เฮ่อฉางเฟิงไม่ได้ง่วงนอน เขานั่งอยู่คนเดียวบนภูเขาสูง มองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเขารู้จักนิสัยของท่านตาดี แม้ว่าท่านพ่อจะไว้ชีวิตท่านแม่ได้ แต่ท่านตาต้องไม่ยอมปล่อยนางไปแน่เขาเพิ่งไปที่สนามประลองยุทธ์เพื่อยืนยัน กองเลือดขนาดใหญ่บนพื้นทำให้เขาตกใจ และเขาก็เดาผลลัพธ์ได้รางๆ แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนหากเขาเป็นคนชั่วร้ายอย่างแท้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งวุ่นวายมากนัก แต่ท่านพ่อดันเลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี บางครั้งการแยกแยะถูกผิด ก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับเหมยชิงเกอนั้น เฮ่อฉางเฟิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และมีความไม่พอใจ แต่เขาไม่ใช่เด็ก เข้าใจว่าไม่มีใครสามารถอธิบายเรื่องความรักได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับครั้งแรกที่เขาได้เจออินชิงเสวียน เขามักจะมีความรู้สึกดีๆ ในใจเสมอ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นความรักแบบครอบครัว หรือความรักแบบคนรักกัน เฮ่อฉางเฟิงก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกันบางทีเขาอาจเป็นคนที่มีจิตใจมืดมนเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนมีสามีที่เพียบพร้อม เขาจึงซ่อนความคิดที่แท้จริงของเขาไว้อย่างสิ้นหวัง เสแสร้งจนเหมือนความจริง!เมื่อคิดถึงใบหน้างดง
“ไม่มีปัญหา”เย่จิ่งหลานตอบอย่างสบายๆ แล้วถามอย่างสงสัย “แล้วเรื่องหยดเลือดพิสูจน์เจ้าทำได้อย่างไร”อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้ม “ง่ายมาก เติมสารส้มเล็กน้อย ไม่ว่าเลือดอะไรก็สามารถหลอมรวมด้วยกันได้”เย่จิ่งหลานยกนิ้วให้“เยี่ยม เรื่องการต่อสู้ในวังพวกเจ้าที่เป็นผู้หญิงสุดยอดจริงๆ แต่น่าเสียดาย ตอนนี้เจ้าไม่มีอะไรจะสู้แล้ว ชีวิตช่างโดดเดี่ยวดั่งหิมะจริงๆ”เมื่อเห็นท่าทางเกินจริงของเขา อินชิงเสวียนก็อดหัวเราะไม่ได้“ผู้หญิงคนไหนจะยอมสู้ เป็นเพียงวิธีการเพื่อเอาชีวิตรอดที่ถูกบังคับให้ทำเท่านั้น ถ้าผู้ชายมีคู่เดียวเมียเดียว ก็คงไม่มีความแค้นมากมายขนาดนี้”เมื่อนึกถึงรักสามเส้าระหว่างเฮ่อยวน เหมยชิงเกอ และกงซวินอวิ๋นเฟิ่ง อินชิงเสวียนก็พูดอย่างปลงอนิจจังเย่จิ่งหลานหัวเราะเยาะกับสิ่งนี้“ยุคของเราก็เป็นยุคสมัยผัวเดียวเมียเดียว แต่ก็มีเรื่องเมียน้อยเหมือนกันไม่ใช่หรอกรึ ของแบบนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับกฎหมาย ขึ้นอยู่กับคุณภาพของบุคคล ถ้าเป็นคนต่ำช้าโดยกำเนิด แม้แต่ความสามารถในการปัสสาวะรดใส่คนอื่น ก็ยังนำไปใช้ได้”เมื่อเห็นว่าเขาหยาบคายมากขึ้นเรื่อยๆ อินชิงเสวียนก็พูดไม่ออก นี่มันชักจะหยา
ในวันที่สอง จัดพิธีเคลื่อนศพของฮั่วเทียนเฉิงอินชิงเสวียนกับเย่จิ่งอวี้มาถึงตั้งแต่เช้า เพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงรู้สึกเบื่อที่อยู่คนเดียว จึงฝากเขาไว้ในมิติของเย่จิ่งหลานเหมยชิงเกอกับศิษย์น้องอีกสองคนสวมชุดสีขาวล้วน เฮ่อยวนก็เช่นเดียวกัน จากนั้นก็ตามมาด้วยต้วนจื่อฉู่และลูกศิษย์อีกหลายคนในรุ่นของพวกเขาเฟิงเอ้อร์เหนียงกำลังจับโลงศพ ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มเพื่อที่จะปฏิบัติตามกฎของตำหนักเทพ ยากยิ่งนักที่จะไม่แสดงความรักมานานกว่าสิบปี ตอนนี้ในที่สุดกฎเก่าก็ถูกทำลายลง เขากลับไม่อยู่ที่นี่แล้วเมื่อนึกถึงตอนที่อยู่เป่ยไห่ นางทำให้ฮั่วเทียนเฉิงลุ่มหลง จากนั้นก็ส่งเขากลับไปที่ตำหนักเทพ ดวงตาของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็พร่ามัวอีกครั้งฮั่วเทียนเฉิงมีวรยุทธ์สูง จะถูกสะกดด้วยยาสลบหยาบๆ เช่นนั้นได้อย่างไร เขาแค่ปล่อยไปตามน้ำ ทำตามความต้องการของนางเมื่อเห็นไหล่ของนางสั่นเทา อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ความรักครั้งหนึ่ง กลับทำให้ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต มันคุ้มค่าแล้วหรือเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้แล้วนางกับอาอวี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เมื่อมาถึงไหล่เขา เฮ่อยวนก็หยุดชั่วคราว“ทำไมไม่เห็นฉางเฟิงล่ะ หรือว่าเขายังไม่ตื่น?”เหมยชิงเกอหยิบจดหมายออกมา“ไม่ต้องไปหาแล้ว เขากลับไปแล้ว”เช้านี้นางปรุงอาหารด้วยตัวเอง แล้วส่งไปให้เฮ่อฉางเฟิง แต่เมื่อเข้าไปในประตูก็พบจดหมายฉบับนี้เมื่อครู่บรรยากาศเคร่งเครียดเกินไป การเสียชีวิตของฮั่วเทียนเฉิงเป็นความผิดพลาดของนาง เหมยชิงเกอจึงรู้สึกไม่สบายใจ และไม่ได้พูดอะไรเฮ่อยวนเปิดจดหมาย ก็เห็นข้อความที่เขียนมายาวเหยียด“ลูกอกตัญญู มีบางอย่างที่ปล่อยวางไม่ได้ ขออนุญาตท่านพ่อ ให้ลูกเดินทางลงเขาท่องป่าเขาลำเนาไพร ชมเขาสูงทะเลกว้าง พระจันทร์เต็มดวงสายลมสดชื่น......เมื่อลูกคิดได้ชัดเจนแล้ว จะกลับอิ๋นเฉิงมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับท่านพ่ออีกครั้ง หวังว่าท่านพ่อจะไม่ติดมาก และฝากท่านพ่อบอกป้าเหมยด้วย ว่าในใจลูกไม่มีความขุ่นเคือง......ลูกยังขอสาบานกับแสงอาทิตย์ยามเช้าและแสงจันทร์เต็มดวง ชาตินี้จะไม่มีวันแก้แค้น และหวังว่าท่านพ่อจะแต่งงานกับป้าเหมยโดยเร็วที่สุด ทำตามความปรารถนาในอดีต ไม่ต้องห่วง!”เหมยชิงเกอไม่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย เมื่อนางเหลือบดู ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร รู
ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ทุกคนมาถึงปากหุบเขาแล้วชาวยุทธ์หลายคนที่ติดตามพวกเขาได้กลิ่นของทางสู่วิถีแห่งสวรรค์แล้ว ต่างวิ่งไปดูที่ปากหุบเขา“หรือว่าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์อยู่ที่นี่?”“ที่นี่แค่มองก็รู้ว่ามีฮวงจุ้ยดี”“ทำไมเราไม่ปรึกษากันก่อน แล้วเพิ่มเงินอีกหน่อย แทนที่จะรอถึงสามวันหลังจากนั้น”ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะพบกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทุกลมหายใจแห่งการรอคอยนั้นทรมานจิตใจพวกเขามาก“ถูกต้อง ดังคำกล่าวที่ว่า เงินสามารถทำให้ผีมาปั่นหินได้ คนที่อาศัยอยู่ในตำหนักเทพไม่ใช่เทพเจ้าจริงๆ เสียหน่อย”หลังจากที่คนผู้นั้นพูดจบ เขาก็หันกลับมาพูดกับเหมยชิงเกออย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าตำหนักเหมย ข้าเห็นว่าท่านเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา พวกเราอย่าอ้อมค้อมกันอีกเลย เราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ถึงจะไปดูทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้ ท่านบอกราคามาได้เลย”คนข้างๆ พูดคล้อยตามทันที “ถูกต้อง แค่สามวันเท่านั้น จะเร็วขึ้นหนึ่งวันหรือช้ากว่านั้นหนึ่งวันก็ต่างกันไม่มากหรอก”“เจ้าตำหนักเหมยเสนอมาเถอะ ผู้ที่มีกำลังก็เข้าไปได้ แบบนี้ยุติธรรมมาก!”เมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความสับสนผลหม่าน เหมยชิงเกอก็ขมวดคิ
แผ่นหลังของเย่จิ่งหลานแข็งทื่อเล็กน้อยมีมือข้างหนึ่งวางอยู่บนไหล่ของเขา“จิ่งหลาน เจ้าเป็นอะไรไป”เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ข้างเขาเย่จิ่งหลานส่ายหัวอย่างแรง“ไม่มีอะไร”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามอีกครั้ง“พี่ใหญ่ท่านได้ยินอะไรไหม”เย่จิ่งอวี้ส่ายหัว“ไม่มี เจ้าได้ยินอะไรมางั้นหรือ”เย่จิ่งหลานมองดูบรรดาลูกศิษย์และอาคันตุกะอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแปลก คิดว่าไอ้ผีบ้าตนนี้คงตั้งใจมาหาตัวเองโดยเฉพาะกระมังเดาว่าเป็นผลจากการที่ถูกแต้มชาดแห่งบาปอะไรนั่นอีกแล้ว!โคตรแม่งเอ๊ย ดูเหมือนว่าถ้าไม่ไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง คงจัดการเรื่องนี้ไม่ได้แน่เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็หัวเราะแห้งๆ“ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงนกร้อง”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่มีป่ามากมาย จะได้ยินเสียงนกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็เรื่องปกติ”เย่จิ่งหลานเกาหัวและหัวเราะแห้งๆ“ใช่ พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว น้องชายไม่ค่อยพบเจอก็เลยรู้สึกแปลกใจ ข้าอยากขึ้นไปดูหน่อย พี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่”“ไม่ดีกว่า เจ้าไปดูเถอะ อย่าทำให้เสียเรื่องล่ะ ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ รอหกวันจากนี้ค่อยว่ากัน”ไม่กี่คำหลัง เย่จิ่งอวี้กดเสียงใ
เสียงนั้นดังขึ้นซ้ำๆ ราวกับเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหู เสียงดังกล่าวนี้ทำให้เย่จิ่งหลานตื่นตระหนก อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น“หุบปากซะ!”ซึ่งขณะนี้ทุกคนใช้วิธีต่างๆ เพื่อทดสอบทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ต่างก็หันกลับมาเย่จิ่งหลานรู้สึกเขินอาย รีบประกบมือขอโทษขอโพย “ขออภัย ขออภัย”จากนั้นเขาก็ลากหวังซุ่นไปนั่งอีกด้านหนึ่ง“นายท่าน ท่านเป็นอะไรงั้นรึ”หวังซุ่นถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเย่จิ่งหลานมองดูเขาแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลยหรือ”หวังซุ่นส่ายหัวด้วยความสับสน“ไม่มีนะ นายท่านได้ยินอะไรกันแน่”เย่จิ่งหลานโบกมืออย่างรำคาญ“ไม่มีอะไร”ทันทีที่เขาพูดจบ รองเท้าผ้าพื้นสีดำสลับเทาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา ในเวลาเดียวกันเสียงของเฮ่อยวนก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ“จอมยุทธ์น้อยเย่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”เฮ่อยวนรู้ว่าเขาคือน้องชายแท้ๆ ของลูกเขย จึงต้องต้องดูแลเป็นพิเศษ เมื่อมองไปรอบๆ ฝูงชนก็ไม่เห็นลูกสาวกับลูกเขย จึงถามอีกครั้ง “แล้วชิงเสวียนกับจิ่งอวี้ล่ะ?”เดิมทีเย่จิ่งหลานต้องการจะหยิบบุหรี่ออกมาสูบเพื่อสงบจิตใจ แต่แล้วก็รีบยัดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว“พ
สามวันผ่านไปในพริบตาเดียว ชาวยุทธ์ที่อยู่ด้านนอกทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ก็หมดความอดทนกับการรอคอย เริ่มตะโกนเข้าไปที่ทางเข้าหุบเขาตั้งแต่เช้าตรู่“มีใครรับผิดชอบอยู่ข้างในหรือเปล่า ตกลงกันแล้ว ห้ามกลับคำนะ”“ถูกต้อง คนเราพูดแล้วต้องทำด้วย”“เราทุกคนจ่ายเงินจริง ฉะนั้นรีบเปิดค่ายกล ให้เราเข้าไปได้แล้ว”“เข้าไป เข้าไป!”ทุกคนตะโกนพร้อมกัน คนที่อยู่ข้างในก็ตกใจเมื่อรู้ว่าผ่านไปสามวันแล้วในช่วงสามวันนี้ ทุกคนลืมกินลืมนอน โดยเอาความคิดทั้งหมดมาไว้ที่หินก้อนนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร หินก็ยังคงไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนทุกคนไม่หลับไม่นอน แม้แต่อาหารหรือน้ำก็ไม่ได้แตะต้องเลย ตอนนี้เมื่อรู้ตัว ถึงได้รู้สึกง่วงและเหนื่อยทว่าได้กลิ่นหอมของเนื้อที่มาจากข้างหลัง อวัยวะภายในทั้งห้าก็เริ่มส่งเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อมองย้อนกลับไป ก็เห็นเย่จิ่งหลานกำลังรับประทานอาหารบนตะแกรงบาร์บีคิว ถือไม้เสียบและดื่มสุราอย่างสบายอุรา โดยมีสิ่งที่คาบอยู่ในปาก ท่าทางสบายยิ่งนัก!อาคันตุกะคนหนึ่งทนไม่ไหว จึงเข้ามาพูดว่า “คุณชายน้อยท่านนี้ ช่วยแบ่งเนื้อเสียบไม้ให้ข้าหน่อยได้ไหม”เย่จิ่งหลานยิ้มแล้วพ
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี
“ข้าเอง!”อยู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกสนุก กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูงเมื่อเห็นนางชัดเจน คนบนแท่นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ“อิน...”นางพูดได้คำเดียว จากนั้นรีบเปลี่ยนคำพูด คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “หน่วยรักษาการณ์ฝั่งซ้ายฟางรั่ว ขอน้อมถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปประคองนางขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เพียงพริบตาเดียวก็ไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้ว แม่นางฟางรั่วเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเลย มีความกล้าหาญขนาดที่หมื่นคนก็ขวางไม่อยู่ ทำให้สตรีทั่วทั้งแผ่นดินรู้สึกภาคภูมิใจจริงๆ”ฟางรั่วถูกอินชิงเสวียนยกย่องจนดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก นางก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ฮองเฮาตรัสยกย่องเกินไปแล้ว”นางพูดด้วยกระแสเสียงสงบ ก้องกังวานราวกับว่าเสียงโลหะกระทบกัน คิดว่านางคงใช้น้ำพุวิญญาณที่ตัวเองเก็บไว้ให้ จนก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว“คำยกย่องใช่ว่าจะไม่มีมูล เจ้าเก่งมากจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิด คนเหล่านี้เป็นลูกน้องของเจ้าหรือ”อินชิงเสวียนหันความสนใจไปยังคนที่เบื้องล่างแท่นประลองฟางรั่วพยักหน้า“สตรีทุกคนในค่ายกำลังสอบวิชาการต่อสู้ หลังจากพวกนางสอบเสร็จสิ้น ฮองเฮาก็จะสามารถชมความองอาจของพวกนางได้”อินชิงเสว
อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กลั้นเสียงหัวเราะ แต่ต้องชื่นชมสายตาขององครักษ์เงาเหล่านี้ ภายใต้การจ้องมองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแผนการและกลอุบายใดๆ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาไปได้สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา เอกสารสอบที่ปิดผนึกจำนวน 420 ชุดก็ถูกขนย้ายเข้ามาในห้องหนังสือแล้วอินชิงเสวียนรออยู่ก่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกของที่ทำหน้าที่ตรวจข้อสอบ นางตื่นเต้นมาก หลังจากได้รับกระดาษคำตอบแล้ว นางก็เปิดผนึกเคลือบออกทันที สองสามีภรรยามีการแบ่งงานอย่างชัดเจน คนหนึ่งตรวจวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี ส่วนอีกคนก็พิจารณาภาพรวม หลังจากผ่านไปสิบวัน ในที่สุดก็ได้คัดเลือกออกมาเก้าสิบหกชุดอินชิงเสวียนตรวจอ่านจนเวียนหัวตาลาย ชาตินี้ไม่คิดจะแตะต้องชุดข้อสอบเหล่านี้อีกแล้วเย่จิ่งอวี้นวดหน้าผากของนางเบาๆ ถามด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันจะเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮองเฮาอยากมาสังเกตการณ์หรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัวซ้ำๆ“ไม่แล้ว ฝ่าบาทดูก็พอ ตอนนี้ข้าแค่อยากจะนอนพักผ่อนให้สบายสักสองสามวันแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ได้ เช่นนั้นก็พักผ่อนดีๆ ฮองเฮาของข้าลำบากแล้ว”อินชิงเสวียนถอนหายใจอีกครั้ง“น่าเสียดา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเดือนสามนักเรียนฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต้าโจวก็คึกคักครื้นเครงเป็นพิเศษ วันที่สิบแปดเดือนสาม กรมพิธีการเป็นประธานในการสอบอินชิงเสวียนปลอมตัวเป็นอาจารย์อินอีกครั้ง และแอบหนีไปที่หอตรวจ ท้องของนางเริ่มโตขึ้นมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น จึงสวมชุดคลุมตัวใหญ่ อำพรางร่างกาย ไว้เย่จิ่งอวี้ไม่วางใจ ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามไปด้วย โดยมีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์เขาโค้งคำนับประสานมือคารวะ พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าน้อยคุ้มครองความปลอดภัยของ อาจารย์อิน ถ้าอาจารย์อินต้องการสิ่งใด เชิญสั่งมาได้เต็มที่”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา วางท่าเหมือนเป็นผู้มีการศึกษา“ไปยืนอยู่ด้านหลัง หากไม่มีอะไรก็อย่าพูดมาก”“รับทราบ”เย่จิ่งอวี้ลดมือลง ยืนข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง โดยไม่พูดอะไรสักคำอินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องสอบเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ ท่าทางสบายอารมณ์มาก คนจากสำนักศึกษาหลวงถูกย้ายมาที่นี่แล้ว ไม
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เหล่าขุนนางได้รับข่าว สั่งให้ชาวเมืองเร่งไปที่พระนครในเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะฝ่าบาทจะฉลองวันตรุษกับราษฎรทุกคนในอดีต ก็มีการเฉลิมฉลองวันตรุษกับราษฎร แต่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่พระนครในสถานที่สำคัญอย่างเช่นวังหลวง จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ได้อย่างไร แม้แต่การมองจากไกลๆ ก็มีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตั้งตารอคอยเพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เหล่าขุนนางก็ได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกประตูวังก็มีผู้คนมากมายขณะที่มองดูคบเพลิงที่โอ้อวด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ“อากาศหนาวมาก ให้เรามาทำอะไรที่นี่กัน”“ใช่ มืดสนิทอย่างนี้ หรือจะให้พวกเรานั่งฟังพวกขุนนางข้างในนั่นยกจอกดื่มกันอย่างสนุกสนาน?”“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อบอกให้เรามาก็มาเถอะ ครึ่งเดือนที่แล้วฮองเฮาประทานข้าว แป้งหมี่ ผักและผลไม้ให้เรามากมาย แม้ต้องทนหนาวก็สมควรแล้ว”“ไม่ใช่หรอกรึ ถึงอย่างไรคนก็มีคุณธรรม ในฤดูกาลนี้จะหาผลไม้และผักสดอร่อยๆ แบบนี้ได้ที่ไหน แม้ว่าฮองเฮาจะให้ทนหนาว ข้าก็ยอมรับได้”
พริบตาก็ถึงวันสิ้นปี นับตั้งแต่พิธีเสกสมรสของท่านอ๋องสิบสามก็ผ่านไปสองเดือนแล้วท้องน้อยของอินชิงเสวียนนูนขึ้น คนทั้งคนเป็นเหมือนแมวขี้เกียจ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการนอนอาบแดดบนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ในขณะนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเสียงของสาวน้อยเย่ไห่ถังที่ดังก้องอยู่ในหูของนาง“เสด็จอาสิบสามแต่งงานมานานแล้ว ทำไมเสด็จพี่ถึงยังไม่พูดถึงการแต่งงานของข้าล่ะ เสด็จพี่สะใภ้ อินปู้อวี่เป็นพี่รองของท่านนะ ท่านไม่ร้อนใจหรือ”“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งหลับนะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ”อินชิงเสวียนถูกนางรบกวนจนปวดหัว จำต้องลืมตาตื่น“การแต่งงานของเจ้ากับพี่รองจะจัดขึ้นในปีหลังจากนั้น ถึงอย่างไรเสด็จอาสิบสามของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าแต่งงานพร้อมกับเขา มันไม่เหมาะสม”เย่ไห่ถังทำหน้าบูดบึ้งทันที“ไม่เหมาะสมอะไรกัน ข้าไม่ได้แต่งงานกับเขาเสียหน่อย”อินชิงเสวียนโกรธจนหัวเราะ“เรื่องนี้เจ้าก็ยังพูดออกมาได้นะ ถ้าเสด็จพี่เจ้าได้ยิน บางทีอาจส่งเจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีจริงๆ ก็ได้”เย่ไห่ถังสะดุ้ง รีบปิดหูของอินชิงเสวียนทันที พระราชโองการนั้นได้กลายเป็นเงาในใจของนางแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเ
“ไม่นาน”กระแสเสียงของอินหลีฟังดูอ่อนหวานและขี้อาย ทำให้คนอดเอ็นดูเสียมิได้เย่จั้นรับคำไม้มงคลจากสาวใช้ แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ประดับด้วยลูกปัดเปลือกหอยสีแดงขนาดใหญ่ออก ครั้นแล้วใบหน้างามสดใสฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ และท่าทางที่เขินอายก็ปรากฏสู่สายตาของเย่จั้นเมื่อคิดว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้จะเป็นของตัวเองต่อจากนี้ไป นิ้วเรียวยาวของเย่จั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย รู้สึกอิ่มเอมใจและซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะพาอินหลีเข้าไปอยู่ในวัง แต่ทั้งสองก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ไม่เคยกล้าที่จะล้ำเส้นหรือทำเกินเลย เพียงเพื่อความสมบูรณ์แบบในวันนี้โชคดีที่สวรรค์ทรงเมตตาเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียสตรีที่รักที่สุดไป แต่หลังจากเฝ้าตามหามาหลายปี ในที่สุดก็ตามหานางจนเจอ เขาจะใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงที่อินหลีติดอยู่บนภูเขา“อาหลี เจ้าในวันนี้ งามมาก!”เย่จั้นค่อยๆ ทรุดกายลงนั่ง คุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองอินหลีบางทีในสายตาของคนนอก นางกับอินชิงเสวียนจะมีความคล้ายคลึงกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงเพื่อตระกูล อ
ณ ตำหนักจินอู๋“เป็นอย่างไร ข้าดูคนออกไหม”เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ด้วยสีหน้าท่าทางพออกพอใจมากอินชิงเสวียนทำเสียงชิ“เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จบได้ด้วยคำพูดเดียว ท่านกลับข่มขู่จนพวกเขาเกือบตาย เอาเถอะ เห็นแก่อาอวี้ที่วางแผนเผื่อน้องสาว ข้าจะไม่ถือสาท่าน ได้ยินมาว่าเสด็จอาไปสู่ขอที่ตระกูลอินแล้ว ต้าโจวมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกันเลยทีเดียว”เย่จิ่งอวี้โอบนางไว้ในอ้อมแขน“สิ่งที่ข้ารอคอยมากที่สุดคือเรื่องดีของเสวียนเอ๋อร์ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง องค์หญิงน้อยของเราดิ้นบ้างหรือไม่”อินชิงเสวียนลูบท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว“ไม่มี ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาว ท่าทางว่าง่ายมาก”เย่จิ่งอวี้โน้มตัวลง เอาหน้าแนบกับท้องน้อยของอินชิงเสวียน“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เสวียนเอ๋อร์มีชื่อที่ชอบหรือเปล่า”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ชื่อของจ้าวเอ๋อร์ยิ่งใหญ่เกินไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรถึงจะเข้ากับลูกสาวสุดที่รักของข้า”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อเอง แม้ต้องเปิดตำราโบราณจนหมดวังหลวง ข้าก็จะตั้งชื่อที่โด่งดังที่สุดในโลกให้ลูกสาวของเรา”อินชิงเสวีย