หลังจากที่กลับจากตงหลิวตั้งแต่ตอนแรก หวังซุ่นสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่นอกจากฆ่าชาวยุทธ์ชั่วสามคนนั้นที่รังแกเฉิงเฟิ่งโหลวในโรงเตี๊ยมแล้ว เย่จิ่งหลานไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นที่เกินขอบเขตเลยแต่วันนี้ กลับทำให้หวังซุ่นขนหัวลุกนี่คือการฆ่าอย่างทารุณที่แท้จริง!ด้วยวรยุทธ์ในปัจจุบันของเย่จิ่งหลาน การจัดการกับเศษสวะของยุทธภพนั้นทำได้ง่ายราวกับการดีดนิ้ว ไม่จำเป็นต้อนทรมานขนาดนี้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์หญิงคนนั้นเลยขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เย่จิ่งหลานก็หันกลับมา ดวงตามืดมนส่องประกายวาวในความมืด จู่ๆ หวังซุ่นก็ตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ผงะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว“นายท่าน...”เย่จิ่งหลานแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม“กลัวอะไรเล่า เศษสวะแบบนี้ ไม่ควรสั่งสอนให้ดีหรอกหรือ”เขายกมือขึ้นคว้าคนผู้นั้น แล้วโยนอัดเข้ากับกำแพงหินอย่างแรงคนผู้นั้นพ่นเลือดออกมา ชีวิตดับลงในพริบตา จากนั้นเย่จิ่งหลานก็ลอยตามไป และเตะคนผู้นั้นลงจากหน้าผาราวกับเตะบอลหวังซุ่นพูดตะกุกตะกัก “อันที่จริง...ควรต้องสั่งสอนแล้ว!”เย่จิ่งหลานคำรามเสียงดัง ในใจรู้สึกมีความสุขท่วมท้น สะบัดแข
สิบห้านาทีต่อมาเหมยชิงเกอปรากฏตัวที่ประตูถ้ำหินที่พักชั่วคราวของอิ๋นเฉิง นางมองเห็นเฮ่อยวนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไกลๆเขายืนไพล่หลัง มองขึ้นไปบนยอดต้นไม้ คิ้วทั้งคู่ขมวดเล็กน้อย สีหน้าเศร้าสร้อยเหมยชิงเกอไอเบาๆ“ดึกมากแล้ว ท่านยังไม่นอนหรือ”เมื่อได้ยินเสียงของเหมยชิงเกอ เฮ่อยวนก็ตัวชา หันขวับกลับมาทันที“ชิงเกอ เจ้ามาได้อย่างไร”เหมยชิงเกอหยุดเดิน น้ำเสียงเปลี่ยนจากความรุนแรงครั้งก่อน เป็นอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย“ข้านอนไม่หลับ เลยแวะมาดู”นางก้าวไปข้างหน้า ถอนหายใจเบาๆ “เฮ่อยวน บางที...ข้าผิดเองที่ไปโทษท่าน”เมื่อเห็นสีหน้าอันนุ่มนวลของเหมยชิงเกอ และท่าทางอ่อนโยน หัวใจของเฮ่อยวนก็เต้นรัว ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กอดเหมยชิงเกอไว้ในอ้อมแขน“ขอบใจนะชิงเกอ ในฐานะเจ้าแห่งอิ๋นเฉิง ข้าไม่สามารถหนีความผิดของเหตุการณ์นี้ได้ ยามนี้ศิษย์คนนั้นได้หลบหนีไปแล้ว คงอยู่เฉยไม่ได้นานนักหรอก ข้าได้คิดแผนล่องูออกจากรูแล้ว อีกไม่นาน เหตุการณ์นี้จะคลี่คลายความจริงจะปรากฏ”เมื่อพิงท่อนอกที่มั่นคงของเฮ่อยวน ร่างกายอันตึงเครียดของเหมยชิงเกอก็ค่อยๆ ผ่อนคลายนางมาที่นี่เพราะลูกสาวเกลี้ยกล่อม เมื่อได้ฟังเส
บนต้นไม้ อินชิงเสวียนกับเย่จิ่งอวี้สบตากัน มีคำถามเกิดขึ้นในใจพร้อมกันคนนี้เป็นใครประตูเปิดออกดังเอี๊ยด กงซวินอวิ๋นเฟิ่งเดินออกจากประตูแล้วถามด้วยน้ำเสียงสงบ “ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ามีธุระอะไรหรือ”คนผู้นั้นโค้งคำนับ พูดด้วยสีหน้านอบน้อม “บ่าวพบสมุนไพรบนภูเขา ไม่รู้ว่าจะเก็บมันได้หรือไม่”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งเหลือบมองเขา“สมุนไพรอะไร แล้วยาอยู่ที่ไหน”คนผู้นั้นชี้ไปทางทิศเหนือ“บนภูเขาลูกนั้น”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งพูดนิ่งๆ “ถึงแม้จะบอกว่าเป็นของป่า แต่ก็ยังต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าตำหนักเหมย เจ้ากลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะถามดูให้ ถ้านางอนุญาต ค่อยขุด”คนผู้นั้นรีบพูดว่า “รบกวนฮูหยินแล้ว บ่าวขอตัวก่อน”หลังจากพูดจบก็เดินกะโผลกกะเผลกออกไป หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว กงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็เรียกเขาอีก“เดี๋ยวก่อน ถึงอย่างไรข้าก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว ข้าจะไปดูกับเจ้าหน่อย สมุนไพรชนิดใดกันถึงทำให้เจ้าดีใจมากขนาดนี้”คนผู้นั้นไม่สามารถซ่อนความสุขได้ รีบยื่นแขนออกไปให้กงซวินอวิ๋นเฟิ่งจับเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนกลั้นหายใจทันที เก็บงำกลิ่นอายทั้งหมด จากนั้นสองคนนั้นก็เดินช้าๆ ผ่านพวกเขาไปราวกับกำลังเด
ริมฝีปากของเย่จิ่งอวี้กดลงมาแล้ว“ข้าน่ะ คิดถึงเสวียนเอ๋อร์”กลิ่นที่คุ้นเคยหอมกรุ่นตีขึ้นจมูกทันที ราวกับว่าตัวเองกำลังถูกดูดเข้าไปในท้องของเขาอินชิงเสวียนหายใจหอบเล็กน้อย เรียวมืออ่อนนุ่มไร้กระดูกนั้นคว้าสาบเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว“อาอวี้...ระวัง...ลูก...”“ข้าจะอ่อนโยนนะ...”เย่จิ่งอวี้ตระกองกอดร่างอ่อนนุ่มมีกลิ่นหอมของอินชิงเสวียนไว้ในอ้อมแขนของเขา สูดกลิ่นหอมแรงๆ และการสัมผัสที่เหมือนผ้าแพรไหมบนปลายนิ้วทำให้เขารู้สึกลุ่มหลงจนแทบคลั่งความปรารถนาที่สะสมหลายวันทะลักล้นออกมา เพลิงแห่งความรักไม่อาจควบคุมได้...ค่ำคืนแห่งความรักทำให้อินชิงเสวียนเหนื่อยล้า เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ปกติฮ่องเต้หนุ่มควบคุมได้ตลอด หลายคืนที่ผ่านมาก็แค่นอนกอดตัวเองแล้วหลับไป ไม่เคยฝืนใจ แต่เพราะเหตุใดทำไมเมื่อวานถึงสูญเสียการควบคุมกะทันหัน?“เสวียนเอ๋อร์ แค่กๆ เมื่อคืนเจ้านอนหลับสบายไหม”เย่จิ่งอวี้แต่งตัวเรียบร้อย เดินเข้ามาจากประตูด้วยแววตารู้สึกผิดอินชิงเสวียนจ้องมองเขาอย่างงอนๆ“ท่านยังกล้าถามอีกนะ”นางโบกมือหยิบขวดน้ำพุวิญญาณออกมา ซึ่งช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในร่างกายขอ
“ข้าไว้ใจอยู่แล้ว แต่เฟิงเอ๋อร์ไม่เคยต่อสู้กับใครเลย...”ก่อนที่กงซวินอวิ๋นเฟิ่งจะพูดจบ เฮ่อฉางเฟิงก็ลุกขึ้นยืน“ไม่ต้องกังวลหรอกท่านแม่ ลูกเคยไปเป่ยไห่มาก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เข้าร่วมในสงครามอย่างเป็นทางการ แต่ก็เคยต่อสู้กับผู้อื่น”เขายิ้มอย่างมั่นใจ แล้วกระโดดขึ้นไปบนแท่นประลองอินชิงเสวียนก็ยืนขึ้นเช่นกัน“ท่านแม่ รอบนี้ ให้ลูกสู้นะเจ้าคะ”เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดอีก อินชิงเสวียนตัดสินใจลงสนามต่อสู้ด้วยตัวเอง เพื่อทดสอบด้วยว่าเฮ่อฉางเฟิงมีเจตนาใดหรือไม่“นี่...”เดิมทีเหมยชิงเกออยากจะบอกว่านางไม่ใช่คนของตำหนักเทพ แต่อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าเบาๆ และจรดปลายเท้าลงที่แท่นประลองอย่างสง่างามแล้วเฮ่อฉางเฟิงยังคงสุภาพอ่อนโยน ประกบมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องเล็กสบายดีหรือไม่ พี่ชายขอคำนับแล้ว”อินชิงเสวียนประกบมือคารวะกลับ สีหน้าอ่อนโยน“พี่ชายเกรงใจไปแล้ว ได้ประลองยุทธ์กับพี่ชาย เป็นความโชคดีของน้องเล็กแล้ว”จู่ๆ เฮ่อฉางเฟิงก็พูดเสียงดังว่า “วรยุทธ์ของแม่นางอินนั้นยอดเยี่ยมมาก ข้าเคยสัมผัสมาแล้วที่เป่ยไห่ ข้ารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแม่นางอิน ต้องขอยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้”
เมื่อเห็นเฮ่อฉางเฟิงใช้วิชากระบี่นี้ สีหน้าของกงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็เปลี่ยนไปทันที“ฉางเฟิง!”เฮ่อฉางเฟิงคิดว่าแม่จะกลัวตัวเองทำร้ายอินชิงเสวียน จึงแสดงท่าเคลื่อนไหวครึ่งหนึ่ง และดึงพลังกลับมาครึ่งหนึ่งฝ่ามือของอินชิงเสวียนไปถึงหน้าอกของเฮ่อฉางเฟิงแล้ว แสงสีม่วงบนมือก็หายไปในทันที ตบหน้าอกของเฮ่อฉางเฟิงเบาๆ เท่านั้นเฮ่อฉางเฟิงเข้าใจ แกล้งเซถลาเล็กน้อย แล้วล้มลงกับพื้น เขาพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น แล้วประกบมือคำนับเป็นมารยาทว่า “แม่นางอินมีวรยุทธ์สูงส่ง ข้าไม่อาจเทียบได้ ขอบคุณแม่นางที่ออมมือ”ฉุยอวี้กระโดดขึ้นไปบนแท่นประลอง พูดกับทุกคนว่า “ในการต่อสู้รอบนี้ ตำหนักเทพหอทองคำเป็นผู้ชนะ ในการต่อสู้ครั้งต่อไป เชิญเจ้าตำหนักเทพ!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชาวยุทธ์ที่ชมการต่อสู้อยู่ก็รู้สึกตื่นเต้น เหตุผลที่ทุกคนยอมจ่ายเงินเพื่อดูการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ก็เพราะจุดเด่นของวันนี้การประลองยุทธ์เมื่อครู่นี้ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา และหลายคนถึงกับสร้างสถานการณ์จำลองขึ้นในใจ หากพวกเขาขึ้นแท่นประลอง เกรงว่าพวกเขาคงต้องล้มพับไปภายในไม่ถึงยี่สิบกระบวนท่าอายุยังน้อยแต่โดดเด่นมากขนาดนี้ แล้วเจ้าตำหนักกับเ
การประลองระหว่างเจ้าสำนักทั้งสองนั้นน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการประลองระหว่างผู้เยาว์มากแม้ว่าเหมยชิงเกอจะถูกจองจำคุกมานานกว่าสิบปี แต่มีอินชิงเสวียนเป็นผู้ช่วยขั้นสูง สามารถดื่มน้ำพุวิญญาณและแช่น้ำได้ตามต้องการ ทักษะวรยุทธ์ของนางก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปทั้งสองระดมหมัดมือปะทะกัน ลมแรงพัดโหมกระหน่ำ ทุกครั้งที่ต่อสู้กันจะเกิดลมพายุหมุนขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ชายเสื้อคลุมของทั้งสองพลิ้วไหว พัดลอยขึ้นไป แม้จะเป็นพลังที่ต่อสู้จนถึงแก่ชีวิต แต่ก็ไม่สูญเสียความงดงามและท่วงท่าของสำนักใหญ่ทุกคนกลั้นหายใจ ไม่กล้าพูดอะไร สถานที่แห่งนั้นเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงใดๆฉุยอวี้และลูกศิษย์หลายคนต่างก็อยู่ในอารมณ์ตึงเครียด ทุกคนรอมานานหลายปีกว่า ก็เพื่อสิทธิ์ในการครอบครองทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ ซึ่งในจำนวนรวมถึงอาคันตุกะจากตำหนักเทพทุกคนต่างจินตนาการว่าตนเป็นผู้โชคดีที่สามารถเปิดทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้ มีชื่อเสียงในยุทธจักรในชั่วพริบตาดังนั้นการประลองรอบสุดท้ายนี้ สามารถกล่าวได้ว่าได้รับความสนใจอย่างมากในขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด แสงดาวก็ลอยออกมาจากป่า มุ่งหน้าตรงไปหาเหมยชิงเกอความเร็วของแสงดาวนั้นเ
เฮ่อฉางเฟิงมองคนเลี้ยงม้าด้วยความไม่เชื่อ“เป็นเจ้าจริงๆ งั้นหรือ”ดวงตาของคนเลี้ยงม้ามีความตื่นตระหนก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็กลับมาสงบดังเดิมเขาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเฮ่อยวน พูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ถูกต้อง ข้าวางแผนทุกอย่าง รวมถึงการตามล่าเจ้าตำหนักเหมยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วด้วย”เหมยชิงเกอมองไปที่คนเลี้ยงม้าอย่างเย็นชา“ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้ ข้าเคยทำผิดต่อเจ้าหรือเปล่า”คนเลี้ยงม้าพูดอย่างสงบว่า “อิ๋นเฉิงและตำหนักเทพเป็นศัตรูกันมาตลอด ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเมืองแต่งงานกับลูกศิษย์ของตำหนักเทพเด็ดขาด”เหมยชิงเกอยิ้มเยาะ “เพียงเพราะความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง ถึงทำให้แม่ลูกคนอื่นต้องพลัดพรากจากกัน ความคิดของเจ้าช่างเลวร้ายจริงๆ หากภายหน้าเจ้ามีลูกหลานบ้าง เจ้าจะต้องได้รับกรรมสำหรับสิ่งที่เจ้าทำ”เมื่อได้ยินคำว่า “ลูกหลาน” สีหน้าของคนเลี้ยงม้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว“ข้าทำคนเดียวรับผิดคนเดียว”เหมยชิงเกอถามอีกครั้งว่า “หรือว่าฉีอวิ๋นจื่อก็เป็นเจ้าที่รับนางไว้”คนเลี้ยงม้าหยุดชะงักชั่วครู่“ข้าเอง”ทันทีที่พูดจบ ฉีอวิ๋นจื่อผู้ซึ่งต่อสู้กับเย่
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี
“ข้าเอง!”อยู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกสนุก กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงเมื่อเห็นนางชัดเจน คนบนแท่นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“อิน...”นางพูดได้คำเดียว จากนั้นรีบเปลี่ยนคำพูด คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “หน่วยรักษาการณ์ฝั่งซ้ายฟางรั่ว ขอน้อมถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เพียงพริบตาเดียวก็ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้ว แม่นางฟางรั่วเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเลย มีความกล้าหาญขนาดที่หมื่นคนก็ขวางไม่อยู่ ทำให้สตรีทั่วทั้งแผ่นดินรู้สึกภาคภูมิใจจริงๆ”ฟางรั่วถูกอินชิงเสวียนยกย่องจนดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก นางก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ฮองเฮาตรัสยกย่องเกินไปแล้ว”นางพูดด้วยกระแสเสียงสงบ ก้องกังวานราวกับว่าเสียงโลหะกระทบกัน คิดว่านางคงใช้น้ำพุวิญญาณที่ตัวเองเก็บไว้ให้ จนก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว“คำยกย่องใช่ว่าจะไม่มีมูล เจ้าเก่งมากจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิด คนเหล่านี้เป็นลูกน้องของเจ้าหรือ”อินชิงเสวียนหันความสนใจไปยังคนที่เบื้องล่างแท่นประลองฟางรั่วพยักหน้า“สตรีทุกคนในค่ายกำลังสอบวิชาการต่อสู้ หลังจากพวกนางสอบเสร็จสิ้น ฮองเฮาก็จะสามารถชมความองอาจของพวกนางได้”อินชิงเสว
อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กลั้นเสียงหัวเราะ แต่ต้องชื่นชมสายตาขององครักษ์เงาเหล่านี้ ภายใต้การจ้องมองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแผนการและกลอุบายใดๆ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาไปได้สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา เอกสารสอบที่ปิดผนึกจำนวน 420 ชุดก็ถูกขนย้ายเข้ามาในห้องหนังสือแล้วอินชิงเสวียนรออยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของที่ทำหน้าที่ตรวจข้อสอบ นางตื่นเต้นมาก หลังจากได้รับกระดาษคำตอบแล้ว นางก็เปิดผนึกเคลือบออกทันที สองสามีภรรยามีการแบ่งงานอย่างชัดเจน คนหนึ่งตรวจวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ส่วนอีกคนก็พิจารณาภาพรวม หลังจากผ่านไปสิบวัน ในที่สุดก็ได้คัดเลือกออกมาเก้าสิบหกชุดอินชิงเสวียนตรวจอ่านจนเวียนหัวตาลาย ชาตินี้ไม่คิดจะแตะต้องชุดข้อสอบเหล่านี้อีกแล้วเย่จิ่งอวี้นวดหน้าผากของนางเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันจะเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮองเฮาอยากมาสังเกตการณ์หรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัวซ้ำๆ“ไม่แล้ว ฝ่าบาทดูก็พอ ตอนนี้ข้าแค่อยากจะนอนพักผ่อนให้สบายสักสองสามวันแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ได้ เช่นนั้นก็พักผ่อนดีๆ ฮองเฮาของข้าลำบากแล้ว”อินชิงเสวียนถอนหายใจอีกครั้ง“น่าเสียดา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเดือนสามนักเรียนฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต้าโจวก็คึกคักครื้นเครงเป็นพิเศษ วันที่สิบแปดเดือนสาม กรมพิธีการเป็นประธานในการสอบอินชิงเสวียนปลอมตัวเป็นอาจารย์อินอีกครั้ง และแอบหนีไปที่หอตรวจ ท้องของนางเริ่มโตขึ้นมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น จึงสวมชุดคลุมตัวใหญ่ อำพรางร่างกาย ไว้เย่จิ่งอวี้ไม่วางใจ ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามไปด้วย โดยมีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์เขาโค้งคำนับประสานมือคารวะ พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าน้อยคุ้มครองความปลอดภัยของ อาจารย์อิน ถ้าอาจารย์อินต้องการสิ่งใด เชิญสั่งมาได้เต็มที่”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา วางท่าเหมือนเป็นผู้มีการศึกษา“ไปยืนอยู่ด้านหลัง หากไม่มีอะไรก็อย่าพูดมาก”“รับทราบ”เย่จิ่งอวี้ลดมือลง ยืนข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง โดยไม่พูดอะไรสักคำอินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องสอบเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ ท่าทางสบายอารมณ์มาก คนจากสำนักศึกษาหลวงถูกย้ายมาที่นี่แล้ว ไม
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เหล่าขุนนางได้รับข่าว สั่งให้ชาวเมืองเร่งไปที่พระนครในเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะฝ่าบาทจะฉลองวันตรุษกับราษฎรทุกคนในอดีต ก็มีการเฉลิมฉลองวันตรุษกับราษฎร แต่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่พระนครในสถานที่สำคัญอย่างเช่นวังหลวง จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ได้อย่างไร แม้แต่การมองจากไกลๆ ก็มีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตั้งตารอคอยเพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เหล่าขุนนางก็ได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกประตูวังก็มีผู้คนมากมายขณะที่มองดูคบเพลิงที่โอ้อวด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ“อากาศหนาวมาก ให้เรามาทำอะไรที่นี่กัน”“ใช่ มืดสนิทอย่างนี้ หรือจะให้พวกเรานั่งฟังพวกขุนนางข้างในนั่นยกจอกดื่มกันอย่างสนุกสนาน?”“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อบอกให้เรามาก็มาเถอะ ครึ่งเดือนที่แล้วฮองเฮาประทานข้าว แป้งหมี่ ผักและผลไม้ให้เรามากมาย แม้ต้องทนหนาวก็สมควรแล้ว”“ไม่ใช่หรอกรึ ถึงอย่างไรคนก็มีคุณธรรม ในฤดูกาลนี้จะหาผลไม้และผักสดอร่อยๆ แบบนี้ได้ที่ไหน แม้ว่าฮองเฮาจะให้ทนหนาว ข้าก็ยอมรับได้”
พริบตาก็ถึงวันสิ้นปี นับตั้งแต่พิธีเสกสมรสของท่านอ๋องสิบสามก็ผ่านไปสองเดือนแล้วท้องน้อยของอินชิงเสวียนนูนขึ้น คนทั้งคนเป็นเหมือนแมวขี้เกียจ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการนอนอาบแดดบนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ในขณะนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเสียงของสาวน้อยเย่ไห่ถังที่ดังก้องอยู่ในหูของนาง“เสด็จอาสิบสามแต่งงานมานานแล้ว ทำไมเสด็จพี่ถึงยังไม่พูดถึงการแต่งงานของข้าล่ะ เสด็จพี่สะใภ้ อินปู้อวี่เป็นพี่รองของท่านนะ ท่านไม่ร้อนใจหรือ”“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งหลับนะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ”อินชิงเสวียนถูกนางรบกวนจนปวดหัว จำต้องลืมตาตื่น“การแต่งงานของเจ้ากับพี่รองจะจัดขึ้นในปีหลังจากนั้น ถึงอย่างไรเสด็จอาสิบสามของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าแต่งงานพร้อมกับเขา มันไม่เหมาะสม”เย่ไห่ถังทำหน้าบูดบึ้งทันที“ไม่เหมาะสมอะไรกัน ข้าไม่ได้แต่งงานกับเขาเสียหน่อย”อินชิงเสวียนโกรธจนหัวเราะ“เรื่องนี้เจ้าก็ยังพูดออกมาได้นะ ถ้าเสด็จพี่เจ้าได้ยิน บางทีอาจส่งเจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีจริงๆ ก็ได้”เย่ไห่ถังสะดุ้ง รีบปิดหูของอินชิงเสวียนทันที พระราชโองการนั้นได้กลายเป็นเงาในใจของนางแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเ