ในยามราตรีร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นในที่พักชั่วคราวของชาวเมืองเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงภายในถ้ำ ผู้อาวุโสกงซวินมองดูศพบนพื้นด้วยสีหน้ากังวล“ศิษย์คนนี้ใช้สิ่งของของอิ๋นเฉิงจริงๆ แต่เรากลับไม่รู้จัก เรื่องนี้ค่อนข้างน่าสงสัยไปหน่อย”ผู้อาวุโสฉางชิวเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ฮั่วเทียนเฉิงยังเป็นศิษย์สายตรงของตาเฒ่าจิน มีสถานะที่สูงมากในตำหนักเทพ เกรงว่าเจ้าตำหนักเหมยจะไม่หยุดแค่นี้”เขาเหลือบมองเฮ่อยวนแล้วพูดว่า “ถ้าหากต้องการแก้ไขความขุ่นเคืองนี้ เกรงว่าเจ้าเมืองจะต้องออกหน้าด้วยตนเองแล้ว”เฮ่อยวนพูดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจว่า “เดิมทีชิงเกอก็มีอารมณ์รุนแรงอยู่แล้ว ถ้าข้าไปตอนนี้ ไม่เพียงจะไม่ส่งผลดี แต่กลับทำให้นางพาลโกรธมากขึ้น มีแค่ต้องรอหลังการประลองยุทธ์ค่อยว่ากันอีกที พรุ่งนี้ข้าจะส่งลูกศิษย์ที่เชื่อถือได้ ส่วนคนผู้นี้ เมื่อกลับอิ๋นเฉิงแล้วต้องตรวจสอบอย่างละเอียด”ผู้อาวุโสหลักอีกสองคนพยักหน้าพร้อมกัน การมีบุคคลที่ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้มาปะปนในอิ๋นเฉิง มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยผู้อาวุโสกงซวินมองดูท้องฟ้าแล้วพูดว่า “นี่ก็ดึกแล้ว วันนี้เราสงบสติอารมณ์และพักผ่อนให้สบายกันก่อนเถอะ อว
ในมิติของเย่จิ่งหลาน ทั้งหมดกำลังจ้องมองไปที่ศพร่างนั้น“หวังซุ่น เจ้าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะทำหน้ากากนี้เสร็จ”หากอินชิงเสวียนจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าอย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสามวันหวังซุ่นหัวเราะแหะๆ แล้วพูด ว่า “สิบห้านาทีก็เสร็จแล้ว”ชิงเสวียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย“ทักษะของเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยนะ”หวังซุ่นกล่าวด้วยท่าทีประจบประแจงว่า “ฮองเฮาตรัสยกย่องเกินไปแล้ว นี่เป็นผลงานของเครื่องพิมพ์สามมิติ มีมันช่วยอีกแรก ข้าก็มีหน้าที่แค่ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดกับแม่พิมพ์ก็พอ”อินชิงเสวียนถึงบางอ้อ นางเอาเครื่องพิมพ์สามมิติให้กับเย่จิ่งหลานจริงๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์มากขนาดนี้“ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำเถอะ อาอวี้กับลูกศิษย์คนนั้นมีสัดส่วนไล่เลี่ยกัน จะได้ลองดูด้วย”เย่จิ่งอวี้พูดขณะที่เอามือไพล่หลัง “ได้สิ แต่ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขามีรหัสลับหรือเปล่า”เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเลย หากพวกเขารู้ว่าศพหายไป ต้องออกมาตามหาแน่นอน พี่ใหญ่ก็ถือโอกาสตามกงซวินอวิ๋นเฟิ่งได้เลย”ในขณะที่หลายคนกำลังคุยกัน กงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็กลับมายังที่พักช
กงซวินอวิ๋นเฟิ่งตะโกนด้วยความโกรธว่า “บังอาจ ขืนกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะทำให้เจ้าตายอีกครั้ง”ศิษย์คนนี้เหมือนจะหวาดกลัวเล็กน้อย ถอยกลับไปหนึ่งก้าว“กงซวินฮูหยินจะฆ่าคนปิดปากงั้นหรือ”กระแสเสียงของกงซวินอวิ๋นเฟิ่งเย็นชา“เจ้าเป็นลูกศิษย์ของอิ๋นเฉิง ควรคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมเป็นอันดับแรก จะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร”ศิษย์ถอนหายใจ “เห็นได้ชัดว่าเป็นฮูหยินที่สั่งให้ข้าออกไปสู้ แต่ตอนนี้มาพูดกลับไปกลับมา ถ้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าเมือง ไม่รู้ว่าเขาจะมองฮูหยินด้วยสายตาเช่นไร”“หุบปาก!”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งโจมตีทันที เนื่องจากกำลังภายในที่แข็งแกร่งทำให้เย่จิ่งอวี้ก็เลิกคิ้วน้อยๆเพราะเขามีรูปร่างใกล้เคียงกับศิษย์อิ๋นเฉิง เขาจึงสวมหน้ากากและมาทดสอบกงซวินอวิ๋นเฟิ่งเมื่อเห็นมือของกงซวินอวิ๋นเฟิ่งเปล่งแสงสีเงิน เย่จิ่งอวี้ก็คิดในใจว่า ทุกคนในโลกต่างกล่าวว่ากงซวินอวิ๋นเฟิ่งมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม มีวรยุทธ์ธรรมดา ตอนนี้ดูเหมือนว่าข่าวลือจะไม่น่าเชื่อถือ กงซวินอวิ๋นเฟิ่งซ่อนคมไว้โดยตลอด คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของนางไม่มีช่องโหว่เลย เย่จิ่งอวี้ยากจะบอกได้ในทันทีว่ากงซวิน
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเราทำให้แหวกหญ้าให้งูตื่นหรอกหรือ”เย่จิ่งอวี้ตอบอืม“คงเป็นแบบนั้น”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว“คิดไม่ถึงว่ากงซวินอวิ๋นเฟิ่งที่อยู่ในเมืองจะลึกซึ้งขนาดนี้ หากเป็นเช่นนี้ ความสงสัยของนางจะเพิ่มขึ้นมาก”เย่จิ่งอวี้มองดูภรรยาของเขาแล้วพูดว่า “ถึงสงสัยไปก็ไร้ประโยชน์ หากหาหลักฐานไม่ได้ เราก็จัดการกับนางได้ยาก ตระกูลกงซวินทำการรักษามาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะในใจของศิษย์อิ๋นเฉิง หรือในสายตาของชาวบ้าน พวกเขาล้วนอยู่ในสถานะสูงส่ง”อินชิงเสวียนเริ่มรู้สึกท้อแท้“แล้วเราควรทำอย่างไรดี หรือจะไม่ทำอะไรเลย รอให้นางเผยพิรุธเองงั้นหรือ”ตั้งแต่มาอยู่ที่ต้าโจวนานขนาดนี้ อินชิงเสวียนเจอตัวร้ายมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นตัวร้ายอย่างกงซวินอวิ๋นเฟิ่งที่ไม่ยอมหลงกลอะไรเลย ชั่วครู่หนึ่งนางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดีเย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ พูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีอยู่ บางทีอาจทำให้กงซวินอวิ๋นเฟิ่งเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงได้ แต่ต้องรอหลังการประลองยุทธ์ จึงจะสามารถทำได้”“วิธีอะไร”ดวงตาสีเข้มของอินชิงเสวียนเบิกกว้าง“ในโลกนนี้ไม่มีแม่คนใดที่ไม่รักลูก บางที
เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่ม มาพร้อมอัศนีที่เล่นโลดบนผืนนภาพายุฝนกระหน่ำสาดไปทั่วทั้งตำหนักวังเย็น ประตูไม้ที่แต่เดิมก็ปิดไม่สนิทอยู่แล้ว ชนกระแทกกันอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น สาวใช้ในชุดเสื้อผ้าขาดเก่าๆ ใช้ร่างกายตนเองดันประตูไว้อย่างสุดชีวิต พร้อมกับน้ำตาที่ไหลหลั่งอย่างห้ามไม่อยู่เจ้านายใกล้จะคลอดเต็มที ทว่าสภาพอากาศตอนนี้กลับทั้งลมแรงทั้งฝนตกไฉนสวรรค์จึงใจร้ายเฉกเช่นนี้ยายเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างขอบเตียงก็ดวงตาแดงก่ำเช่นกันพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “พระสนม ศรีษะทารกใกล้ออกมาแล้ว ขอเพียงพระองค์ออกแรงอีกนิด ทารกก็จะออกมาแล้ว”บนเตียงมีหญิงสาวใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษผู้หนึ่งนอนราบอยู่ ใบหน้าสวยได้รูปเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ และท้องที่กลมโตก็เด่นสะดุดตาเป็นอย่างมากเธอใช้กัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง นิ้วมือจิกกับขอบเตียงจนเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เส้นเลือดบนหน้าผากก็ปูดโปนชัดเจนทว่าเพียงเสี้ยววินาทีหญิงสาวก็หมดแรงยายหลี่รีบจับมือเธอเอาไว้ และพูดอย่างยากเย็น “พระสนม โปรดพยายามอีกหน่อยเพคะ ขอเพียงคลอดพระโอรส บางทีพวกเราอาจจะได้ย้ายออกจากวังเย็นก็ได้ ใต้เท้าเองก็จะสามารถกลับเมืองหลวงได้แล้ว”หญิงสาว
อินชิงเสวียนแก้มแดงด้วยความเขิน ตนเองยังไม่มีแม้แต่แฟนหนุ่ม อยู่ดีๆ บอกให้เธอให้นมทารก ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกแปลกๆ แต่พอเห็นทารกน้อยร้องไห้จนหน้าแดงก่ำ ก็ทนใจร้ายไม่ลง เธอรับทารกน้อยมาด้วยความระวัง กลัวจะเผลอทำเด็กน้อยเจ็บ แต่วินาทีต่อมาก็ตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดทันที เพราะเจ้าของร่างเดิมไม่มีน้ำนมเด็กน้อยดูดดุนไปสักพัก แต่ไม่มีอะไรเข้าปากเลย ทันใดนั้นมือน้อยๆ กำแน่นแล้วเริ่มร้องไห้ ขาเล็กๆ ทั้งสองเตะไปมาราวกับกำลังระบายความไม่พอใจที่มีออกมายายหลี่รีบอุ้มทารกน้อยกลับไป กล่อมเด็กน้อยไปพลางและพูดด้วยความร้อนใจ “ทีนี้ควรจะทำอย่างไรดี พระสนมไม่มีน้ำนม ผู้ใหญ่อย่างเราอดบ้างหิวบ้างไม่เป็นไร แต่องค์ชายยังเด็กขนาดนี้ จะทนไหวได้อย่างไรกัน”เด็กน้อยร้องไห้จนหอบเหนื่อย ทำให้อินชิงเสวียนก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาด้วย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในช่องว่างมีภารกิจที่เก็บคะแนนได้ จึงพูดขึ้นทันที “อวิ๋นฉ่าย เจ้าไปข้างนอกเก็บต้นหญ้ามาให้ข้าต้นหนึ่ง”อวิ๋นฉ่ายชะงัก นี่พระสนมร้อนใจจนสับสนเสียแล้วหรือ เก็บต้นหญ้ามาจะมีประโยชน์อะไร?เสียงร้องเด็กน้อยดังสนั่น อินชิงเสวียนก็รู้สึกว้าวุ่นในใจตาม พูดด้วยเสียงที่ด
พระสนมในอดีตเป็นคนอ่อนโยน แต่เจ้านายในตอนนี้ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเย็นชา และที่พวกเธอไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ สิ่งของแปลกๆ เหล่านี้ได้มาจากที่ไหนอินชิงเสวียนเองก็ปวดหัวไม่แพ้กัน เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเองตัวเธอยังเป็นแค่เด็กน้อยที่ยังเรียนไม่จบมหาลัยเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้นอกจากต้องเลี้ยงลูกแล้ว ยังต้องเอาชีวิตรอดในวังเย็นเช่นนี้ โจทย์นี้จะยากเกินไปสำหรับเธอแล้วหรือเปล่าโชคยังดีที่สวรรค์ยังมอบโกลด์ฟิงเกอร์*ในตำนานให้เธอ เพียงแค่นึกคิด เธอก็จะเข้าไปในช่องว่างอินชิงเสวียนใช้แรงขุดหลุมเล็กๆ จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็นำเมล็ดข้าวสาลี แตงกวาและมะเขือเทศปลูกลงไป ทันใดนั้นก็มีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอรดน้ำด้วยน้ำพุวิญญาณหรือไม่ไม่ต้องคิดมากกับคำถามนี้เลย เธอเลือกตอบตกลงทันที ทันใดนั้นน้ำจากน้ำพุวิญญาณก็ลอยมารดพืชที่ปลูกไว้อย่างแม่นยำ จากนั้นก็เกิดเรื่องที่ทำให้อินชิงเสวียนต้องตะลึงเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งปลูกไปเมื่อสักครู่งอกเงยและเติบโตให้เห็นกับตา และเพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นสวนเขียวขจีสมแล้วที่เป็นน้ำพุวิญญาณ!อินชิงเสวียนดีใจยกใหญ่ จึงรีบปลูกเพิ่มอีก และเลือก
ยายหลี่รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก โค้งตัวคำนับและพูดว่า "บ่าวทราบแล้ว แต่ว่าเราควรจะตั้งชื่อให้พระโอรสก่อนไหมเพคะ"เมื่อคิดถึงผู้ชายใจร้ายใจดำคนนั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกเย้ยหยัน"ชื่อว่าหมาน้อยแล้วกัน ชื่อหยาบเลี้ยงโตง่าย"อวิ๋นฉ่ายเอามือปิดปาก แล้วหัวเราะพรวดออกมา"พระสนม มีชื่อแบบนี้ที่ไหนกันเพคะ"ยายหลี่เองก็หัวเราะตาม ชื่อนี้ไม่น่าฟังมากเกินไปแล้วอินชิงเสวียนกลับเข้าห้องไปแล้ว อย่างไรเสียเด็กน้อยก็เป็นลูกของผู้ชายคนนั้น รอได้ออกจากวังแล้ว ค่อยตั้งชื่อใหม่ให้เด็กน้อยแล้วกันตอนนี้เธอก็ไม่อยากเสียเวลาคิดเรื่องนี้ด้วยกลับมาถึงห้อง อินชิงเสวียนก็เข้าไปในช่องว่างอีก เธอดื่มน้ำพุวิญญาณเล็กน้อย แล้วเริ่มเพาะปลูกต่อพื้นที่ในช่องว่างไม้ใหญ่นัก คงราวๆยี่สิบร่องแปลง แต่ละร่องแปลงอย่างมากสุดก็ยาวแค่ยี่สิบเมตร อินชิงเสวียนปลูกผักไปสองแปลง ส่วนที่เหลือเธอปลูกข้าวสาลีตอนที่กลับออกมา ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้วอินชิงเสวียนออกไปดูข้างนอก ก็พบว่ายายหลี่กับอวิ๋นฉ่ายนอนหลับไปแล้วเจ้าหมาน้อยก็เป็นเด็กดีเช่นกัน ตาคู่เล็กหลับพริ้มปิดสนิทตั้งแต่ที่ใช้น้ำพุวิญญาณชงนม เจ้าหมาน้อยก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช