เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังขึ้นในเมือง เฉิงเฟิ่งโหลวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว ส่วนไป๋เสวี่ยและเจ้าหมาป่าน้อยสีขาวก็เห่าหอนอย่างวิตกเช่นกันกลิ่นคาวเลือดปลุกสัญชาตญาณอันดุร้ายของเจ้าหมาป่าน้อยสีขาว มันส่งเสียงคำรามต่ำๆ หมอบคลานไปบนพื้น ประกายสีเขียวที่รุนแรงวาววับในดวงตาไป๋เสวี่ยใช้อุ้งเท้าตรึงมันไว้กับพื้น เจ้าขาวพยายามอยู่หลายครั้ง แล้วจึงนอนลงบนพื้นเฉิงเฟิ่งโหลวกระวนกระวายใจจะแย่แล้ว เขาถือหนังสือแสร้งทำเป็นสงบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อ่านไม่เข้าใจนายท่านและครอบครัวยังไม่กลับมา ขออย่าให้เจอคนชั่วเลย ชาวยุทธ์มากมายเหล่านั้น แต่ละคนฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา ยิ่งไม่พูดถึงเรื่องไร้เหตุผลนอกจากนี้ยังมีนายน้อยอีก เขาเป็นห่วงยิ่งนัก“ไป๋เสวี่ย เรา...ออกไปดูไหม”เฉิงเฟิ่งโหลวไม่รู้ว่าสุนัขจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ในใจเขากลัวมาก แม่ของเขาบอกว่าสัตว์เดรัจฉานเลี้ยงไม่เชื่องที่สุด แม้แต่สุนัขในบ้าน ก็ยังชักสีหน้าไม่ยอมรับเจ้าของไป๋เสวี่ยจ้องมองที่เฉิงเฟิ่งโหลว แล้วส่ายหัวอันใหญ่โตของมัน ก่อนที่อินชิงเสวียนจะจากไปได้กำชับไว้เป็นพิเศษ บอกให้มันปกป้องเฉิงเฟิ่งโหลวกับเจ้าขาวโดยเฉพาะเฉิงเฟิ่งโหล
คุณชายคนนั้นทำหน้าตกใจ พูดเสียงหอบๆ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่ แต่กลับเห็นคนบ้ากลุ่มหนึ่ง หรือว่าเจ้าก็เป็นคนจากนอกพื้นที่เหมือนกัน?”คุณชายคนนั้นกะพริบตา ดวงตาทั้งคู่คล้ายจะมีน้ำคลออยู่ ซึ่งน่าดูเป็นพิเศษเฉิงเฟิ่งโหลวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรู้สึกตัว“จริงๆ แล้วข้าก็เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก”เฉิงเฟิ่งโหลวยังเด็ก ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรนัก เขาได้เล่าเรื่องราวที่ตัวเองขอทานมาจนถึงที่นี่ และเรื่องที่ได้รับการช่วยเหลือจากนายท่านกับนายหญิงอย่างย่อๆ คุณชายผู้นั้นตอบอ้อแล้วกล่าวต่อว่า “แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่านายท่านกับนายหญิงของเจ้าหายไปไหน”เฉิงเฟิ่งโหลวส่ายหัวอย่างไม่รู้เรื่องชายหนุ่มเอียงศีรษะและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ถ้าพวกเขาไม่ได้บอกเจ้า บางทีพวกเขาอาจจะจากไปแล้ว”เฉิงเฟิ่งโหลวหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที“ไม่ใช่หรอก นายท่านบอกว่าจะพาข้าไปเมืองหลวง พวกเขาไม่มีวันทอดทิ้งข้าแน่นอน”คุณชายคนนั้นเบ้ปาก ขู่ว่า “เจ้าเห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีของพวกเขา แต่ใครจะรู้ว่าข้างในนั้นเป็นอย่างไร บางทีพวกเขาอาจเป็นคนค้ามนุษย์ คอยดูเจ้าจะถูกขายราคาได้ดีๆ”
ณ บัดนี้ ที่เมืองถงหูเล็กๆ ด้านนอกทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้วุ่นวายอลหม่านไปหมด ในเวลาเพียงสามสิบนาที ผู้บริสุทธิ์หลายสิบคนถูกสังหารเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มควบคุมได้ยากขึ้น ตำหนักเทพและอิ๋นเฉิงจึงออกคำสั่งที่สองไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับกุมคนเหล่านี้ให้ได้ ใครก็ตามที่ฝ่าฝืน ต้องถูกฆ่าตายทันที!เมื่อเฮ่อฉางเฟิงทราบข่าวจากศิษย์อิ๋นเฉิง ก็ไม่ยั้งมืออีก หากไม่สามารถควบคุมได้ก็ฆ่าทันทีก่อนที่จะกลับมาที่เมืองถงหู เฮ่อฉางเฟิงตั้งใจจะออกไปท่องยุทธภพจริงๆ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างก็มีความอยากรู้เป็นนิสัย เขาอยากรู้ว่าคราวนี้จะสามารถเปิดทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้หรือไม่ จึงไปหาบ้านที่ไม่เด่นสะดุดตา แวะพักก่อนชั่วคราวเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาแล้วสามวัน เฮ่อฉางเฟิงยังไม่ได้ยินข่าวใดๆ กำลังจะไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ ทันทีที่มาถึงที่ประตูก็ได้กลิ่นคาวเลือดตีขึ้นจมูก จึงได้บังเอิญช่วยเฉิงเฟิ่งโหลวและหลิวซือจวิน“คุณชายเฮ่อ ได้ยินมาว่าคนในอิ๋นเฉิงล้วนมีทักษะทางการแพทย์ดี ท่านช่วยแสดงให้ข้าเห็นสักครั้งได้หรือไม่”เฮ่อฉางเฟิงลงมือตลอดทาง โดยที่มีหลิวซือจวินคอยเดินตามเซ้าซี้อยู่ไม่หยุด พร
อินชิงเสวียนรู้ว่าในสมัยโบราณเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนั้น ทว่าในใจก็ยังรู้สึกเช่นนั้นล้วนสูญเสียสติสัมปชัญญะเช่นกัน รู้แค่ว่าต้องฆ่าคนเท่านั้นเหมือนกัน ส่วนแตกต่างก็คือ ซอมบี้หลังจากตายแล้วก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่หากชาวยุทธ์เหล่านี้ตายลง ก็เท่ากับดับสิ้นไปโดยสิ้นเชิงแม้ว่าคนเหล่านี้ต่างก็คิดไม่ซื่อ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้จริงๆ เช่นนั้นจะขัดต่อความกลมกลืนของสวรรค์ อินชิงเสวียนเคยเป็นคนไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ แต่ตั้งแต่นางตั้งครรภ์ นิสัยของก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป นางมักจะรู้สึกเสมอว่าถ้าสะสมบุญบารมีมากขึ้น ก็จะสามารถปกป้องลูกๆ ได้“ท่านพ่อกับท่านแม่ได้บอกไว้หรือไม่ ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร”เย่จิ่งอวี้ช่วยประคองอินชิงเสวียนให้นั่งบนแท่นหินข้างๆ“ท่านพ่อให้ผู้อาวุโสหลายท่านจากอิ๋นเฉิงช่วยวินิจฉัยรักษาให้พวกเขา แต่กลับไม่สามารถหาสาเหตุได้”อินชิงเสวียนเหลือบมองกำแพงหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างๆ“คิดว่าคนเหล่านี้คงถูกทำให้จิตใจสับสน ไม่รู้ว่าน้ำพุวิญญาณจะได้ผลหรือไม่”นางโบกมือและหยิบขวดน้ำออกมา พูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “อาอวี้ลองเอาไปให้ใครสักคนดื่มดู”เย่จิ่งอวี้รับไว้ด้วยคว
เหมยชิงเกอขมวดคิ้ว“คนเหล่านี้ล้วนคลุ้มคลั่งเสียสติเพราะเข้ามาทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ หากสามารถทำลายสิ่งนี้ได้ บางทีคนเหล่านี้อาจจะฟื้นคืนสติขึ้นมา”อาคันตุกะกู่เทียนกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าตำหนักเหมย หากหินก้อนนี้ก่อความวุ่นวายจริงๆ ทำไมตั้งแต่อิ๋นเฉิงเข้ามาดูแลตั้งนานหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในความคิดของข้า เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง”เขาหยุดแล้วกล่าวว่า “ข้าบังอาจคาดเดาว่า อาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นจุดเริ่มต้น หรืออาจมีอุปสรรคบางอย่างเกิดขึ้น จึงนำไปทางสู่วิถีแห่งสวรรค์อีกด้านหนึ่งก็เป็นได้ สิ่งของนี้อาจจะทำให้ความเกลียดชังและความอยากได้ของมนุษย์เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเสียสติ”ดวงตาของเหมยชิงเกอหรี่ลงเล็กน้อยสิ่งที่ผู้อาวุโสกู่พูด ค่อนข้างมีเหตุผลอยู่บ้าง อย่างน้อยกงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็ไม่เป็นอะไร ความโกรธแค้นชิงในใจของนาง เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดมีความรู้สึกเหล่านี้มากกว่านางอีกแล้วเฮ่อยวนพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้อาวุโสฉางและกู่เทียนพูดหากมีวิธีการกำจัดวิญญาณชั่วร้ายนี้ เฮ่อยวนย่อม
ทุกคนตกตะลึง ความสำเร็จด้านกระบี่ของลิ่นเซียวสูงส่งมากเพียง สมแล้วที่ได้รับฉายาว่าปรมาจารย์กระบี่ลิ่นเซียวหมุนข้อมือ แล้วตะโกน “ไป!”กระบี่ยาวเกือบร้อยเล่มราวกับจะมีดวงตา ทั้งหมดพุ่งแทงไปยังวิถีแห่งสวรรค์ฉางชิวเฟิงและกู่เทียนต้องการที่จะหยุดยั้ง แต่ก็สายเกินไปแล้ว ต่างอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง ด้วยมิอาจทนมองต่อไปได้ด้วยกำลังภายในของลิ่นเซียว ด้วยกระบี่จำนวนมากที่แทงพุ่งออกไปพร้อมกัน แม้แต่ยอดเขาก็ยังราบเป็นหน้ากลองได้ เช่นนั้นวิถีแห่งสวรรค์ก็คงไม่รอดแล้วแน่ๆอย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาได้ยินกลับไม่ใช่เสียงระเบิดดังสนั่น หากแต่เป็นเสียงอาวุธที่แตกหักกระบี่ยาวทั้งหมดทยอยหักพังไป แต่หินประหลาดนั้นยังคงมั่นคงดั่งภูเขาไท่ซาน ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยลิ่นเซียวหันหน้ากลับมา เมื่อเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจหินยังไม่แตก หรือว่าวรยุทธ์ของตัวเองถดถอยลง?สีหน้าของลิ่นเซียวเปลี่ยนไปอย่างมาก จากนั้นก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าหินหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่รอยขีดข่วน ซึ่งถือว่าแปลกจริงๆ“เปล่าประโยชน์ แม้แต่สว่านไฟฟ้าก็เจาะไม่ได้ ของสิ่งนี้แปลกมากจริงๆ”เย่จิ่งหลา
อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้า ปิดบังสายตาของหลิวซือจวิน และหันไปมองที่เฉิงเฟิ่งโหลวกล่าวปลอบโยนเบาๆ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เมื่อมาถึงแล้ว ก็อยู่กับพวกเราเถอะ อีกสักพักข้าจะไปตั้งกระโจมพัก เจ้าก็ไปพักผ่อนข้างในก่อนได้”เฉิงเฟิ่งโหลวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พูดอย่างกังวลว่า “แต่...หนังสือที่บ้าน...”“ไม่ต้องห่วง คนพวกนั้นไม่แย่งชิงหนังสือหรอก”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็หันไปหาเฮ่อฉางเฟิง“พี่ชายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”เฮ่อฉางเฟิงพูดอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า “จริงๆ แล้วข้าไม่ได้ออกไปไหน เดิมทีอยากรอดูผลของวิถีแห่งสวรรค์ก่อน นึกว่าจะได้เจอกับชาวยุทธ์ที่บ้าคลั่งจำนวนหนึ่งแทน ในระหว่างการสอบสวนได้ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งสองไว้ คิดไม่ถึงน้องเล็กกับน้องชายเฉิงคนนี้จะรู้จักกัน ในที่สุดพี่ชายก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชายเคยทำอะไรผิดที่ไหนกัน ไม่ว่าจะที่เป่ยไห่ หรือว่าที่นี่ เรียกว่าเป็นเหมือนฝนที่ตกต้องตามฤดูกาล”หลิวซือจวินที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณชายเฮ่อ นี่คือน้องสาวของเจ้าหรือ ครอบครัวของเจ้าหน้าตาดีจัง งั้นนั่นก็เป็นพี่น้องชายของเจ้าด้วยหร
“ทำไมล่ะ”เฮ่อยวนหันศีรษะไปมองอย่างเคร่งขรึมองครักษ์ส่วนตัวโค้งคำนับและพูดว่า “คนในเมืองดูเหมือนจะได้รับผลกระทบ มีบางคนก็บ้าคลั่งไปแล้ว”สีหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย“แพร่กระจายเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”องครักษ์พยักหน้า“เราควบคุมชาวบ้านไว้ได้บางส่วนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีผู้ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด”เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “ข้าก็บอกแล้ว เมื่อควรตัดสินใจกลับไม่ตัดสินใจ สุดท้ายย่อมได้รับความวุ่นวาย หากไม่ทำลายหินเส็งเคร็งนี่ จะต้องมีคนเข้ามาข้องเกี่ยวแน่นอน”เหล่าศิษย์ของตำหนักเทพก็ตามมารายงานต่อ“เจ้าตำหนัก ชาวยุทธ์จำนวนมากได้หนีออกจากเมืองไปแล้ว ต้องการให้ไล่ตามตัวกลับมาหรือไม่”ใบหน้าของเหมยชิงเกอพลันอึมครึมมืดมน“ไล่ตาม ต้องจับพวกเขากลับมาให้หมด”จากนั้นก็มองไปที่เฮ่อยวน“สิ่งที่คุณชายน้อยเย่พูดมาก็มีเหตุผล หากเราร่วมมือกัน บางทีอาจจะสามารถทำลายมันได้”เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ ฉางชิวเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ทำไมเราไม่ร่วมมือกัน ดูว่าจะสามารถดึงสิ่งชั่วร้ายออกมาโดยไม่สร้างความเสียหายได้หรือไม่ จากนั้นค่อยๆ ไขปริศนาวิถีแห่งสวรรค์”เข