เย่จิ่งอวี้กำลังจะถามคำถาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาแต่ไกล สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปดูหน่อย”ทันทีที่พูดจบ ร่างนั้นก็หายไปแล้วหวังซุ่นก็กำลังจะออกไปเช่นกัน แต่ถูกอินชิงเสวียนหยุดไว้“เกิดอะไรขึ้น”หวังซุ่นเกาหัว“บ่าวก็ไม่รู้แน่ชัด ตอนแรกกำลังกินข้าวกับนายท่าอยู่ดีๆ ถือโอกาสฟังเหล่าชาวยุทธ์อาวุโสบางคนคุยโวไปด้วย แต่พอมืดลง ชาวยุทธ์เหล่านั้นก็เหมือนคนบ้าคลั่ง แล้วเริ่มทะเลาะกันเลย”อินชิงเสวียนตกใจ“หรือมีใครยื่นมาเข้ามาแทรก ทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้น?”“ข้าก็ไม่รู้ สรุปก็คือสถานการณ์ยุ่งวุ่นวายกันยกใหญ่”หลังจากที่หวังซุ่นพูดจบ เขาก็พูดเพิ่มประโยคอีกประโยคหนึ่ง“ตั้งแต่ที่เห็นกำแพงหินครั้งที่แล้ว นายท่านก็ถามข้าหลายครั้งว่าข้าได้ยินอะไรไหม ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องอะไรหรือไม่”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ตอนนั้นเย่จิ่งหลานก็ถามอาอวี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ หรือจะเป็นชาดแห่งบาปของเขา?เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหนานเฟิงหลับไปแล้ว อินชิงเสวียนจึงส่งเขาเข้าไปอยู่ในมิติ“ข้าก็จะไปดูด้วย”หลังจากออกจากเต็นท์ ก็เจอเฮ่อยวนกับเหมยชิงเกอที่อยู่ห
อย่างไรก็ตามความบ้าคลั่งประเภทนี้ก็เหมือนกับการติดเชื้อ เดิมทีก็มีคนจิตใจชัดเจนหลายคนพยายามโน้มน้าวทุกคนไม่ให้หุนหันพลันแล่น แต่พริบตาเดียวต่อสู้กันขึ้น แม้แต่อาคันตุกะจากตำหนักเทพหลายคนก็เข้าร่วมด้วย เป็นการต่อสู้โดยไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรูเย่จิ่งอวี้กับอินชิงเสวียนมาถึงกันแล้ว เมื่อเห็นคนเกือบพันคนต่อสู้กันเหมือนกลุ่มอันธพาล พวกเขาก็ต้องตกใจ“นี่ เกิดอะไรขึ้น”หวังซุ่นกำลังมองหาเย่จิ่งหลาน พูดด้วยใบหน้าเศร้า “บ่าวก็ไม่รู้ แต่เพียงครู่เดียวกลับกลายเป็นแบบนี้เสียได้ นายท่าน นายท่านของข้าอยู่ที่นั่น”เขาชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ รีบวิ่งเข้าไปในฝูงชนทันที เพื่อปกป้องเย่จิ่งหลาน“นายท่าน ฮ่องเต้กับฮองเฮามากแล้ว นายท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ พวกเขาบ้าไปแล้วหรือ”ในที่สุดหวังซุ่นก็วิ่งไปถึงตัวเย่จิ่งหลาน ต้นขาถูกฟันด้วยดาบ เลือดสดๆ หยดลงบนกางเกงของเขาเย่จิ่งหลานเหลือบมอง อดไม่ได้ที่จะดุด่า “หุบปาก เจ้างั่งอย่างเจ้าไม่อยู่กับพวกเขาดีๆ มาหาข้าทำไม”หวังซุ่นอดทนต่อความเจ็บปวด หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “นายท่านเป็นเจ้านายของบ่าว บ่าวต้องอยู่ข้างกายท่าน ร่วมเป็นร่วมตายอยู่แล้ว”เย่จิ่งห
“อาอวี้ มีบางอย่างผิดปกติกับคนพวกนี้”อินชิงเสวียนเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง นับตั้งแต่ดื่มน้ำพุวิญญาณ นางก็มีความรู้สึกไวต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว นางอ่อนไหวมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า และก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน“เป็นเช่นนั้นจริง”เย่จิ่งอวี้ก็สังเกตเห็นบางอย่างเช่นกันพลังแห่งฟ้าดินก็ช่วยขยายประสาทสัมผัสของเขาเช่นกัน เขายังสามารถเห็นเส้นพลังงานสีดำที่เล็ดลอดออกมาจากตัวของชาวยุทธ์เหล่านี้“ดูเหมือนพวกเขาจะโดนสิ่งชั่วร้ายเข้าครอบงำ”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกำแพงหินนี้”“บางทีวิถีแห่งสวรรค์อาจเป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุด”ในขณะที่เย่จิ่งอวี้กำลังพูด ก็ซัดจอมยุทธ์อีกสองคนร่วงไปแล้ว ขณะที่ลงมือเขาก็ยังยั้งมือไว้บ้างอย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้เสียสติไปแล้ว ในทันใดนั้นคนอีกหลายคนก็รีบรุดไปข้างหน้าโดยไม่กลัวความตายทั้งสองคนไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่คนเหล่านี้เป็นเหมือนหนอนที่ติดกระดูก ตีไม่หนี ไล่ไม่ไปอินชิงเสวียนขมวดคิ้วและพูดว่า “อาอวี้ ควรทำอย่างไรดี ถ้าไม่ทำร้ายพวกเขา เกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้”ขณะที่กำลังพูด ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องหลายครั้งดัง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมีความกังวล เย่จิ่งหลานจึงไม่บังคับอีก ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด เขาก็ไม่สามารถยัดเยียดความคิดของตัวเองให้กับผู้อื่นได้“งั้นก็ควบคุมพวกโง่นี้ให้ได้ก่อน”เขายืนขึ้นกำลังจะออกไป แต่อินชิงเสวียนห้ามไว้“เย่จิ่งหลาน เจ้าไม่ได้รับผลกระทบใช่ไหม”เย่จิ่งหลานแค่นเสียงชิพูดว่า “ข้าเป็นใครไม่รู้รึ คิดจะควบคุมข้า ไอ้ของเส็งเคร็งนี่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่ออีกพันปีถึงจะทำได้”อินชิงเสวียนไม่รู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทในตัวเขา จึงโล่งใจ“ความใจร้อนวู่วามคือปีศาจ การฆ่าคนก็ถือเป็นหนี้กรรมเช่นกัน พยายามควบคุมพวกเขาก็พอ”“รู้แล้ว”ครั้นแล้วเย่จิ่งหลานก็กระโดดเข้าสู่วงการต่อสู้อีกครั้งในระยะไกล เฮ่อยวนก็ขมวดคิ้วเช่นกันเขาเป็นคนใจดีมีเมตตา เขาไม่ได้ลงมือโหดเหี้ยมเลย แต่จะทำอย่างไรได้เพราะพวกคนเหล่านี้ที่ไล่ตามไม่เลิก ราวบ้าคลั่งไปแล้ว“เฮ่อยวน ไม่ต้องยั้งมือ”เมื่อเห็นลูกศิษย์ของตำหนักเทพล้มลงอย่างต่อเนื่อง เหมยชิงเกอก็โกรธจัดในเวลาเดียวกัน เสียงที่คล้ายกับเสียงของนางเองดังก้องอยู่ในใจ“ดูเอาเถิด นี่เป็นความอยุติธรรมของสวรรค์ เจ้าไม่มีเจตนาจะทำร้ายผู้อื่น แต่พวกเขากลับเจตนาจะ
เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังขึ้นในเมือง เฉิงเฟิ่งโหลวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว ส่วนไป๋เสวี่ยและเจ้าหมาป่าน้อยสีขาวก็เห่าหอนอย่างวิตกเช่นกันกลิ่นคาวเลือดปลุกสัญชาตญาณอันดุร้ายของเจ้าหมาป่าน้อยสีขาว มันส่งเสียงคำรามต่ำๆ หมอบคลานไปบนพื้น ประกายสีเขียวที่รุนแรงวาววับในดวงตาไป๋เสวี่ยใช้อุ้งเท้าตรึงมันไว้กับพื้น เจ้าขาวพยายามอยู่หลายครั้ง แล้วจึงนอนลงบนพื้นเฉิงเฟิ่งโหลวกระวนกระวายใจจะแย่แล้ว เขาถือหนังสือแสร้งทำเป็นสงบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อ่านไม่เข้าใจนายท่านและครอบครัวยังไม่กลับมา ขออย่าให้เจอคนชั่วเลย ชาวยุทธ์มากมายเหล่านั้น แต่ละคนฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา ยิ่งไม่พูดถึงเรื่องไร้เหตุผลนอกจากนี้ยังมีนายน้อยอีก เขาเป็นห่วงยิ่งนัก“ไป๋เสวี่ย เรา...ออกไปดูไหม”เฉิงเฟิ่งโหลวไม่รู้ว่าสุนัขจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ในใจเขากลัวมาก แม่ของเขาบอกว่าสัตว์เดรัจฉานเลี้ยงไม่เชื่องที่สุด แม้แต่สุนัขในบ้าน ก็ยังชักสีหน้าไม่ยอมรับเจ้าของไป๋เสวี่ยจ้องมองที่เฉิงเฟิ่งโหลว แล้วส่ายหัวอันใหญ่โตของมัน ก่อนที่อินชิงเสวียนจะจากไปได้กำชับไว้เป็นพิเศษ บอกให้มันปกป้องเฉิงเฟิ่งโหลวกับเจ้าขาวโดยเฉพาะเฉิงเฟิ่งโหล
คุณชายคนนั้นทำหน้าตกใจ พูดเสียงหอบๆ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่ แต่กลับเห็นคนบ้ากลุ่มหนึ่ง หรือว่าเจ้าก็เป็นคนจากนอกพื้นที่เหมือนกัน?”คุณชายคนนั้นกะพริบตา ดวงตาทั้งคู่คล้ายจะมีน้ำคลออยู่ ซึ่งน่าดูเป็นพิเศษเฉิงเฟิ่งโหลวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรู้สึกตัว“จริงๆ แล้วข้าก็เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก”เฉิงเฟิ่งโหลวยังเด็ก ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรนัก เขาได้เล่าเรื่องราวที่ตัวเองขอทานมาจนถึงที่นี่ และเรื่องที่ได้รับการช่วยเหลือจากนายท่านกับนายหญิงอย่างย่อๆ คุณชายผู้นั้นตอบอ้อแล้วกล่าวต่อว่า “แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่านายท่านกับนายหญิงของเจ้าหายไปไหน”เฉิงเฟิ่งโหลวส่ายหัวอย่างไม่รู้เรื่องชายหนุ่มเอียงศีรษะและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ถ้าพวกเขาไม่ได้บอกเจ้า บางทีพวกเขาอาจจะจากไปแล้ว”เฉิงเฟิ่งโหลวหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที“ไม่ใช่หรอก นายท่านบอกว่าจะพาข้าไปเมืองหลวง พวกเขาไม่มีวันทอดทิ้งข้าแน่นอน”คุณชายคนนั้นเบ้ปาก ขู่ว่า “เจ้าเห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีของพวกเขา แต่ใครจะรู้ว่าข้างในนั้นเป็นอย่างไร บางทีพวกเขาอาจเป็นคนค้ามนุษย์ คอยดูเจ้าจะถูกขายราคาได้ดีๆ”
ณ บัดนี้ ที่เมืองถงหูเล็กๆ ด้านนอกทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้วุ่นวายอลหม่านไปหมด ในเวลาเพียงสามสิบนาที ผู้บริสุทธิ์หลายสิบคนถูกสังหารเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มควบคุมได้ยากขึ้น ตำหนักเทพและอิ๋นเฉิงจึงออกคำสั่งที่สองไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับกุมคนเหล่านี้ให้ได้ ใครก็ตามที่ฝ่าฝืน ต้องถูกฆ่าตายทันที!เมื่อเฮ่อฉางเฟิงทราบข่าวจากศิษย์อิ๋นเฉิง ก็ไม่ยั้งมืออีก หากไม่สามารถควบคุมได้ก็ฆ่าทันทีก่อนที่จะกลับมาที่เมืองถงหู เฮ่อฉางเฟิงตั้งใจจะออกไปท่องยุทธภพจริงๆ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างก็มีความอยากรู้เป็นนิสัย เขาอยากรู้ว่าคราวนี้จะสามารถเปิดทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้หรือไม่ จึงไปหาบ้านที่ไม่เด่นสะดุดตา แวะพักก่อนชั่วคราวเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาแล้วสามวัน เฮ่อฉางเฟิงยังไม่ได้ยินข่าวใดๆ กำลังจะไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ ทันทีที่มาถึงที่ประตูก็ได้กลิ่นคาวเลือดตีขึ้นจมูก จึงได้บังเอิญช่วยเฉิงเฟิ่งโหลวและหลิวซือจวิน“คุณชายเฮ่อ ได้ยินมาว่าคนในอิ๋นเฉิงล้วนมีทักษะทางการแพทย์ดี ท่านช่วยแสดงให้ข้าเห็นสักครั้งได้หรือไม่”เฮ่อฉางเฟิงลงมือตลอดทาง โดยที่มีหลิวซือจวินคอยเดินตามเซ้าซี้อยู่ไม่หยุด พร
อินชิงเสวียนรู้ว่าในสมัยโบราณเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น ทว่าในใจก็ยังรู้สึกเช่นนั้นล้วนสูญเสียสติสัมปชัญญะเช่นกัน รู้แค่ว่าต้องฆ่าคนเท่านั้นเหมือนกัน ส่วนแตกต่างก็คือ ซอมบี้หลังจากตายแล้วก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่หากชาวยุทธ์เหล่านี้ตายลง ก็เท่ากับดับสิ้นไปโดยสิ้นเชิงแม้ว่าคนเหล่านี้ต่างก็คิดไม่ซื่อ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้จริงๆ เช่นนั้นจะขัดต่อความกลมกลืนของสวรรค์ อินชิงเสวียนเคยเป็นคนไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ แต่ตั้งแต่นางตั้งครรภ์ นิสัยของก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป นางมักจะรู้สึกเสมอว่าถ้าสะสมบุญบารมีมากขึ้น ก็จะสามารถปกป้องลูกๆ ได้“ท่านพ่อกับท่านแม่ได้บอกไว้หรือไม่ ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร”เย่จิ่งอวี้ช่วยประคองอินชิงเสวียนให้นั่งบนแท่นหินข้างๆ“ท่านพ่อให้ผู้อาวุโสหลายท่านจากอิ๋นเฉิงช่วยวินิจฉัยรักษาให้พวกเขา แต่กลับไม่สามารถหาสาเหตุได้”อินชิงเสวียนเหลือบมองกำแพงหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างๆ“คิดว่าคนเหล่านี้คงถูกทำให้จิตใจสับสน ไม่รู้ว่าน้ำพุวิญญาณจะได้ผลหรือไม่”นางโบกมือและหยิบขวดน้ำออกมา พูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “อาอวี้ลองเอาไปให้ใครสักคนดื่มดู”เย่จิ่งอวี้รับไว้ด้วยคว