เฮ่อฉางเฟิงมองคนเลี้ยงม้าด้วยความไม่เชื่อ“เป็นเจ้าจริงๆ งั้นหรือ”ดวงตาของคนเลี้ยงม้ามีความตื่นตระหนก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็กลับมาสงบดังเดิมเขาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเฮ่อยวน พูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ถูกต้อง ข้าวางแผนทุกอย่าง รวมถึงการตามล่าเจ้าตำหนักเหมยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วด้วย”เหมยชิงเกอมองไปที่คนเลี้ยงม้าอย่างเย็นชา“ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้ ข้าเคยทำผิดต่อเจ้าหรือเปล่า”คนเลี้ยงม้าพูดอย่างสงบว่า “อิ๋นเฉิงและตำหนักเทพเป็นศัตรูกันมาตลอด ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเมืองแต่งงานกับลูกศิษย์ของตำหนักเทพเด็ดขาด”เหมยชิงเกอยิ้มเยาะ “เพียงเพราะความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง ถึงทำให้แม่ลูกคนอื่นต้องพลัดพรากจากกัน ความคิดของเจ้าช่างเลวร้ายจริงๆ หากภายหน้าเจ้ามีลูกหลานบ้าง เจ้าจะต้องได้รับกรรมสำหรับสิ่งที่เจ้าทำ”เมื่อได้ยินคำว่า “ลูกหลาน” สีหน้าของคนเลี้ยงม้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว“ข้าทำคนเดียวรับผิดคนเดียว”เหมยชิงเกอถามอีกครั้งว่า “หรือว่าฉีอวิ๋นจื่อก็เป็นเจ้าที่รับนางไว้”คนเลี้ยงม้าหยุดชะงักชั่วครู่“ข้าเอง”ทันทีที่พูดจบ ฉีอวิ๋นจื่อผู้ซึ่งต่อสู้กับเย่
เสียงของเฮ่อยวนเฉยชา“ไม่ใช่”ทันใดนั้นฉีอวิ๋นจื่อก็เสียสติ กรีดร้องอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร หลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ถึงวันระลึกถึงเหมยชิงเกอ ข้าจะทำให้เจ้ามัวเมา ทำไมจะไม่ใช่เจ้า ต้องเป็นเจ้าที่กำลังโกหกข้า เจ้ากลัวว่าเหมยชิงเกอจะตำหนิเจ้า เฮ่อยวน อินชิงเสวียนเป็นลูกสาวของเจ้า แล้วเลือดเนื้อที่อยู่ในท้องของข้า ไม่ใช่ลูกของเจ้างั้นหรือ”เสียงของเฮ่อยวนเย็นชา พูดจาไม่เหลือช่องว่างให้แก้ตัวเลย“ต้องโทษที่เจ้าไม่ได้จุดตะเกียงให้มองเห็นชัดเจน การได้ร่วมเพศกับหญิงชั่วเช่นเจ้า ถือเป็นความอัปยศของศิษย์น้องข้าจริงๆ”เขาเหลือบมองอย่างเย็นชา แล้วถามอีกครั้งว่า “ฉีอวิ๋นจื่อ ถ้าฉลาดก็บอกข้ามา ใครกันแน่เป็นคนบงการให้เจ้าฝึกวิชาต้องห้ามอิ๋นเฉิง ใช่คนเลี้ยงม้าคนนี้หรือเปล่า”พูดเพียงไม่กี่คำ กระดูกขาของฉีอวิ๋นจื่อก็แทงทะลุออกมา ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูป เมื่อคิดว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในแววตาก็ฉายแววเสียใจภายหลังถ้านางไม่รู้สึกอิจฉา คงไม่มุ่งเป้าไปที่เหมยชิงเกอ ศิษย์พี่ใหญ่ใจดีกับนางมาโดยตลอด ตอนที่นางขึ้นเขามาครั้งแรกนางยังเด็กมาก ไม่กล้าอาศัยอยู
“ท่านพ่อ ท่าน...ท่านกำลังพูดอะไร”เฮ่อฉางเฟิงมองเฮ่อยวนด้วยความตกใจ ถึงขั้นสงสัยว่าตัวเองอาจจะหูเพี้ยน แต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อกับท่านแม่รักกันมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยทะเลาะกันเลย แล้วท่านแม่จะ...เขาค่อยๆ หันศีรษะไปมองคนเลี้ยงม้าหนวดครึ้ม จนแม้แต่ใบหน้าที่แท้จริงก็ยังมองไม่ชัด ใบหน้าหล่อเหลาเขียวขุ่นสลับกับขาวซีด“สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าพูดเถอะ ถ้าอธิบายไม่ชัดเจน ข้าจะทำให้หัวของเจ้าจมดิน”กงซวินอวิ๋นเฟิ่งพูดอย่างร้อนใจว่า “เฟิงเอ๋อร์ อย่าไปเชื่อพ่อเจ้าพูดเหลวไหล”ใบหน้าของผู้อาวุโสกงซวินก็เปลี่ยนเป็นสีแดง สิ่งนี้อยู่ต่อหน้าเหล่าชาวยุทธ์ทั่วหล้า ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ตระกูลกงซวินก็ต้องอับอายขายหน้าโดยสิ้นเชิงชาวยุทธ์ในกลุ่มผู้ชมต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เดิมทีพวกเขาแค่อยากดูการประลองยุทธ์ และถือโอกาสดูว่าวิถีแห่งสวรรค์คืออะไร แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พรรค์นั้นในเวลานี้ผู้คนที่ส่งเสียงดังต่างเงียบงัน เรื่องภรรยามีชู้แบบนี้ ไม่ว่าชายใดก็ไม่มีใครสามารถทนได้ การอ้าปากพูดตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย ทั้งหมดจึงได้แต่หุบปาก อ้า
คนทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันมากจริงๆ แต่ความแตกต่างก็คือ เฮ่อยวนมีความกล้าหาญและเป็นอิสระไร้ขอบเขต ในขณะที่บุคคลนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนคนที่เป็นหนอนหนังสือผู้คร่ำครึเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของชายคนนี้อย่างชัดเจน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่คือละครดราม่าอะไรกันหรือว่า...นี่คือน้องชายของเฮ่อยวน?เหมยชิงเกอก็ประหลาดใจเช่นกัน“เขา...คือใครคนเลี้ยงม้าเห็นเคราปลอมตกลงกับพื้น อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก เอื้อมมือไปคว้าไว้ ทว่าเฮ่อฉางเฟิงกลับใช้เท้าเหยียบไว้ก่อน“ท่านพ่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”เฮ่อฉางเฟิงไม่ใช่คนโง่ เขาพอรู้อะไรอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ไม่กล้าคิดมาก ความเชื่อที่เขายึดถือมานานกว่าสิบปีกลับค่อยๆ พังทลายลง ตาดำตัดกับตาขาวชัดเจนคู่นั้น พลันฉายแววสิ้นหวัง!เฮ่อยวนถอนหายใจเบาๆ “ฉางเฟิง เจ้ามานี่สิ พ่อจะเล่าให้ฟัง”ใบหน้าของกงซวินอวิ๋นเฟิ่งซีดลงทันที“เฮ่อยวน ท่านจะทำอะไร ในเมื่อท่านรู้แล้ว ทำไมถึงยังแต่งงานกับข้าอีก”“เจ้าป่าวประกาศไปทั่วทุกที่ ถ้าข้าไม่แต่งงานกับเจ้า ตระกูลกงซวินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”ตอนที่เฮ่อยวนกำลังพูด คนผู้นั้นก็มาถึงเบื้องหน้าข
กงซวินอวิ๋นเฟิ่งคลี่ยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้กลับซับซ้อนมากมีความโล่งใจ เสียใจ ระคนไปกับความสิ้นหวังเล็กน้อย!นางมองไปที่เฮ่อฉางเฟิง ดวงตาแดงก่ำ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางกลับไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยนางไม่เสียใจกับสิ่งที่นางทำ นางควรต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ และทำลายเมื่อไม่ได้ดั่งที่หวัง แล้วมันจะผิดอะไรเฮ่อยวนไม่รักนาง แล้วนางสมควรที่จะอยู่โดดเดี่ยวในบ้านที่ว่างเปล่าตลอดชีวิตงั้นหรือ เป็นเขาที่ทำลายการหมั้นหมายก่อน เขาสมควรได้รับความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้เมื่อมองย้อนกลับตลอดเวลานับสิบปีที่มีความสัมพันธ์เย็นชา กงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็รู้สึกเหนื่อยล้า ดังที่ฉีอวิ๋นจื่อกล่าวไว้ หากชาติหน้ามีจริง นางก็ไม่อยากรู้จักเฮ่อยวนเช่นกัน!กงซวินอวิ๋นเฟิ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สีหน้ากลับคืนสู่ความสงบดังเช่นเดิมนางพูดเบาๆ “ได้ ข้าเชื่อท่าน หากท่านรักษาสัญญาไม่ได้ ข้ากงซวินอวิ๋นเฟิ่งถึงตายเป็นผีก็ไม่ปล่อยท่านไป”หลังจากที่นางพูดจบ นางก็พลิกฝ่ามือกดที่ศีรษะตัวเอง เสียงกระดูกแตก เลือดไหลออกมาจากปากของนาง และนางก็ล้มลงกับพื้นเสียชีวิตไปแบบนั้นผู้อาวุโสกงซวินยังคงอึ้ง เมื่อเห็นกงซวินอวิ๋นเฟิ่งล้มลงกับพื้น เขาก็
อินชิงเสวียนเต็มไปด้วยความพิศวง นางอยากจะไปฟังจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ดูเหมือนจะอยากคุยกันตามลำพัง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้“อาอวี้ เรากลับที่พักกันก่อนเถอะ”เย่จิ่งหลานก็เดินเข้าไปถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ต้องการตรวจดีเอ็นเออีกครั้งหรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัว“ไม่ต้องหรอก ข้าสามารถยืนยันตัวตนของเขาได้ ถ้าเจ้าไม่มีอะไร ประเดี๋ยวช่วยข้าตรวจอัลตราซาวด์สีหน่อยนะ สองวันนี้เจ้าอย่าเพิ่งวิ่งหนีไปไหน หลังจากดูทางสู่วิถีแห่งสวรรค์จนแล้ว เราก็จะกลับเมืองหลวงด้วยกัน”เย่จิ่งอวี้เห็นด้วยและพูดว่า “ใช่ แม้ว่าร่างกายของเจ้าจะสูงขึ้น แต่จิตใจยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ออกไปวิ่งเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ข้าไม่วางใจ”เย่จิ่งหลานรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาข้ามภพมานานขนาดนี้ ที่ได้ติดต่อจริงจังกับเย่จิ่งอวี้ ก็เริ่มต้นมาจากอินชิงเสวียนทั้งนั้นสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับฮ่องเต้คนนี้ก็คือ เขามีความเด็ดขาดในการสังหาร ยึดบัลลังก์รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ซึ่งเย่จิ่งหลานเคยมีความคิดที่จะแย่งชิงบัลลังก์ของเขาและพยายามจะสวมเสื้อคลุมมังกรอยู่เหมือนกันอย่างไรก็ตาม มิติของเขาไร้ประโยชน์เกินไป ในวังหลังที่เต็มไปด้วย
เฮ่อฉางเฟิงเดินโซเซ ยืนไม่มั่นคงเขาคิดเสมอว่าพ่อแม่รักกัน เขาเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก แม้ว่าจะมีน้องสาว รู้ว่าเหมยชิงเกอยังมีชีวิตอยู่ แต่เฮ่อฉางเฟิงก็ยังไม่รู้สึกอะไรท้ายที่สุดแล้ว การมีสามภรรยาสี่อนุในสมัยโบราณเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างไรก็ตาม เขาทนไม่ได้กับความคิดที่ว่าแม่ของตัวเองกับคนเลี้ยงม้า...เช่นนั้นเช่าก็ไม่ใช่...เขาไม่ได้โลภในอำนาจเจ้าเมืองน้อยแห่งอิ๋นเฉิง ไม่ใช่ว่าตัดใจจากตำแหน่งเจ้าเมืองน้อยแห่งอิ๋นเฉิงไม่ได้ แต่เขาทนไม่ได้ที่ความดีงามทั้งหมดจะพังทลายลงในขณะนี้ กลายเป็นความฝัน...เขาไม่กล้ามองหน้าเฮ่อยวน เพราะกลัวได้ยินคำตอบที่เลวร้ายที่สุดข้างหลังเขา อินชิงเสวียนกับเย่จิ่งอวี้ก็วิ่งไล่ตามมาเฮ่อฉางเฟิงเป็นพี่เขยของตัวเอง ดังนั้นเย่จิ่งอวี้ย่อมไม่ลงมือโหดร้ายกับเขาแน่นอน อย่างไรก็ตามการต่อสู้ระหว่างผู้ที่แข็งแกร่งมีความไม่แน่นอนมากเกินไป หากพลาดพลั้ง อาจทำให้เกิดผลเสียเย่จิ่งอวี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยเฮ่อฉางเฟิงไปอินชิงเสวียนยืนอยู่ข้างเย่จิ่งอวี้ ส่ายหัวไปทางเฮ่อยวนอย่างไม่เป็นที่ผิดสังเกตการแสดงออกอันละเอียดอ่อนทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาฉับ
เฮ่อฉางเฟิงไม่ได้ง่วงนอน เขานั่งอยู่คนเดียวบนภูเขาสูง มองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเขารู้จักนิสัยของท่านตาดี แม้ว่าท่านพ่อจะไว้ชีวิตท่านแม่ได้ แต่ท่านตาต้องไม่ยอมปล่อยนางไปแน่เขาเพิ่งไปที่สนามประลองยุทธ์เพื่อยืนยัน กองเลือดขนาดใหญ่บนพื้นทำให้เขาตกใจ และเขาก็เดาผลลัพธ์ได้รางๆ แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนหากเขาเป็นคนชั่วร้ายอย่างแท้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งวุ่นวายมากนัก แต่ท่านพ่อดันเลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี บางครั้งการแยกแยะถูกผิด ก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับเหมยชิงเกอนั้น เฮ่อฉางเฟิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และมีความไม่พอใจ แต่เขาไม่ใช่เด็ก เข้าใจว่าไม่มีใครสามารถอธิบายเรื่องความรักได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับครั้งแรกที่เขาได้เจออินชิงเสวียน เขามักจะมีความรู้สึกดีๆ ในใจเสมอ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นความรักแบบครอบครัว หรือความรักแบบคนรักกัน เฮ่อฉางเฟิงก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกันบางทีเขาอาจเป็นคนที่มีจิตใจมืดมนเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนมีสามีที่เพียบพร้อม เขาจึงซ่อนความคิดที่แท้จริงของเขาไว้อย่างสิ้นหวัง เสแสร้งจนเหมือนความจริง!เมื่อคิดถึงใบหน้างดง
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี
“ข้าเอง!”อยู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกสนุก กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงเมื่อเห็นนางชัดเจน คนบนแท่นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“อิน...”นางพูดได้คำเดียว จากนั้นรีบเปลี่ยนคำพูด คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “หน่วยรักษาการณ์ฝั่งซ้ายฟางรั่ว ขอน้อมถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เพียงพริบตาเดียวก็ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้ว แม่นางฟางรั่วเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเลย มีความกล้าหาญขนาดที่หมื่นคนก็ขวางไม่อยู่ ทำให้สตรีทั่วทั้งแผ่นดินรู้สึกภาคภูมิใจจริงๆ”ฟางรั่วถูกอินชิงเสวียนยกย่องจนดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก นางก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ฮองเฮาตรัสยกย่องเกินไปแล้ว”นางพูดด้วยกระแสเสียงสงบ ก้องกังวานราวกับว่าเสียงโลหะกระทบกัน คิดว่านางคงใช้น้ำพุวิญญาณที่ตัวเองเก็บไว้ให้ จนก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว“คำยกย่องใช่ว่าจะไม่มีมูล เจ้าเก่งมากจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิด คนเหล่านี้เป็นลูกน้องของเจ้าหรือ”อินชิงเสวียนหันความสนใจไปยังคนที่เบื้องล่างแท่นประลองฟางรั่วพยักหน้า“สตรีทุกคนในค่ายกำลังสอบวิชาการต่อสู้ หลังจากพวกนางสอบเสร็จสิ้น ฮองเฮาก็จะสามารถชมความองอาจของพวกนางได้”อินชิงเสว
อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กลั้นเสียงหัวเราะ แต่ต้องชื่นชมสายตาขององครักษ์เงาเหล่านี้ ภายใต้การจ้องมองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแผนการและกลอุบายใดๆ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาไปได้สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา เอกสารสอบที่ปิดผนึกจำนวน 420 ชุดก็ถูกขนย้ายเข้ามาในห้องหนังสือแล้วอินชิงเสวียนรออยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของที่ทำหน้าที่ตรวจข้อสอบ นางตื่นเต้นมาก หลังจากได้รับกระดาษคำตอบแล้ว นางก็เปิดผนึกเคลือบออกทันที สองสามีภรรยามีการแบ่งงานอย่างชัดเจน คนหนึ่งตรวจวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ส่วนอีกคนก็พิจารณาภาพรวม หลังจากผ่านไปสิบวัน ในที่สุดก็ได้คัดเลือกออกมาเก้าสิบหกชุดอินชิงเสวียนตรวจอ่านจนเวียนหัวตาลาย ชาตินี้ไม่คิดจะแตะต้องชุดข้อสอบเหล่านี้อีกแล้วเย่จิ่งอวี้นวดหน้าผากของนางเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันจะเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮองเฮาอยากมาสังเกตการณ์หรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัวซ้ำๆ“ไม่แล้ว ฝ่าบาทดูก็พอ ตอนนี้ข้าแค่อยากจะนอนพักผ่อนให้สบายสักสองสามวันแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ได้ เช่นนั้นก็พักผ่อนดีๆ ฮองเฮาของข้าลำบากแล้ว”อินชิงเสวียนถอนหายใจอีกครั้ง“น่าเสียดา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเดือนสามนักเรียนฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต้าโจวก็คึกคักครื้นเครงเป็นพิเศษ วันที่สิบแปดเดือนสาม กรมพิธีการเป็นประธานในการสอบอินชิงเสวียนปลอมตัวเป็นอาจารย์อินอีกครั้ง และแอบหนีไปที่หอตรวจ ท้องของนางเริ่มโตขึ้นมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น จึงสวมชุดคลุมตัวใหญ่ อำพรางร่างกาย ไว้เย่จิ่งอวี้ไม่วางใจ ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามไปด้วย โดยมีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์เขาโค้งคำนับประสานมือคารวะ พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าน้อยคุ้มครองความปลอดภัยของ อาจารย์อิน ถ้าอาจารย์อินต้องการสิ่งใด เชิญสั่งมาได้เต็มที่”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา วางท่าเหมือนเป็นผู้มีการศึกษา“ไปยืนอยู่ด้านหลัง หากไม่มีอะไรก็อย่าพูดมาก”“รับทราบ”เย่จิ่งอวี้ลดมือลง ยืนข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง โดยไม่พูดอะไรสักคำอินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องสอบเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ ท่าทางสบายอารมณ์มาก คนจากสำนักศึกษาหลวงถูกย้ายมาที่นี่แล้ว ไม
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เหล่าขุนนางได้รับข่าว สั่งให้ชาวเมืองเร่งไปที่พระนครในเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะฝ่าบาทจะฉลองวันตรุษกับราษฎรทุกคนในอดีต ก็มีการเฉลิมฉลองวันตรุษกับราษฎร แต่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่พระนครในสถานที่สำคัญอย่างเช่นวังหลวง จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ได้อย่างไร แม้แต่การมองจากไกลๆ ก็มีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตั้งตารอคอยเพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เหล่าขุนนางก็ได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกประตูวังก็มีผู้คนมากมายขณะที่มองดูคบเพลิงที่โอ้อวด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ“อากาศหนาวมาก ให้เรามาทำอะไรที่นี่กัน”“ใช่ มืดสนิทอย่างนี้ หรือจะให้พวกเรานั่งฟังพวกขุนนางข้างในนั่นยกจอกดื่มกันอย่างสนุกสนาน?”“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อบอกให้เรามาก็มาเถอะ ครึ่งเดือนที่แล้วฮองเฮาประทานข้าว แป้งหมี่ ผักและผลไม้ให้เรามากมาย แม้ต้องทนหนาวก็สมควรแล้ว”“ไม่ใช่หรอกรึ ถึงอย่างไรคนก็มีคุณธรรม ในฤดูกาลนี้จะหาผลไม้และผักสดอร่อยๆ แบบนี้ได้ที่ไหน แม้ว่าฮองเฮาจะให้ทนหนาว ข้าก็ยอมรับได้”
พริบตาก็ถึงวันสิ้นปี นับตั้งแต่พิธีเสกสมรสของท่านอ๋องสิบสามก็ผ่านไปสองเดือนแล้วท้องน้อยของอินชิงเสวียนนูนขึ้น คนทั้งคนเป็นเหมือนแมวขี้เกียจ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการนอนอาบแดดบนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ในขณะนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเสียงของสาวน้อยเย่ไห่ถังที่ดังก้องอยู่ในหูของนาง“เสด็จอาสิบสามแต่งงานมานานแล้ว ทำไมเสด็จพี่ถึงยังไม่พูดถึงการแต่งงานของข้าล่ะ เสด็จพี่สะใภ้ อินปู้อวี่เป็นพี่รองของท่านนะ ท่านไม่ร้อนใจหรือ”“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งหลับนะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ”อินชิงเสวียนถูกนางรบกวนจนปวดหัว จำต้องลืมตาตื่น“การแต่งงานของเจ้ากับพี่รองจะจัดขึ้นในปีหลังจากนั้น ถึงอย่างไรเสด็จอาสิบสามของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าแต่งงานพร้อมกับเขา มันไม่เหมาะสม”เย่ไห่ถังทำหน้าบูดบึ้งทันที“ไม่เหมาะสมอะไรกัน ข้าไม่ได้แต่งงานกับเขาเสียหน่อย”อินชิงเสวียนโกรธจนหัวเราะ“เรื่องนี้เจ้าก็ยังพูดออกมาได้นะ ถ้าเสด็จพี่เจ้าได้ยิน บางทีอาจส่งเจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีจริงๆ ก็ได้”เย่ไห่ถังสะดุ้ง รีบปิดหูของอินชิงเสวียนทันที พระราชโองการนั้นได้กลายเป็นเงาในใจของนางแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเ
“ไม่นาน”กระแสเสียงของอินหลีฟังดูอ่อนหวานและขี้อาย ทำให้คนอดเอ็นดูเสียมิได้เย่จั้นรับคำไม้มงคลจากสาวใช้ แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ประดับด้วยลูกปัดเปลือกหอยสีแดงขนาดใหญ่ออก ครั้นแล้วใบหน้างามสดใสฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ และท่าทางที่เขินอายก็ปรากฏสู่สายตาของเย่จั้นเมื่อคิดว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้จะเป็นของตัวเองต่อจากนี้ไป นิ้วเรียวยาวของเย่จั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย รู้สึกอิ่มเอมใจและซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะพาอินหลีเข้าไปอยู่ในวัง แต่ทั้งสองก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ไม่เคยกล้าที่จะล้ำเส้นหรือทำเกินเลย เพียงเพื่อความสมบูรณ์แบบในวันนี้โชคดีที่สวรรค์ทรงเมตตาเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียสตรีที่รักที่สุดไป แต่หลังจากเฝ้าตามหามาหลายปี ในที่สุดก็ตามหานางจนเจอ เขาจะใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงที่อินหลีติดอยู่บนภูเขา“อาหลี เจ้าในวันนี้ งามมาก!”เย่จั้นค่อยๆ ทรุดกายลงนั่ง คุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองอินหลีบางทีในสายตาของคนนอก นางกับอินชิงเสวียนจะมีความคล้ายคลึงกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงเพื่อตระกูล อ
ณ ตำหนักจินอู๋“เป็นอย่างไร ข้าดูคนออกไหม”เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ด้วยสีหน้าท่าทางพออกพอใจมากอินชิงเสวียนทำเสียงชิ“เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จบได้ด้วยคำพูดเดียว ท่านกลับข่มขู่จนพวกเขาเกือบตาย เอาเถอะ เห็นแก่อาอวี้ที่วางแผนเผื่อน้องสาว ข้าจะไม่ถือสาท่าน ได้ยินมาว่าเสด็จอาไปสู่ขอที่ตระกูลอินแล้ว ต้าโจวมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกันเลยทีเดียว”เย่จิ่งอวี้โอบนางไว้ในอ้อมแขน“สิ่งที่ข้ารอคอยมากที่สุดคือเรื่องดีของเสวียนเอ๋อร์ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง องค์หญิงน้อยของเราดิ้นบ้างหรือไม่”อินชิงเสวียนลูบท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว“ไม่มี ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาว ท่าทางว่าง่ายมาก”เย่จิ่งอวี้โน้มตัวลง เอาหน้าแนบกับท้องน้อยของอินชิงเสวียน“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เสวียนเอ๋อร์มีชื่อที่ชอบหรือเปล่า”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ชื่อของจ้าวเอ๋อร์ยิ่งใหญ่เกินไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรถึงจะเข้ากับลูกสาวสุดที่รักของข้า”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อเอง แม้ต้องเปิดตำราโบราณจนหมดวังหลวง ข้าก็จะตั้งชื่อที่โด่งดังที่สุดในโลกให้ลูกสาวของเรา”อินชิงเสวีย