เฮ่อฉางเฟิงไม่ได้ง่วงนอน เขานั่งอยู่คนเดียวบนภูเขาสูง มองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเขารู้จักนิสัยของท่านตาดี แม้ว่าท่านพ่อจะไว้ชีวิตท่านแม่ได้ แต่ท่านตาต้องไม่ยอมปล่อยนางไปแน่เขาเพิ่งไปที่สนามประลองยุทธ์เพื่อยืนยัน กองเลือดขนาดใหญ่บนพื้นทำให้เขาตกใจ และเขาก็เดาผลลัพธ์ได้รางๆ แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนหากเขาเป็นคนชั่วร้ายอย่างแท้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งวุ่นวายมากนัก แต่ท่านพ่อดันเลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี บางครั้งการแยกแยะถูกผิด ก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับเหมยชิงเกอนั้น เฮ่อฉางเฟิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และมีความไม่พอใจ แต่เขาไม่ใช่เด็ก เข้าใจว่าไม่มีใครสามารถอธิบายเรื่องความรักได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับครั้งแรกที่เขาได้เจออินชิงเสวียน เขามักจะมีความรู้สึกดีๆ ในใจเสมอ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นความรักแบบครอบครัว หรือความรักแบบคนรักกัน เฮ่อฉางเฟิงก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกันบางทีเขาอาจเป็นคนที่มีจิตใจมืดมนเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนมีสามีที่เพียบพร้อม เขาจึงซ่อนความคิดที่แท้จริงของเขาไว้อย่างสิ้นหวัง เสแสร้งจนเหมือนความจริง!เมื่อคิดถึงใบหน้างดง
“ไม่มีปัญหา”เย่จิ่งหลานตอบอย่างสบายๆ แล้วถามอย่างสงสัย “แล้วเรื่องหยดเลือดพิสูจน์เจ้าทำได้อย่างไร”อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้ม “ง่ายมาก เติมสารส้มเล็กน้อย ไม่ว่าเลือดอะไรก็สามารถหลอมรวมด้วยกันได้”เย่จิ่งหลานยกนิ้วให้“เยี่ยม เรื่องการต่อสู้ในวังพวกเจ้าที่เป็นผู้หญิงสุดยอดจริงๆ แต่น่าเสียดาย ตอนนี้เจ้าไม่มีอะไรจะสู้แล้ว ชีวิตช่างโดดเดี่ยวดั่งหิมะจริงๆ”เมื่อเห็นท่าทางเกินจริงของเขา อินชิงเสวียนก็อดหัวเราะไม่ได้“ผู้หญิงคนไหนจะยอมสู้ เป็นเพียงวิธีการเพื่อเอาชีวิตรอดที่ถูกบังคับให้ทำเท่านั้น ถ้าผู้ชายมีคู่เดียวเมียเดียว ก็คงไม่มีความแค้นมากมายขนาดนี้”เมื่อนึกถึงรักสามเส้าระหว่างเฮ่อยวน เหมยชิงเกอ และกงซวินอวิ๋นเฟิ่ง อินชิงเสวียนก็พูดอย่างปลงอนิจจังเย่จิ่งหลานหัวเราะเยาะกับสิ่งนี้“ยุคของเราก็เป็นยุคสมัยผัวเดียวเมียเดียว แต่ก็มีเรื่องเมียน้อยเหมือนกันไม่ใช่หรอกรึ ของแบบนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับกฎหมาย ขึ้นอยู่กับคุณภาพของบุคคล ถ้าเป็นคนต่ำช้าโดยกำเนิด แม้แต่ความสามารถในการปัสสาวะรดใส่คนอื่น ก็ยังนำไปใช้ได้”เมื่อเห็นว่าเขาหยาบคายมากขึ้นเรื่อยๆ อินชิงเสวียนก็พูดไม่ออก นี่มันชักจะหยา
ในวันที่สอง จัดพิธีเคลื่อนศพของฮั่วเทียนเฉิงอินชิงเสวียนกับเย่จิ่งอวี้มาถึงตั้งแต่เช้า เพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงรู้สึกเบื่อที่อยู่คนเดียว จึงฝากเขาไว้ในมิติของเย่จิ่งหลานเหมยชิงเกอกับศิษย์น้องอีกสองคนสวมชุดสีขาวล้วน เฮ่อยวนก็เช่นเดียวกัน จากนั้นก็ตามมาด้วยต้วนจื่อฉู่และลูกศิษย์อีกหลายคนในรุ่นของพวกเขาเฟิงเอ้อร์เหนียงกำลังจับโลงศพ ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มเพื่อที่จะปฏิบัติตามกฎของตำหนักเทพ ยากยิ่งนักที่จะไม่แสดงความรักมานานกว่าสิบปี ตอนนี้ในที่สุดกฎเก่าก็ถูกทำลายลง เขากลับไม่อยู่ที่นี่แล้วเมื่อนึกถึงตอนที่อยู่เป่ยไห่ นางทำให้ฮั่วเทียนเฉิงลุ่มหลง จากนั้นก็ส่งเขากลับไปที่ตำหนักเทพ ดวงตาของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็พร่ามัวอีกครั้งฮั่วเทียนเฉิงมีวรยุทธ์สูง จะถูกสะกดด้วยยาสลบหยาบๆ เช่นนั้นได้อย่างไร เขาแค่ปล่อยไปตามน้ำ ทำตามความต้องการของนางเมื่อเห็นไหล่ของนางสั่นเทา อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ความรักครั้งหนึ่ง กลับทำให้ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต มันคุ้มค่าแล้วหรือเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้แล้วนางกับอาอวี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เมื่อมาถึงไหล่เขา เฮ่อยวนก็หยุดชั่วคราว“ทำไมไม่เห็นฉางเฟิงล่ะ หรือว่าเขายังไม่ตื่น?”เหมยชิงเกอหยิบจดหมายออกมา“ไม่ต้องไปหาแล้ว เขากลับไปแล้ว”เช้านี้นางปรุงอาหารด้วยตัวเอง แล้วส่งไปให้เฮ่อฉางเฟิง แต่เมื่อเข้าไปในประตูก็พบจดหมายฉบับนี้เมื่อครู่บรรยากาศเคร่งเครียดเกินไป การเสียชีวิตของฮั่วเทียนเฉิงเป็นความผิดพลาดของนาง เหมยชิงเกอจึงรู้สึกไม่สบายใจ และไม่ได้พูดอะไรเฮ่อยวนเปิดจดหมาย ก็เห็นข้อความที่เขียนมายาวเหยียด“ลูกอกตัญญู มีบางอย่างที่ปล่อยวางไม่ได้ ขออนุญาตท่านพ่อ ให้ลูกเดินทางลงเขาท่องป่าเขาลำเนาไพร ชมเขาสูงทะเลกว้าง พระจันทร์เต็มดวงสายลมสดชื่น......เมื่อลูกคิดได้ชัดเจนแล้ว จะกลับอิ๋นเฉิงมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับท่านพ่ออีกครั้ง หวังว่าท่านพ่อจะไม่ติดมาก และฝากท่านพ่อบอกป้าเหมยด้วย ว่าในใจลูกไม่มีความขุ่นเคือง......ลูกยังขอสาบานกับแสงอาทิตย์ยามเช้าและแสงจันทร์เต็มดวง ชาตินี้จะไม่มีวันแก้แค้น และหวังว่าท่านพ่อจะแต่งงานกับป้าเหมยโดยเร็วที่สุด ทำตามความปรารถนาในอดีต ไม่ต้องห่วง!”เหมยชิงเกอไม่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย เมื่อนางเหลือบดู ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร รู
ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ทุกคนมาถึงปากหุบเขาแล้วชาวยุทธ์หลายคนที่ติดตามพวกเขาได้กลิ่นของทางสู่วิถีแห่งสวรรค์แล้ว ต่างวิ่งไปดูที่ปากหุบเขา“หรือว่าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์อยู่ที่นี่?”“ที่นี่แค่มองก็รู้ว่ามีฮวงจุ้ยดี”“ทำไมเราไม่ปรึกษากันก่อน แล้วเพิ่มเงินอีกหน่อย แทนที่จะรอถึงสามวันหลังจากนั้น”ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะพบกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทุกลมหายใจแห่งการรอคอยนั้นทรมานจิตใจพวกเขามาก“ถูกต้อง ดังคำกล่าวที่ว่า เงินสามารถทำให้ผีมาปั่นหินได้ คนที่อาศัยอยู่ในตำหนักเทพไม่ใช่เทพเจ้าจริงๆ เสียหน่อย”หลังจากที่คนผู้นั้นพูดจบ เขาก็หันกลับมาพูดกับเหมยชิงเกออย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าตำหนักเหมย ข้าเห็นว่าท่านเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา พวกเราอย่าอ้อมค้อมกันอีกเลย เราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ถึงจะไปดูทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้ ท่านบอกราคามาได้เลย”คนข้างๆ พูดคล้อยตามทันที “ถูกต้อง แค่สามวันเท่านั้น จะเร็วขึ้นหนึ่งวันหรือช้ากว่านั้นหนึ่งวันก็ต่างกันไม่มากหรอก”“เจ้าตำหนักเหมยเสนอมาเถอะ ผู้ที่มีกำลังก็เข้าไปได้ แบบนี้ยุติธรรมมาก!”เมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความสับสนผลหม่าน เหมยชิงเกอก็ขมวดคิ
แผ่นหลังของเย่จิ่งหลานแข็งทื่อเล็กน้อยมีมือข้างหนึ่งวางอยู่บนไหล่ของเขา“จิ่งหลาน เจ้าเป็นอะไรไป”เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ข้างเขาเย่จิ่งหลานส่ายหัวอย่างแรง“ไม่มีอะไร”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามอีกครั้ง“พี่ใหญ่ท่านได้ยินอะไรไหม”เย่จิ่งอวี้ส่ายหัว“ไม่มี เจ้าได้ยินอะไรมางั้นหรือ”เย่จิ่งหลานมองดูบรรดาลูกศิษย์และอาคันตุกะอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแปลก คิดว่าไอ้ผีบ้าตนนี้คงตั้งใจมาหาตัวเองโดยเฉพาะกระมังเดาว่าเป็นผลจากการที่ถูกแต้มชาดแห่งบาปอะไรนั่นอีกแล้ว!โคตรแม่งเอ๊ย ดูเหมือนว่าถ้าไม่ไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง คงจัดการเรื่องนี้ไม่ได้แน่เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็หัวเราะแห้งๆ“ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงนกร้อง”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่มีป่ามากมาย จะได้ยินเสียงนกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็เรื่องปกติ”เย่จิ่งหลานเกาหัวและหัวเราะแห้งๆ“ใช่ พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว น้องชายไม่ค่อยพบเจอก็เลยรู้สึกแปลกใจ ข้าอยากขึ้นไปดูหน่อย พี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่”“ไม่ดีกว่า เจ้าไปดูเถอะ อย่าทำให้เสียเรื่องล่ะ ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ รอหกวันจากนี้ค่อยว่ากัน”ไม่กี่คำหลัง เย่จิ่งอวี้กดเสียงใ
เสียงนั้นดังขึ้นซ้ำๆ ราวกับเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหู เสียงดังกล่าวนี้ทำให้เย่จิ่งหลานตื่นตระหนก อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น“หุบปากซะ!”ซึ่งขณะนี้ทุกคนใช้วิธีต่างๆ เพื่อทดสอบทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ต่างก็หันกลับมาเย่จิ่งหลานรู้สึกเขินอาย รีบประกบมือขอโทษขอโพย “ขออภัย ขออภัย”จากนั้นเขาก็ลากหวังซุ่นไปนั่งอีกด้านหนึ่ง“นายท่าน ท่านเป็นอะไรงั้นรึ”หวังซุ่นถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเย่จิ่งหลานมองดูเขาแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลยหรือ”หวังซุ่นส่ายหัวด้วยความสับสน“ไม่มีนะ นายท่านได้ยินอะไรกันแน่”เย่จิ่งหลานโบกมืออย่างรำคาญ“ไม่มีอะไร”ทันทีที่เขาพูดจบ รองเท้าผ้าพื้นสีดำสลับเทาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา ในเวลาเดียวกันเสียงของเฮ่อยวนก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ“จอมยุทธ์น้อยเย่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”เฮ่อยวนรู้ว่าเขาคือน้องชายแท้ๆ ของลูกเขย จึงต้องต้องดูแลเป็นพิเศษ เมื่อมองไปรอบๆ ฝูงชนก็ไม่เห็นลูกสาวกับลูกเขย จึงถามอีกครั้ง “แล้วชิงเสวียนกับจิ่งอวี้ล่ะ?”เดิมทีเย่จิ่งหลานต้องการจะหยิบบุหรี่ออกมาสูบเพื่อสงบจิตใจ แต่แล้วก็รีบยัดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว“พ
สามวันผ่านไปในพริบตาเดียว ชาวยุทธ์ที่อยู่ด้านนอกทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ก็หมดความอดทนกับการรอคอย เริ่มตะโกนเข้าไปที่ทางเข้าหุบเขาตั้งแต่เช้าตรู่“มีใครรับผิดชอบอยู่ข้างในหรือเปล่า ตกลงกันแล้ว ห้ามกลับคำนะ”“ถูกต้อง คนเราพูดแล้วต้องทำด้วย”“เราทุกคนจ่ายเงินจริง ฉะนั้นรีบเปิดค่ายกล ให้เราเข้าไปได้แล้ว”“เข้าไป เข้าไป!”ทุกคนตะโกนพร้อมกัน คนที่อยู่ข้างในก็ตกใจเมื่อรู้ว่าผ่านไปสามวันแล้วในช่วงสามวันนี้ ทุกคนลืมกินลืมนอน โดยเอาความคิดทั้งหมดมาไว้ที่หินก้อนนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร หินก็ยังคงไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนทุกคนไม่หลับไม่นอน แม้แต่อาหารหรือน้ำก็ไม่ได้แตะต้องเลย ตอนนี้เมื่อรู้ตัว ถึงได้รู้สึกง่วงและเหนื่อยทว่าได้กลิ่นหอมของเนื้อที่มาจากข้างหลัง อวัยวะภายในทั้งห้าก็เริ่มส่งเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อมองย้อนกลับไป ก็เห็นเย่จิ่งหลานกำลังรับประทานอาหารบนตะแกรงบาร์บีคิว ถือไม้เสียบและดื่มสุราอย่างสบายอุรา โดยมีสิ่งที่คาบอยู่ในปาก ท่าทางสบายยิ่งนัก!อาคันตุกะคนหนึ่งทนไม่ไหว จึงเข้ามาพูดว่า “คุณชายน้อยท่านนี้ ช่วยแบ่งเนื้อเสียบไม้ให้ข้าหน่อยได้ไหม”เย่จิ่งหลานยิ้มแล้วพ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี