“ท่านแม่อย่าเพิ่งผลีผลาม เกรงว่าเรื่องนี้จะมีเหตุผลอื่นซ่อนเร้นอยู่”อินชิงเสวียนก้าวเข้ามายืนขั้นกลางระหว่างคนทั้งสอง นิ้วเรียวยาวนี้บีบข้อมือของเหมยชิงเกอ การที่ถูกจองจำนานกว่าสิบปี ทำให้เหมยชิงเกอไม่เพียงแต่มีอารมณ์รุนแรงสุดโต่งเท่านั้น แต่ยังบ้าคลั่งและโกรธแค้นมากอีกด้วยอินชิงเสวียนสามารถเข้าใจสิ่งที่นางกำลังเผชิญได้ แต่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง เนื่องจากมีคนจงใจต้องการทำร้ายเหมยชิงเกอ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้กลอุบายบางอย่างกับศิษย์เหล่านั้นเมื่อเห็นว่าเป็นลูกสาวของนาง เหมยชิงเกอจึงค่อยๆ ดึงมือออก มองเฮ่อยวนด้วยสายตาเย็นชา“ตำหนักเทพหอทองคำประลองยุทธ์กับอิ๋นเฉิงมาหลายปีแล้ว ไม่เคยมีผู้เสียชีวิตเลย หากวันนี้ท่านไม่มีคำอธิบายให้แก่ข้า ก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตออกไปจากตำหนักเทพหอทองคำได้”เมื่อเฮ่อยวนเงยหน้าขึ้น ศิษย์อิ๋นเฉิงที่เคยประลองยุทธ์กันมาก่อนก็หายตัวไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล หากไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้ ทั้งสองสำนักอาจไม่สามารถยอมลงให้กันได้คราวนี้ได้ยินเสียงชัดเจนพูดว่า “ท่านพ่อกำลังมองหาคนนี้อยู่หรือ”เย่จิ่งอวี้ไม่รู้ว่าเขาออกจากแท่นประลองเม
ใบหน้าของเฮ่อยวนมืดลงทันที“อวิ๋นเฟิ่ง เจ้าสะเพร่าขนาดนี้ได้อย่างไร”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งหิ้วร่างของคนผู้นั้น แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร หากกล้าทำลายมิตรภาพระหว่างอิ๋นเฉิงและตำหนักเทพ ก็ไม่อาจปล่อยให้รดอได้ ท่านพี่ไม่ต้องกังวล ข้าจะสืบหาต้นตอของเขาอย่างแน่นอน หาคำอธิบายให้พี่หญิงเหมย”เดิมทีทุกคนในตำหนักเทพเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่ออิ๋นเฉิง แต่เมื่อเห็นกงซวินอวิ๋นเฟิ่งฆ่าศิษย์คนนั้นด้วยมือตัวเอง ความโกรธของทุกคนก็ลดลงอย่างมากอินชิงเสวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย นางต้องบอกว่ากงซวินฮูหยินมีกลอุบายบางอย่าง สิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผล เป็นเรื่องยากที่จะจับผิดได้ แต่ถ้าสังเกตให้ละเอียดรอบคอบแล้ว เมื่อบุคคลนี้เสียชีวิต ระหว่างเหมยชิงเกอกับเฮ่อยวนก็ยิ่งมีเรื่องราวสับสนซึ่งยากต่อการคลี่คลาย“ชิงเกอ ข้า...”เฮ่อยวนต้องการอธิบาย แต่เมื่อเห็นท่าทางโกรธจัดของเหมยชิงเกอ เขาก็กลืนคำพูดกลับคืนทันทีเหมยชิงเกอสะบัดเสื้อคลุม แล้วพูดกับทุกคนว่า “สำหรับวันนี้พอเท่านี้ การประลองยุทธ์จะดำเนินต่อไปในวันพรุ่งนี้ ชาวยุทธ์ทุกคนสามารถพักอยู่ที่ตำหนักเทพอีกหนึ่งวัน เรื่องที่อยู่ที่กิน ตำหนักเทพจ
ในยามราตรีร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นในที่พักชั่วคราวของชาวเมืองเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงภายในถ้ำ ผู้อาวุโสกงซวินมองดูศพบนพื้นด้วยสีหน้ากังวล“ศิษย์คนนี้ใช้สิ่งของของอิ๋นเฉิงจริงๆ แต่เรากลับไม่รู้จัก เรื่องนี้ค่อนข้างน่าสงสัยไปหน่อย”ผู้อาวุโสฉางชิวเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ฮั่วเทียนเฉิงยังเป็นศิษย์สายตรงของตาเฒ่าจิน มีสถานะที่สูงมากในตำหนักเทพ เกรงว่าเจ้าตำหนักเหมยจะไม่หยุดแค่นี้”เขาเหลือบมองเฮ่อยวนแล้วพูดว่า “ถ้าหากต้องการแก้ไขความขุ่นเคืองนี้ เกรงว่าเจ้าเมืองจะต้องออกหน้าด้วยตนเองแล้ว”เฮ่อยวนพูดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจว่า “เดิมทีชิงเกอก็มีอารมณ์รุนแรงอยู่แล้ว ถ้าข้าไปตอนนี้ ไม่เพียงจะไม่ส่งผลดี แต่กลับทำให้นางพาลโกรธมากขึ้น มีแค่ต้องรอหลังการประลองยุทธ์ค่อยว่ากันอีกที พรุ่งนี้ข้าจะส่งลูกศิษย์ที่เชื่อถือได้ ส่วนคนผู้นี้ เมื่อกลับอิ๋นเฉิงแล้วต้องตรวจสอบอย่างละเอียด”ผู้อาวุโสหลักอีกสองคนพยักหน้าพร้อมกัน การมีบุคคลที่ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้มาปะปนในอิ๋นเฉิง มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยผู้อาวุโสกงซวินมองดูท้องฟ้าแล้วพูดว่า “นี่ก็ดึกแล้ว วันนี้เราสงบสติอารมณ์และพักผ่อนให้สบายกันก่อนเถอะ อว
ในมิติของเย่จิ่งหลาน ทั้งหมดกำลังจ้องมองไปที่ศพร่างนั้น“หวังซุ่น เจ้าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะทำหน้ากากนี้เสร็จ”หากอินชิงเสวียนจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าอย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสามวันหวังซุ่นหัวเราะแหะๆ แล้วพูด ว่า “สิบห้านาทีก็เสร็จแล้ว”ชิงเสวียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย“ทักษะของเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยนะ”หวังซุ่นกล่าวด้วยท่าทีประจบประแจงว่า “ฮองเฮาตรัสยกย่องเกินไปแล้ว นี่เป็นผลงานของเครื่องพิมพ์สามมิติ มีมันช่วยอีกแรก ข้าก็มีหน้าที่แค่ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดกับแม่พิมพ์ก็พอ”อินชิงเสวียนถึงบางอ้อ นางเอาเครื่องพิมพ์สามมิติให้กับเย่จิ่งหลานจริงๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์มากขนาดนี้“ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำเถอะ อาอวี้กับลูกศิษย์คนนั้นมีสัดส่วนไล่เลี่ยกัน จะได้ลองดูด้วย”เย่จิ่งอวี้พูดขณะที่เอามือไพล่หลัง “ได้สิ แต่ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขามีรหัสลับหรือเปล่า”เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเลย หากพวกเขารู้ว่าศพหายไป ต้องออกมาตามหาแน่นอน พี่ใหญ่ก็ถือโอกาสตามกงซวินอวิ๋นเฟิ่งได้เลย”ในขณะที่หลายคนกำลังคุยกัน กงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็กลับมายังที่พักช
กงซวินอวิ๋นเฟิ่งตะโกนด้วยความโกรธว่า “บังอาจ ขืนกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะทำให้เจ้าตายอีกครั้ง”ศิษย์คนนี้เหมือนจะหวาดกลัวเล็กน้อย ถอยกลับไปหนึ่งก้าว“กงซวินฮูหยินจะฆ่าคนปิดปากงั้นหรือ”กระแสเสียงของกงซวินอวิ๋นเฟิ่งเย็นชา“เจ้าเป็นลูกศิษย์ของอิ๋นเฉิง ควรคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมเป็นอันดับแรก จะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร”ศิษย์ถอนหายใจ “เห็นได้ชัดว่าเป็นฮูหยินที่สั่งให้ข้าออกไปสู้ แต่ตอนนี้มาพูดกลับไปกลับมา ถ้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าเมือง ไม่รู้ว่าเขาจะมองฮูหยินด้วยสายตาเช่นไร”“หุบปาก!”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งโจมตีทันที เนื่องจากกำลังภายในที่แข็งแกร่งทำให้เย่จิ่งอวี้ก็เลิกคิ้วน้อยๆเพราะเขามีรูปร่างใกล้เคียงกับศิษย์อิ๋นเฉิง เขาจึงสวมหน้ากากและมาทดสอบกงซวินอวิ๋นเฟิ่งเมื่อเห็นมือของกงซวินอวิ๋นเฟิ่งเปล่งแสงสีเงิน เย่จิ่งอวี้ก็คิดในใจว่า ทุกคนในโลกต่างกล่าวว่ากงซวินอวิ๋นเฟิ่งมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม มีวรยุทธ์ธรรมดา ตอนนี้ดูเหมือนว่าข่าวลือจะไม่น่าเชื่อถือ กงซวินอวิ๋นเฟิ่งซ่อนคมไว้โดยตลอด คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของนางไม่มีช่องโหว่เลย เย่จิ่งอวี้ยากจะบอกได้ในทันทีว่ากงซวิน
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเราทำให้แหวกหญ้าให้งูตื่นหรอกหรือ”เย่จิ่งอวี้ตอบอืม“คงเป็นแบบนั้น”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว“คิดไม่ถึงว่ากงซวินอวิ๋นเฟิ่งที่อยู่ในเมืองจะลึกซึ้งขนาดนี้ หากเป็นเช่นนี้ ความสงสัยของนางจะเพิ่มขึ้นมาก”เย่จิ่งอวี้มองดูภรรยาของเขาแล้วพูดว่า “ถึงสงสัยไปก็ไร้ประโยชน์ หากหาหลักฐานไม่ได้ เราก็จัดการกับนางได้ยาก ตระกูลกงซวินทำการรักษามาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะในใจของศิษย์อิ๋นเฉิง หรือในสายตาของชาวบ้าน พวกเขาล้วนอยู่ในสถานะสูงส่ง”อินชิงเสวียนเริ่มรู้สึกท้อแท้“แล้วเราควรทำอย่างไรดี หรือจะไม่ทำอะไรเลย รอให้นางเผยพิรุธเองงั้นหรือ”ตั้งแต่มาอยู่ที่ต้าโจวนานขนาดนี้ อินชิงเสวียนเจอตัวร้ายมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นตัวร้ายอย่างกงซวินอวิ๋นเฟิ่งที่ไม่ยอมหลงกลอะไรเลย ชั่วครู่หนึ่งนางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดีเย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ พูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีอยู่ บางทีอาจทำให้กงซวินอวิ๋นเฟิ่งเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงได้ แต่ต้องรอหลังการประลองยุทธ์ จึงจะสามารถทำได้”“วิธีอะไร”ดวงตาสีเข้มของอินชิงเสวียนเบิกกว้าง“ในโลกนนี้ไม่มีแม่คนใดที่ไม่รักลูก บางที
“ท่านพี่ ไม่อย่างนั้น...ท่านไปเกลี้ยกล่อมพี่หญิงเหมยเถอะ นางต้องเชื่อคำพูดของท่านแน่นอน”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งคว้าแขนของเฮ่อยวนเฮ่อยวนยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าคิดว่านางจะฟังคำพูดข้างั้นหรือ ไว้ค่อยคุยหลังการประลองยุทธ์ก่อนดีกว่า”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งถอนหายใจ“พี่หญิงเหมยต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปี อุปนิสัยย่อมต้องเปลี่ยนไปบ้าง ข้าหวังว่าท่านพี่จะเข้าใจนาง อดทนต่อนาง”เฮ่อยวนก้มศีรษะมองไปที่กงซวินอวิ๋นเฟิ่ง ประกายในดวงตาสั่นไหว จากนั้นก็จับมือนางทันที“ได้มีภรรยาที่มีคุณธรรมเช่นนี้ เฮ่อยวนโชคดีอย่างยิ่งจริงๆ!”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งเม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม“เราเป็นคู่สามีภรรยากันมายาวนานแล้ว พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน รีบกลับกันเถิด”ในอีกด้านหนึ่ง อินชิงเสวียนก็มาส่งเฮ่อฉางเฟิงกลับเช่นกันเมื่อมองดูแผ่นหลังของเขา เย่จิ่งอวี้ก็พูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจว่า “พี่เจ้าเป็นคนดีจริงๆ แต่มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ”อินชิงเสวียนถามว่า “เรื่องใดงั้นหรือ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างสับสนว่า “ถ้าเราคำนวณตามเวลาการครองรักกัน เสวียนเอ๋อร์ก็ควรเป็นพี่สาวสิ ทำไมฉางเฟิงถึงกลายเป็นพี่ชายของเสวียนเอ๋อร์ไปได้”อินชิงเสวียนกลอกตามอง
หลังจากที่กลับจากตงหลิวตั้งแต่ตอนแรก หวังซุ่นสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่นอกจากฆ่าชาวยุทธ์ชั่วสามคนนั้นที่รังแกเฉิงเฟิ่งโหลวในโรงเตี๊ยมแล้ว เย่จิ่งหลานไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นที่เกินขอบเขตเลยแต่วันนี้ กลับทำให้หวังซุ่นขนหัวลุกนี่คือการฆ่าอย่างทารุณที่แท้จริง!ด้วยวรยุทธ์ในปัจจุบันของเย่จิ่งหลาน การจัดการกับเศษสวะของยุทธภพนั้นทำได้ง่ายราวกับการดีดนิ้ว ไม่จำเป็นต้อนทรมานขนาดนี้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์หญิงคนนั้นเลยขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เย่จิ่งหลานก็หันกลับมา ดวงตามืดมนส่องประกายวาวในความมืด จู่ๆ หวังซุ่นก็ตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ผงะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว“นายท่าน...”เย่จิ่งหลานแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม“กลัวอะไรเล่า เศษสวะแบบนี้ ไม่ควรสั่งสอนให้ดีหรอกหรือ”เขายกมือขึ้นคว้าคนผู้นั้น แล้วโยนอัดเข้ากับกำแพงหินอย่างแรงคนผู้นั้นพ่นเลือดออกมา ชีวิตดับลงในพริบตา จากนั้นเย่จิ่งหลานก็ลอยตามไป และเตะคนผู้นั้นลงจากหน้าผาราวกับเตะบอลหวังซุ่นพูดตะกุกตะกัก “อันที่จริง...ควรต้องสั่งสอนแล้ว!”เย่จิ่งหลานคำรามเสียงดัง ในใจรู้สึกมีความสุขท่วมท้น สะบัดแข
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี
“ข้าเอง!”อยู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกสนุก กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงเมื่อเห็นนางชัดเจน คนบนแท่นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“อิน...”นางพูดได้คำเดียว จากนั้นรีบเปลี่ยนคำพูด คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “หน่วยรักษาการณ์ฝั่งซ้ายฟางรั่ว ขอน้อมถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เพียงพริบตาเดียวก็ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้ว แม่นางฟางรั่วเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเลย มีความกล้าหาญขนาดที่หมื่นคนก็ขวางไม่อยู่ ทำให้สตรีทั่วทั้งแผ่นดินรู้สึกภาคภูมิใจจริงๆ”ฟางรั่วถูกอินชิงเสวียนยกย่องจนดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก นางก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ฮองเฮาตรัสยกย่องเกินไปแล้ว”นางพูดด้วยกระแสเสียงสงบ ก้องกังวานราวกับว่าเสียงโลหะกระทบกัน คิดว่านางคงใช้น้ำพุวิญญาณที่ตัวเองเก็บไว้ให้ จนก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว“คำยกย่องใช่ว่าจะไม่มีมูล เจ้าเก่งมากจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิด คนเหล่านี้เป็นลูกน้องของเจ้าหรือ”อินชิงเสวียนหันความสนใจไปยังคนที่เบื้องล่างแท่นประลองฟางรั่วพยักหน้า“สตรีทุกคนในค่ายกำลังสอบวิชาการต่อสู้ หลังจากพวกนางสอบเสร็จสิ้น ฮองเฮาก็จะสามารถชมความองอาจของพวกนางได้”อินชิงเสว
อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กลั้นเสียงหัวเราะ แต่ต้องชื่นชมสายตาขององครักษ์เงาเหล่านี้ ภายใต้การจ้องมองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแผนการและกลอุบายใดๆ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาไปได้สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา เอกสารสอบที่ปิดผนึกจำนวน 420 ชุดก็ถูกขนย้ายเข้ามาในห้องหนังสือแล้วอินชิงเสวียนรออยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของที่ทำหน้าที่ตรวจข้อสอบ นางตื่นเต้นมาก หลังจากได้รับกระดาษคำตอบแล้ว นางก็เปิดผนึกเคลือบออกทันที สองสามีภรรยามีการแบ่งงานอย่างชัดเจน คนหนึ่งตรวจวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ส่วนอีกคนก็พิจารณาภาพรวม หลังจากผ่านไปสิบวัน ในที่สุดก็ได้คัดเลือกออกมาเก้าสิบหกชุดอินชิงเสวียนตรวจอ่านจนเวียนหัวตาลาย ชาตินี้ไม่คิดจะแตะต้องชุดข้อสอบเหล่านี้อีกแล้วเย่จิ่งอวี้นวดหน้าผากของนางเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันจะเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮองเฮาอยากมาสังเกตการณ์หรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัวซ้ำๆ“ไม่แล้ว ฝ่าบาทดูก็พอ ตอนนี้ข้าแค่อยากจะนอนพักผ่อนให้สบายสักสองสามวันแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ได้ เช่นนั้นก็พักผ่อนดีๆ ฮองเฮาของข้าลำบากแล้ว”อินชิงเสวียนถอนหายใจอีกครั้ง“น่าเสียดา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเดือนสามนักเรียนฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต้าโจวก็คึกคักครื้นเครงเป็นพิเศษ วันที่สิบแปดเดือนสาม กรมพิธีการเป็นประธานในการสอบอินชิงเสวียนปลอมตัวเป็นอาจารย์อินอีกครั้ง และแอบหนีไปที่หอตรวจ ท้องของนางเริ่มโตขึ้นมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น จึงสวมชุดคลุมตัวใหญ่ อำพรางร่างกาย ไว้เย่จิ่งอวี้ไม่วางใจ ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามไปด้วย โดยมีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์เขาโค้งคำนับประสานมือคารวะ พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าน้อยคุ้มครองความปลอดภัยของ อาจารย์อิน ถ้าอาจารย์อินต้องการสิ่งใด เชิญสั่งมาได้เต็มที่”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา วางท่าเหมือนเป็นผู้มีการศึกษา“ไปยืนอยู่ด้านหลัง หากไม่มีอะไรก็อย่าพูดมาก”“รับทราบ”เย่จิ่งอวี้ลดมือลง ยืนข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง โดยไม่พูดอะไรสักคำอินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องสอบเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ ท่าทางสบายอารมณ์มาก คนจากสำนักศึกษาหลวงถูกย้ายมาที่นี่แล้ว ไม
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เหล่าขุนนางได้รับข่าว สั่งให้ชาวเมืองเร่งไปที่พระนครในเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะฝ่าบาทจะฉลองวันตรุษกับราษฎรทุกคนในอดีต ก็มีการเฉลิมฉลองวันตรุษกับราษฎร แต่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่พระนครในสถานที่สำคัญอย่างเช่นวังหลวง จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ได้อย่างไร แม้แต่การมองจากไกลๆ ก็มีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตั้งตารอคอยเพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เหล่าขุนนางก็ได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกประตูวังก็มีผู้คนมากมายขณะที่มองดูคบเพลิงที่โอ้อวด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ“อากาศหนาวมาก ให้เรามาทำอะไรที่นี่กัน”“ใช่ มืดสนิทอย่างนี้ หรือจะให้พวกเรานั่งฟังพวกขุนนางข้างในนั่นยกจอกดื่มกันอย่างสนุกสนาน?”“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อบอกให้เรามาก็มาเถอะ ครึ่งเดือนที่แล้วฮองเฮาประทานข้าว แป้งหมี่ ผักและผลไม้ให้เรามากมาย แม้ต้องทนหนาวก็สมควรแล้ว”“ไม่ใช่หรอกรึ ถึงอย่างไรคนก็มีคุณธรรม ในฤดูกาลนี้จะหาผลไม้และผักสดอร่อยๆ แบบนี้ได้ที่ไหน แม้ว่าฮองเฮาจะให้ทนหนาว ข้าก็ยอมรับได้”
พริบตาก็ถึงวันสิ้นปี นับตั้งแต่พิธีเสกสมรสของท่านอ๋องสิบสามก็ผ่านไปสองเดือนแล้วท้องน้อยของอินชิงเสวียนนูนขึ้น คนทั้งคนเป็นเหมือนแมวขี้เกียจ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการนอนอาบแดดบนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ในขณะนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเสียงของสาวน้อยเย่ไห่ถังที่ดังก้องอยู่ในหูของนาง“เสด็จอาสิบสามแต่งงานมานานแล้ว ทำไมเสด็จพี่ถึงยังไม่พูดถึงการแต่งงานของข้าล่ะ เสด็จพี่สะใภ้ อินปู้อวี่เป็นพี่รองของท่านนะ ท่านไม่ร้อนใจหรือ”“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งหลับนะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ”อินชิงเสวียนถูกนางรบกวนจนปวดหัว จำต้องลืมตาตื่น“การแต่งงานของเจ้ากับพี่รองจะจัดขึ้นในปีหลังจากนั้น ถึงอย่างไรเสด็จอาสิบสามของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าแต่งงานพร้อมกับเขา มันไม่เหมาะสม”เย่ไห่ถังทำหน้าบูดบึ้งทันที“ไม่เหมาะสมอะไรกัน ข้าไม่ได้แต่งงานกับเขาเสียหน่อย”อินชิงเสวียนโกรธจนหัวเราะ“เรื่องนี้เจ้าก็ยังพูดออกมาได้นะ ถ้าเสด็จพี่เจ้าได้ยิน บางทีอาจส่งเจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีจริงๆ ก็ได้”เย่ไห่ถังสะดุ้ง รีบปิดหูของอินชิงเสวียนทันที พระราชโองการนั้นได้กลายเป็นเงาในใจของนางแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเ