งหลานเข่าอ่อน ทรุดนั่งลงบนพื้นทันทีนักพรตเทียนชิงอุ้มเขาขึ้น รีบลงจากภูเขาไปยังบ้านลับแห่งหนึ่งชาวบ้านทั้งหมดในเมืองย้ายไปอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้ว มีบ้านว่างมากมาย นักพรตเทียนชิงวางเย่จิ่งหลานไว้บนเตียง และตรวจชีพจรของเขาทันที ลมปราณยังไม่ถูกปิดกั้น เช่นนั้นก็ลองดูหน่อยเขาค่อยๆ ยกนิ้วขึ้น แตะหว่างคิ้วของเย่จิ่งหลานร่างกายของเย่จิ่งหลานสั่นเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่นนักพรตเทียนชิงกล่าวอย่างกรุณา “ในระหว่างกระบวนการอาจทรมานบ้าง แต่คงใช้เวลาไม่นานนัก คุณชายน้อยเย่ ล่วงเกินแล้ว!”หลังจากจบคำพูด นักพรตเทียนชิงก็ปลดปล่อยพลังชี่แท้ออกมา มันไหลเข้าสู่กลางคิ้วของเย่จิ่งหลานเย่จิ่งหลานดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมาก ร่างกายสั่นสะท้านและกระตุกอยู่ตลอ
เย่จิ่งหลานยกฝ่ามือขึ้นโจมตี โดยไม่ให้ลั่วสุ่ยชิงได้มีโอกาสถามอีกลั่วสุ่ยชิงก็รู้ว่าเย่จิ่งหลานถูกมนต์สะกด นางเหาะถอยหลัง หลบหลีกสองกระบวนท่าติดต่อกันเมื่อมองดูหมอกสีดำที่ล้อมรอบฝ่ามือ ลั่วสุ่ยชิงก็ตกตะลึงแน่นอนว่ามันเป็นวิทยายุทธ์ของเฟยเหยา ชิงฮุยใช้วิชาอะไรกันแน่ ถึงทำให้เขาสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์กำลังภายในอันบริสุทธิ์ภายในเวลาไม่กี่วัน?ลั่วสุ่ยชิงขบคิดในใจ มุ่งเน้นไปที่การหลบหลีก แต่เย่จิ่งหลานบีบทุกก้าวย่าง ลงมือแต่ละครั้งล้วนหมายเอาชีวิตทันใดนั้น ลั่วสุ่ยชิงรู้สึกว่าพลังปราณมีบางอย่างผิดปกติ นางชี้นิ้วออกไป พลังที่มองไม่เห็นก็เข้าไปในร่างกายของเย่จิ่งหลาน จากนั้นนางก็ใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างรวดเร็วทันทีที่ร่างของนางงหายไป ชิงฮุยก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเย่จิ่งหลาน“ประสาทรับกลิ่นไวดีนี่”ชิงฮุยแค่นเสียงหึในลำคอเบาๆ พูดกับเย่จิ่งหลาน “ไปจับตัวนางมา หากผู้ใดกล้าขวาง ฆ่าไม่เว้น!”เย่จิ่งหลานพยักหน้า และร่างของเขาก็หายไปในทันทีจากนั้น ร่างหลายร่างก็เดินออกมาจากความมืด กล่าวด้วยความเคารพ “น้อมคำนับคุณชาย”“ตามสบาย ตอนนี้พวกเจ้าฝึกฌานตบะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”ชิงฮุยถามไปด้าน
เมื่อทุกคนได้รับคำสั่งให้ออกไป ลั่วสุ่ยชิงก็วิ่งมุ่งหน้าไปยังอิ๋นเฉิง แต่กลับรู้สึกว่ามีเงาดำแวบขึ้นมาต่อหน้าต่อตา และเย่จิ่งหลานก็มาหยุดไว้เขายืนยิ่งเงียบอยู่เบื้องหน้าของลั่วสุ่ยชิง ราวกับพญามัจจุราชในนรก มืดมนและน่าสะพรึงกลัวลั่วสุ่ยชิงยืนนิ่ง นางเพิ่มจิตสำนึกทางจิตวิญญาณให้สูงสุด และไม่รู้สึกถึงลมปราณของชิงฮุยชิงฮุยไว้วางใจคุณชายน้อยเย่คนนี้ และนั่นคือสิ่งที่นางต้องการจริงๆ“เย่จิ่งหลาน เจ้าเป็นคนต้าโจว แต่กลับสมคบคิดศัตรู ทำงานช่วยเหลือเสือเลว ไม่รู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษของเจ้ากระนั้นหรือ”เย่จิ่งหลานโจมตีลั่วสุ่ยชิงอีกครั้ง โดยไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำลั่วสุ่ยชิงก้าวไปข้างหน้า ร่างของนางลอยอยู่ในอากาศแล้ว หมอกสีดำพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ปกคลุมเย่จิ่งหลานไว้ในม่านหมอกนางอยากจะทดสอบดูว่าเย่จิ่งหลานสามารถฝึกฝนวิชาเทียนเสวียนได้ถึงขั้นไหนแล้วเย่จิ่งหลานไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ ฟาดฝ่ามือกลับไปฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ส่งเสียงสะท้านเย่จิ่งหลานสับขาหลอก หมุนตัวและกระโดดขึ้นไปในอากาศ“ตายซะ!”ลั่วสุ่ยชิงหัวเราะเบาๆ“อย่างเจ้าน่ะ ไม่มีความสามารถขนาดนั้น!”นิ้วเรียวขาวชี้ออกไป และจี้จ
ดวงตาของเย่จิ่งหลานเฉียบคม ชี้นิ้วมาอีกครั้งลั่วสุ่ยชิงรู้สึกเพียงว่าพลังชี่แท้จริงในร่างกายกระจัดกระจาย อดไม่ได้ที่จะตกใจ นางเหาะกลับไปอย่างรวดเร็ว และเย่จิ่งหลานก็เร็วขึ้นราวกับภูตผี มาหยุดอยู่เบื้องหน้าของลั่วสุ่ยชิง ชี้นิ้วไปที่ลำคอของนาง และไม่นานก็มาถึงตัวลั่วสุ่ยชิง หิ้วร่างนั้นขึ้นทันที หลังจากกระโดดขึ้นลงหลายครั้งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยคนสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดถอนหายใจด้วยความโล่งอก“คิดว่าคุณชายรู้มานานแล้วว่าท่านราชาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่จิ่งหลาน”“คุณชายมีความสามารถในการทำนายสิ่งต่างๆ ราวกับเทพ”“แต่...ทำไมเย่จิ่งหลานถึงรู้พลังยุทธ์ของแคว้นเฟยเหยาเรา?”“ใช่ ดูเหมือนจะเรียนรู้ได้ละเอียดลึกซึ้งกว่าเรา”ทั้งสองมองหน้ากัน แต่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ดังนั้นจึงใช้วิชาตัวเบาจากไปในอิ๋นเฉิงอินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้กำลังพูดคุยกับนักพรตเทียนชิง เมื่อรู้ว่ามีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นกับเย่จิ่งหลาน ทั้งคู่ก็รู้สึกถึงลางร้าย“เสวียนเอ๋อร์พูดมานานแล้วว่า พวกโมริตะอาจเป็นเบี้ยหมากที่ชิงฮุยวางไว้ หากเป็นเรื่องจริง ที่เขาให้เย่จิ่งหลานไปหานักพรต ก็อาจมีแผนอื่น”นักพรตเทียนชิงขมวดค
“วิธีอะไร”เย่จิ่งอวี้มองไปยังอินชิงเสวียน หญิงสาวเป็นคนฉลาดหลักแหลม มีความคิดประหลาดแสนกลมากมาย“วิธีการของข้าต้องได้ผลแน่นอน แต่ก็ค่อนข้างอันตราย จุดประสงค์ของชิงฮุยคือการแบ่งแยกยุทธจักร เขาต้องโจมตีชาวยุทธ์อย่างแน่นอน เรารวบรวมกลุ่มยอดฝีมือ และแกล้งทำเป็นว่าออกไปตามหาเย่จิ่งหลานข้างนอก......หากชิงฮุยหวังจะประสบความสำเร็จด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว เขาจะส่งเย่จิ่งหลานไปแน่นอน หรืออาจลงมือเอง นี่เป็นโอกาสเหมาะ ประจวบเหมาะกับมีหวังซุ่นอยู่ด้วย ให้เขาสร้างใบหน้าของกลุ่มศิษย์รุ่นเยาว์ให้เรา เหลือผู้อาวุโสไว้เพียงหนึ่งหรือสองคนก็พอ หากทั้งหมดมีแต่ศิษย์รุ่นเยาว์ เกรงว่าพวกเขาอาจไม่ปรากฏตัว”นักพรตเทียนชิงกล่าวอย่างเห็นด้วย “แม่นางอินคิดได้รอบคอบ เช่นนี้แล้ว เราก็รีบหารือกันเถอะ ว่าจะจัดสรรกำลังคนอย่างไร”พวกเขาทั้งสามกลับไปที่อิ๋นเฉิงและแจ้งให้เฮ่อยวนทราบถึงเรื่องนี้ ซึ่งข้อเสนอนี้นั้น เฮ่อยวนและคนอื่นๆ ก็เห็นชอบด้วยนอกจากการล่องูออกจากรูแล้ว ก็ไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่านี้อีกหวังซุ่นเป็นห่วงเย่จิ่งหลานตลอดเวลา แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคำพูดของเขาไร้น้ำหนัก ทักษะวรยุทธ์ก็แย่ จึงทำได้เ
ที่ตีนเขา คนกลุ่มหนึ่งกำลังค้นหาเบาะแสทุกที่ บางครั้งก็ได้ยินคนเรียกชื่อเย่จิ่งหลานในป่าทึบ ทายาทชาวเฟยเหยามากกว่าสามสิบคนกำลังจับจ้องคนกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด“คนอายุมากสองคนที่อยู่ข้างหน้าคงจะแข็งแกร่งมาก ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังล้วนเป็นศิษย์ที่อายุน้อย ไม่มีอะไรต้องกลัว”คนที่ดูมีอายุกระซิบขึ้น “งั้นก็ยกสองคนนั้นให้กับเย่จิ่งหลาน ส่วนเราฝึกฝีมือกับคนที่เหลือ”ทันทีที่พูดจบ เย่จิ่งหลานก็เหาะออกจากป่า และมุ่งหน้าตรงไปหาเฮ่ออวิ๋นทง“คุณชายเย่!”เฮ่ออวิ๋นทงรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี แต่ดวงตาของเย่จิ่งหลานกลับเย็นชา การเคลื่อนไหวล้วนหมายเอาชีวิตเซี่ยวอิ๋นหวนก้าวไปช่วยทันที ในเวลาเดียวกัน ชาวเฟยเหยากลุ่มหนึ่งก็เหาะออกจากป่า โอบล้อมเหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างหลังไว้“เป็นคนจากแคว้นเฟยเหยา!”“ ทุกคนระวัง!”“คนพวกนี้เชี่ยวชาญกลวิธีชั่วร้าย เราอย่าแยกจากกันเด็ดขาด”เมื่อเห็นศิษย์ของสำนักต่างๆ ชักกระบี่ทีละคน กลายเป็นความยุ่งเหยิง ทายาทชาวเฟยเหยาก็ผ่อนคลายลงทันทีพวกเขาไม่ได้เก่งกาจเหมือนคุณชาย ที่สามารถสร้างค่ายกลที่สามารถทำร้ายผู้คนที่มองไม่เห็นได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่ฝีมือเท่านี้ก็มากเกินพอที่
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี