ชิงฮุยถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าที่หล่อเหลาเคร่งขรึมขึ้น เย่จิ่งหลานก็รวดเร็วเช่นกัน มาถึงข้างกายเขาได้ภายในพริบตา ดวงอันแสนเย็นชาคู่นั้น จ้องมองนักพรตเทียนชิงอย่างไม่เป็นมิตรนักพรตเทียนชิงเหยียบอากาศที่ว่างเปล่า แล้วเทศนา “ขอสุขสถาพรสถิตชั่วนิรันดร์! สู่ความว่างเปล่าสุดขั้ว รักษาความสงบให้อยู่ตัว เมื่อไม่ต่อสู้ ก็ไม่มีใครในโลกที่จะสู้ได้ รู้จักพอไม่เสื่อม ย่อมอยู่ยั้งยืนนานเอย ชิงฮุย เจ้าบำเพ็ญหลักปรัชญาเต๋านานหลายปี ควรเข้าใจหลักความจริงนี้”ชิงฮุยพูดเบาๆ “ไม่แย่งชิงแต่บรรลุอิสรภาพ เป็นแค่เพียงสิ่งลวงตา อาจารย์ไม่เคยยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของพลังอำนาจ ย่อมไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงและความเพ้อฝัน ส่วนการรู้จักหยุดไม่เสื่อม นั่นเป็นเพียงความคิดของมนุษย์โลก เป็นพวกท่านที่คิดว่าข้าเดินทางผิด แต่ข้ายังเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าเส้นทางนี้ถูกต้อง เพราะครั้งหนึ่งข้าเคยยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของดินแดนนี้ มองดูภูเขา แม่น้ำ ทุกแห่งที่ข้ามองคือดินแดนของราชาแห่งข้า ในเมื่อคนต้าโจวเจ้าสามารถฆ่าคนเฟยเหยาได้ ทำไมเฟยเหยาถึงไม่สามารถเอาคืนได้!”น้ำเสียงของชิงฮุยไม่ดัง น้ำเสียงไม่ได้ดูเร่าร้อนหรือโกร
นักพรตเทียนชิงขมวดคิ้วยังมีกลุ่มพลังสีดำค้างอยู่ตรงกลางคิ้วของเย่จิ่งหลาน ปิดกั้นกำลังภายในของนักพรตเทียนชิงหรือว่านี่คือข้อห้ามที่ชิงฮุยปลูกฝังไว้?เมื่อจับตัวชิงฮุยไม่ได้ เช่นนั้นก็ถือโอกาสช่วยเย่จิ่งหลานไปเลย เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำสิ่งชั่วร้ายและทำให้เกิดฟ้าผ่าเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นักพรตเทียนชิงก็จี้จุดที่ไหล่และขาของเย่จิ่งหลานอย่างรวดเร็ว เย่จิ่งหลานเข่าอ่อน ทรุดนั่งลงบนพื้นทันทีนักพรตเทียนชิงอุ้มเขาขึ้น รีบลงจากภูเขาไปยังบ้านลับแห่งหนึ่งชาวบ้านทั้งหมดในเมืองย้ายไปอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้ว มีบ้านว่างมากมาย นักพรตเทียนชิงวางเย่จิ่งหลานไว้บนเตียง และตรวจชีพจรของเขาทันที ลมปราณยังไม่ถูกปิดกั้น เช่นนั้นก็ลองดูหน่อยเขาค่อยๆ ยกนิ้วขึ้น แตะหว่างคิ้วของเย่จิ่งหลานร่างกายของเย่จิ่งหลานสั่นเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่นนักพรตเทียนชิงกล่าวอย่างกรุณา “ในระหว่างกระบวนการอาจทรมานบ้าง แต่คงใช้เวลาไม่นานนัก คุณชายน้อยเย่ ล่วงเกินแล้ว!”หลังจากจบคำพูด นักพรตเทียนชิงก็ปลดปล่อยพลังชี่แท้ออกมา มันไหลเข้าสู่กลางคิ้วของเย่จิ่งหลานเย่จิ่งหลานดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมาก ร่างกายสั่นสะท้านและกระตุกอยู่ตลอ
เย่จิ่งหลานยกฝ่ามือขึ้นโจมตี โดยไม่ให้ลั่วสุ่ยชิงได้มีโอกาสถามอีกลั่วสุ่ยชิงก็รู้ว่าเย่จิ่งหลานถูกมนต์สะกด นางเหาะถอยหลัง หลบหลีกสองกระบวนท่าติดต่อกันเมื่อมองดูหมอกสีดำที่ล้อมรอบฝ่ามือ ลั่วสุ่ยชิงก็ตกตะลึงแน่นอนว่ามันเป็นวิทยายุทธ์ของเฟยเหยา ชิงฮุยใช้วิชาอะไรกันแน่ ถึงทำให้เขาสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์กำลังภายในอันบริสุทธิ์ภายในเวลาไม่กี่วัน?ลั่วสุ่ยชิงขบคิดในใจ มุ่งเน้นไปที่การหลบหลีก แต่เย่จิ่งหลานบีบทุกก้าวย่าง ลงมือแต่ละครั้งล้วนหมายเอาชีวิตทันใดนั้น ลั่วสุ่ยชิงรู้สึกว่าพลังปราณมีบางอย่างผิดปกติ นางชี้นิ้วออกไป พลังที่มองไม่เห็นก็เข้าไปในร่างกายของเย่จิ่งหลาน จากนั้นนางก็ใช้วิชาตัวเบาหลบหนีอย่างรวดเร็วทันทีที่ร่างของนางงหายไป ชิงฮุยก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเย่จิ่งหลาน“ประสาทรับกลิ่นไวดีนี่”ชิงฮุยแค่นเสียงหึในลำคอเบาๆ พูดกับเย่จิ่งหลาน “ไปจับตัวนางมา หากผู้ใดกล้าขวาง ฆ่าไม่เว้น!”เย่จิ่งหลานพยักหน้า และร่างของเขาก็หายไปในทันทีจากนั้น ร่างหลายร่างก็เดินออกมาจากความมืด กล่าวด้วยความเคารพ “น้อมคำนับคุณชาย”“ตามสบาย ตอนนี้พวกเจ้าฝึกฌานตบะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”ชิงฮุยถามไปด้าน
เมื่อทุกคนได้รับคำสั่งให้ออกไป ลั่วสุ่ยชิงก็วิ่งมุ่งหน้าไปยังอิ๋นเฉิง แต่กลับรู้สึกว่ามีเงาดำแวบขึ้นมาต่อหน้าต่อตา และเย่จิ่งหลานก็มาหยุดไว้เขายืนยิ่งเงียบอยู่เบื้องหน้าของลั่วสุ่ยชิง ราวกับพญามัจจุราชในนรก มืดมนและน่าสะพรึงกลัวลั่วสุ่ยชิงยืนนิ่ง นางเพิ่มจิตสำนึกทางจิตวิญญาณให้สูงสุด และไม่รู้สึกถึงลมปราณของชิงฮุยชิงฮุยไว้วางใจคุณชายน้อยเย่คนนี้ และนั่นคือสิ่งที่นางต้องการจริงๆ“เย่จิ่งหลาน เจ้าเป็นคนต้าโจว แต่กลับสมคบคิดศัตรู ทำงานช่วยเหลือเสือเลว ไม่รู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษของเจ้ากระนั้นหรือ”เย่จิ่งหลานโจมตีลั่วสุ่ยชิงอีกครั้ง โดยไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำลั่วสุ่ยชิงก้าวไปข้างหน้า ร่างของนางลอยอยู่ในอากาศแล้ว หมอกสีดำพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ปกคลุมเย่จิ่งหลานไว้ในม่านหมอกนางอยากจะทดสอบดูว่าเย่จิ่งหลานสามารถฝึกฝนวิชาเทียนเสวียนได้ถึงขั้นไหนแล้วเย่จิ่งหลานไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ ฟาดฝ่ามือกลับไปฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ส่งเสียงสะท้านเย่จิ่งหลานสับขาหลอก หมุนตัวและกระโดดขึ้นไปในอากาศ“ตายซะ!”ลั่วสุ่ยชิงหัวเราะเบาๆ“อย่างเจ้าน่ะ ไม่มีความสามารถขนาดนั้น!”นิ้วเรียวขาวชี้ออกไป และจี้จ
เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่ม มาพร้อมอัศนีที่เล่นโลดบนผืนนภาพายุฝนกระหน่ำสาดไปทั่วทั้งตำหนักวังเย็น ประตูไม้ที่แต่เดิมก็ปิดไม่สนิทอยู่แล้ว ชนกระแทกกันอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น สาวใช้ในชุดเสื้อผ้าขาดเก่าๆ ใช้ร่างกายตนเองดันประตูไว้อย่างสุดชีวิต พร้อมกับน้ำตาที่ไหลหลั่งอย่างห้ามไม่อยู่เจ้านายใกล้จะคลอดเต็มที ทว่าสภาพอากาศตอนนี้กลับทั้งลมแรงทั้งฝนตกไฉนสวรรค์จึงใจร้ายเฉกเช่นนี้ยายเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างขอบเตียงก็ดวงตาแดงก่ำเช่นกันพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “พระสนม ศรีษะทารกใกล้ออกมาแล้ว ขอเพียงพระองค์ออกแรงอีกนิด ทารกก็จะออกมาแล้ว”บนเตียงมีหญิงสาวใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษผู้หนึ่งนอนราบอยู่ ใบหน้าสวยได้รูปเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ และท้องที่กลมโตก็เด่นสะดุดตาเป็นอย่างมากเธอใช้กัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง นิ้วมือจิกกับขอบเตียงจนเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เส้นเลือดบนหน้าผากก็ปูดโปนชัดเจนทว่าเพียงเสี้ยววินาทีหญิงสาวก็หมดแรงยายหลี่รีบจับมือเธอเอาไว้ และพูดอย่างยากเย็น “พระสนม โปรดพยายามอีกหน่อยเพคะ ขอเพียงคลอดพระโอรส บางทีพวกเราอาจจะได้ย้ายออกจากวังเย็นก็ได้ ใต้เท้าเองก็จะสามารถกลับเมืองหลวงได้แล้ว”หญิงสาว
อินชิงเสวียนแก้มแดงด้วยความเขิน ตนเองยังไม่มีแม้แต่แฟนหนุ่ม อยู่ดีๆ บอกให้เธอให้นมทารก ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกแปลกๆ แต่พอเห็นทารกน้อยร้องไห้จนหน้าแดงก่ำ ก็ทนใจร้ายไม่ลง เธอรับทารกน้อยมาด้วยความระวัง กลัวจะเผลอทำเด็กน้อยเจ็บ แต่วินาทีต่อมาก็ตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดทันที เพราะเจ้าของร่างเดิมไม่มีน้ำนมเด็กน้อยดูดดุนไปสักพัก แต่ไม่มีอะไรเข้าปากเลย ทันใดนั้นมือน้อยๆ กำแน่นแล้วเริ่มร้องไห้ ขาเล็กๆ ทั้งสองเตะไปมาราวกับกำลังระบายความไม่พอใจที่มีออกมายายหลี่รีบอุ้มทารกน้อยกลับไป กล่อมเด็กน้อยไปพลางและพูดด้วยความร้อนใจ “ทีนี้ควรจะทำอย่างไรดี พระสนมไม่มีน้ำนม ผู้ใหญ่อย่างเราอดบ้างหิวบ้างไม่เป็นไร แต่องค์ชายยังเด็กขนาดนี้ จะทนไหวได้อย่างไรกัน”เด็กน้อยร้องไห้จนหอบเหนื่อย ทำให้อินชิงเสวียนก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาด้วย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในช่องว่างมีภารกิจที่เก็บคะแนนได้ จึงพูดขึ้นทันที “อวิ๋นฉ่าย เจ้าไปข้างนอกเก็บต้นหญ้ามาให้ข้าต้นหนึ่ง”อวิ๋นฉ่ายชะงัก นี่พระสนมร้อนใจจนสับสนเสียแล้วหรือ เก็บต้นหญ้ามาจะมีประโยชน์อะไร?เสียงร้องเด็กน้อยดังสนั่น อินชิงเสวียนก็รู้สึกว้าวุ่นในใจตาม พูดด้วยเสียงที่ด
พระสนมในอดีตเป็นคนอ่อนโยน แต่เจ้านายในตอนนี้ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเย็นชา และที่พวกเธอไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ สิ่งของแปลกๆ เหล่านี้ได้มาจากที่ไหนอินชิงเสวียนเองก็ปวดหัวไม่แพ้กัน เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเองตัวเธอยังเป็นแค่เด็กน้อยที่ยังเรียนไม่จบมหาลัยเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้นอกจากต้องเลี้ยงลูกแล้ว ยังต้องเอาชีวิตรอดในวังเย็นเช่นนี้ โจทย์นี้จะยากเกินไปสำหรับเธอแล้วหรือเปล่าโชคยังดีที่สวรรค์ยังมอบโกลด์ฟิงเกอร์*ในตำนานให้เธอ เพียงแค่นึกคิด เธอก็จะเข้าไปในช่องว่างอินชิงเสวียนใช้แรงขุดหลุมเล็กๆ จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็นำเมล็ดข้าวสาลี แตงกวาและมะเขือเทศปลูกลงไป ทันใดนั้นก็มีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอรดน้ำด้วยน้ำพุวิญญาณหรือไม่ไม่ต้องคิดมากกับคำถามนี้เลย เธอเลือกตอบตกลงทันที ทันใดนั้นน้ำจากน้ำพุวิญญาณก็ลอยมารดพืชที่ปลูกไว้อย่างแม่นยำ จากนั้นก็เกิดเรื่องที่ทำให้อินชิงเสวียนต้องตะลึงเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งปลูกไปเมื่อสักครู่งอกเงยและเติบโตให้เห็นกับตา และเพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นสวนเขียวขจีสมแล้วที่เป็นน้ำพุวิญญาณ!อินชิงเสวียนดีใจยกใหญ่ จึงรีบปลูกเพิ่มอีก และเลือก
ยายหลี่รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก โค้งตัวคำนับและพูดว่า "บ่าวทราบแล้ว แต่ว่าเราควรจะตั้งชื่อให้พระโอรสก่อนไหมเพคะ"เมื่อคิดถึงผู้ชายใจร้ายใจดำคนนั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกเย้ยหยัน"ชื่อว่าหมาน้อยแล้วกัน ชื่อหยาบเลี้ยงโตง่าย"อวิ๋นฉ่ายเอามือปิดปาก แล้วหัวเราะพรวดออกมา"พระสนม มีชื่อแบบนี้ที่ไหนกันเพคะ"ยายหลี่เองก็หัวเราะตาม ชื่อนี้ไม่น่าฟังมากเกินไปแล้วอินชิงเสวียนกลับเข้าห้องไปแล้ว อย่างไรเสียเด็กน้อยก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น รอได้ออกจากวังแล้ว ค่อยตั้งชื่อใหม่ให้เด็กน้อยแล้วกันตอนนี้เธอก็ไม่อยากเสียเวลาคิดเรื่องนี้ด้วยกลับมาถึงห้อง อินชิงเสวียนก็เข้าไปในช่องว่างอีก เธอดื่มน้ำพุวิญญาณเล็กน้อย แล้วเริ่มเพาะปลูกต่อพื้นที่ในช่องว่างไม้ใหญ่นัก คงราวๆยี่สิบร่องแปลง แต่ละร่องแปลงอย่างมากสุดก็ยาวแค่ยี่สิบเมตร อินชิงเสวียนปลูกผักไปสองแปลง ส่วนที่เหลือเธอปลูกข้าวสาลีตอนที่กลับออกมา ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้วอินชิงเสวียนออกไปดูข้างนอก ก็พบว่ายายหลี่กับอวิ๋นฉ่ายนอนหลับไปแล้วเจ้าหมาน้อยก็เป็นเด็กดีเช่นกัน ตาคู่เล็กหลับพริ้มปิดสนิทตั้งแต่ที่ใช้น้ำพุวิญญาณชงนม เจ้าหมาน้อยก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช