แผ่นหลังของเย่จิ่งหลานแข็งทื่อเล็กน้อยมีมือข้างหนึ่งวางอยู่บนไหล่ของเขา“จิ่งหลาน เจ้าเป็นอะไรไป”เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ข้างเขาเย่จิ่งหลานส่ายหัวอย่างแรง“ไม่มีอะไร”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามอีกครั้ง“พี่ใหญ่ท่านได้ยินอะไรไหม”เย่จิ่งอวี้ส่ายหัว“ไม่มี เจ้าได้ยินอะไรมางั้นหรือ”เย่จิ่งหลานมองดูบรรดาลูกศิษย์และอาคันตุกะอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแปลก คิดว่าไอ้ผีบ้าตนนี้คงตั้งใจมาหาตัวเองโดยเฉพาะกระมังเดาว่าเป็นผลจากการที่ถูกแต้มชาดแห่งบาปอะไรนั่นอีกแล้ว!โคตรแม่งเอ๊ย ดูเหมือนว่าถ้าไม่ไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง คงจัดการเรื่องนี้ไม่ได้แน่เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็หัวเราะแห้งๆ“ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงนกร้อง”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่มีป่ามากมาย จะได้ยินเสียงนกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็เรื่องปกติ”เย่จิ่งหลานเกาหัวและหัวเราะแห้งๆ“ใช่ พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว น้องชายไม่ค่อยพบเจอก็เลยรู้สึกแปลกใจ ข้าอยากขึ้นไปดูหน่อย พี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่”“ไม่ดีกว่า เจ้าไปดูเถอะ อย่าทำให้เสียเรื่องล่ะ ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ รอหกวันจากนี้ค่อยว่ากัน”ไม่กี่คำหลัง เย่จิ่งอวี้กดเสียงใ
เสียงนั้นดังขึ้นซ้ำๆ ราวกับเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหู เสียงดังกล่าวนี้ทำให้เย่จิ่งหลานตื่นตระหนก อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น“หุบปากซะ!”ซึ่งขณะนี้ทุกคนใช้วิธีต่างๆ เพื่อทดสอบทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ต่างก็หันกลับมาเย่จิ่งหลานรู้สึกเขินอาย รีบประกบมือขอโทษขอโพย “ขออภัย ขออภัย”จากนั้นเขาก็ลากหวังซุ่นไปนั่งอีกด้านหนึ่ง“นายท่าน ท่านเป็นอะไรงั้นรึ”หวังซุ่นถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเย่จิ่งหลานมองดูเขาแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลยหรือ”หวังซุ่นส่ายหัวด้วยความสับสน“ไม่มีนะ นายท่านได้ยินอะไรกันแน่”เย่จิ่งหลานโบกมืออย่างรำคาญ“ไม่มีอะไร”ทันทีที่เขาพูดจบ รองเท้าผ้าพื้นสีดำสลับเทาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา ในเวลาเดียวกันเสียงของเฮ่อยวนก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ“จอมยุทธ์น้อยเย่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”เฮ่อยวนรู้ว่าเขาคือน้องชายแท้ๆ ของลูกเขย จึงต้องต้องดูแลเป็นพิเศษ เมื่อมองไปรอบๆ ฝูงชนก็ไม่เห็นลูกสาวกับลูกเขย จึงถามอีกครั้ง “แล้วชิงเสวียนกับจิ่งอวี้ล่ะ?”เดิมทีเย่จิ่งหลานต้องการจะหยิบบุหรี่ออกมาสูบเพื่อสงบจิตใจ แต่แล้วก็รีบยัดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว“พ
สามวันผ่านไปในพริบตาเดียว ชาวยุทธ์ที่อยู่ด้านนอกทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ก็หมดความอดทนกับการรอคอย เริ่มตะโกนเข้าไปที่ทางเข้าหุบเขาตั้งแต่เช้าตรู่“มีใครรับผิดชอบอยู่ข้างในหรือเปล่า ตกลงกันแล้ว ห้ามกลับคำนะ”“ถูกต้อง คนเราพูดแล้วต้องทำด้วย”“เราทุกคนจ่ายเงินจริง ฉะนั้นรีบเปิดค่ายกล ให้เราเข้าไปได้แล้ว”“เข้าไป เข้าไป!”ทุกคนตะโกนพร้อมกัน คนที่อยู่ข้างในก็ตกใจเมื่อรู้ว่าผ่านไปสามวันแล้วในช่วงสามวันนี้ ทุกคนลืมกินลืมนอน โดยเอาความคิดทั้งหมดมาไว้ที่หินก้อนนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร หินก็ยังคงไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนทุกคนไม่หลับไม่นอน แม้แต่อาหารหรือน้ำก็ไม่ได้แตะต้องเลย ตอนนี้เมื่อรู้ตัว ถึงได้รู้สึกง่วงและเหนื่อยทว่าได้กลิ่นหอมของเนื้อที่มาจากข้างหลัง อวัยวะภายในทั้งห้าก็เริ่มส่งเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อมองย้อนกลับไป ก็เห็นเย่จิ่งหลานกำลังรับประทานอาหารบนตะแกรงบาร์บีคิว ถือไม้เสียบและดื่มสุราอย่างสบายอุรา โดยมีสิ่งที่คาบอยู่ในปาก ท่าทางสบายยิ่งนัก!อาคันตุกะคนหนึ่งทนไม่ไหว จึงเข้ามาพูดว่า “คุณชายน้อยท่านนี้ ช่วยแบ่งเนื้อเสียบไม้ให้ข้าหน่อยได้ไหม”เย่จิ่งหลานยิ้มแล้วพ
เย่จิ่งอวี้กำลังจะถามคำถาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาแต่ไกล สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปดูหน่อย”ทันทีที่พูดจบ ร่างนั้นก็หายไปแล้วหวังซุ่นก็กำลังจะออกไปเช่นกัน แต่ถูกอินชิงเสวียนหยุดไว้“เกิดอะไรขึ้น”หวังซุ่นเกาหัว“บ่าวก็ไม่รู้แน่ชัด ตอนแรกกำลังกินข้าวกับนายท่าอยู่ดีๆ ถือโอกาสฟังเหล่าชาวยุทธ์อาวุโสบางคนคุยโวไปด้วย แต่พอมืดลง ชาวยุทธ์เหล่านั้นก็เหมือนคนบ้าคลั่ง แล้วเริ่มทะเลาะกันเลย”อินชิงเสวียนตกใจ“หรือมีใครยื่นมาเข้ามาแทรก ทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้น?”“ข้าก็ไม่รู้ สรุปก็คือสถานการณ์ยุ่งวุ่นวายกันยกใหญ่”หลังจากที่หวังซุ่นพูดจบ เขาก็พูดเพิ่มประโยคอีกประโยคหนึ่ง“ตั้งแต่ที่เห็นกำแพงหินครั้งที่แล้ว นายท่านก็ถามข้าหลายครั้งว่าข้าได้ยินอะไรไหม ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องอะไรหรือไม่”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ตอนนั้นเย่จิ่งหลานก็ถามอาอวี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ หรือจะเป็นชาดแห่งบาปของเขา?เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหนานเฟิงหลับไปแล้ว อินชิงเสวียนจึงส่งเขาเข้าไปอยู่ในมิติ“ข้าก็จะไปดูด้วย”หลังจากออกจากเต็นท์ ก็เจอเฮ่อยวนกับเหมยชิงเกอที่อยู่ห
อย่างไรก็ตามความบ้าคลั่งประเภทนี้ก็เหมือนกับการติดเชื้อ เดิมทีก็มีคนจิตใจชัดเจนหลายคนพยายามโน้มน้าวทุกคนไม่ให้หุนหันพลันแล่น แต่พริบตาเดียวต่อสู้กันขึ้น แม้แต่อาคันตุกะจากตำหนักเทพหลายคนก็เข้าร่วมด้วย เป็นการต่อสู้โดยไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรูเย่จิ่งอวี้กับอินชิงเสวียนมาถึงกันแล้ว เมื่อเห็นคนเกือบพันคนต่อสู้กันเหมือนกลุ่มอันธพาล พวกเขาก็ต้องตกใจ“นี่ เกิดอะไรขึ้น”หวังซุ่นกำลังมองหาเย่จิ่งหลาน พูดด้วยใบหน้าเศร้า “บ่าวก็ไม่รู้ แต่เพียงครู่เดียวกลับกลายเป็นแบบนี้เสียได้ นายท่าน นายท่านของข้าอยู่ที่นั่น”เขาชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ รีบวิ่งเข้าไปในฝูงชนทันที เพื่อปกป้องเย่จิ่งหลาน“นายท่าน ฮ่องเต้กับฮองเฮามากแล้ว นายท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ พวกเขาบ้าไปแล้วหรือ”ในที่สุดหวังซุ่นก็วิ่งไปถึงตัวเย่จิ่งหลาน ต้นขาถูกฟันด้วยดาบ เลือดสดๆ หยดลงบนกางเกงของเขาเย่จิ่งหลานเหลือบมอง อดไม่ได้ที่จะดุด่า “หุบปาก เจ้างั่งอย่างเจ้าไม่อยู่กับพวกเขาดีๆ มาหาข้าทำไม”หวังซุ่นอดทนต่อความเจ็บปวด หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “นายท่านเป็นเจ้านายของบ่าว บ่าวต้องอยู่ข้างกายท่าน ร่วมเป็นร่วมตายอยู่แล้ว”เย่จิ่งห
“อาอวี้ มีบางอย่างผิดปกติกับคนพวกนี้”อินชิงเสวียนเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง นับตั้งแต่ดื่มน้ำพุวิญญาณ นางก็มีความรู้สึกไวต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว นางอ่อนไหวมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า และก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน“เป็นเช่นนั้นจริง”เย่จิ่งอวี้ก็สังเกตเห็นบางอย่างเช่นกันพลังแห่งฟ้าดินก็ช่วยขยายประสาทสัมผัสของเขาเช่นกัน เขายังสามารถเห็นเส้นพลังงานสีดำที่เล็ดลอดออกมาจากตัวของชาวยุทธ์เหล่านี้“ดูเหมือนพวกเขาจะโดนสิ่งชั่วร้ายเข้าครอบงำ”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกำแพงหินนี้”“บางทีวิถีแห่งสวรรค์อาจเป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุด”ในขณะที่เย่จิ่งอวี้กำลังพูด ก็ซัดจอมยุทธ์อีกสองคนร่วงไปแล้ว ขณะที่ลงมือเขาก็ยังยั้งมือไว้บ้างอย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้เสียสติไปแล้ว ในทันใดนั้นคนอีกหลายคนก็รีบรุดไปข้างหน้าโดยไม่กลัวความตายทั้งสองคนไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่คนเหล่านี้เป็นเหมือนหนอนที่ติดกระดูก ตีไม่หนี ไล่ไม่ไปอินชิงเสวียนขมวดคิ้วและพูดว่า “อาอวี้ ควรทำอย่างไรดี ถ้าไม่ทำร้ายพวกเขา เกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้”ขณะที่กำลังพูด ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องหลายครั้งดัง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมีความกังวล เย่จิ่งหลานจึงไม่บังคับอีก ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด เขาก็ไม่สามารถยัดเยียดความคิดของตัวเองให้กับผู้อื่นได้“งั้นก็ควบคุมพวกโง่นี้ให้ได้ก่อน”เขายืนขึ้นกำลังจะออกไป แต่อินชิงเสวียนห้ามไว้“เย่จิ่งหลาน เจ้าไม่ได้รับผลกระทบใช่ไหม”เย่จิ่งหลานแค่นเสียงชิพูดว่า “ข้าเป็นใครไม่รู้รึ คิดจะควบคุมข้า ไอ้ของเส็งเคร็งนี่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่ออีกพันปีถึงจะทำได้”อินชิงเสวียนไม่รู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทในตัวเขา จึงโล่งใจ“ความใจร้อนวู่วามคือปีศาจ การฆ่าคนก็ถือเป็นหนี้กรรมเช่นกัน พยายามควบคุมพวกเขาก็พอ”“รู้แล้ว”ครั้นแล้วเย่จิ่งหลานก็กระโดดเข้าสู่วงการต่อสู้อีกครั้งในระยะไกล เฮ่อยวนก็ขมวดคิ้วเช่นกันเขาเป็นคนใจดีมีเมตตา เขาไม่ได้ลงมือโหดเหี้ยมเลย แต่จะทำอย่างไรได้เพราะพวกคนเหล่านี้ที่ไล่ตามไม่เลิก ราวบ้าคลั่งไปแล้ว“เฮ่อยวน ไม่ต้องยั้งมือ”เมื่อเห็นลูกศิษย์ของตำหนักเทพล้มลงอย่างต่อเนื่อง เหมยชิงเกอก็โกรธจัดในเวลาเดียวกัน เสียงที่คล้ายกับเสียงของนางเองดังก้องอยู่ในใจ“ดูเอาเถิด นี่เป็นความอยุติธรรมของสวรรค์ เจ้าไม่มีเจตนาจะทำร้ายผู้อื่น แต่พวกเขากลับเจตนาจะ
เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังขึ้นในเมือง เฉิงเฟิ่งโหลวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว ส่วนไป๋เสวี่ยและเจ้าหมาป่าน้อยสีขาวก็เห่าหอนอย่างวิตกเช่นกันกลิ่นคาวเลือดปลุกสัญชาตญาณอันดุร้ายของเจ้าหมาป่าน้อยสีขาว มันส่งเสียงคำรามต่ำๆ หมอบคลานไปบนพื้น ประกายสีเขียวที่รุนแรงวาววับในดวงตาไป๋เสวี่ยใช้อุ้งเท้าตรึงมันไว้กับพื้น เจ้าขาวพยายามอยู่หลายครั้ง แล้วจึงนอนลงบนพื้นเฉิงเฟิ่งโหลวกระวนกระวายใจจะแย่แล้ว เขาถือหนังสือแสร้งทำเป็นสงบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อ่านไม่เข้าใจนายท่านและครอบครัวยังไม่กลับมา ขออย่าให้เจอคนชั่วเลย ชาวยุทธ์มากมายเหล่านั้น แต่ละคนฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา ยิ่งไม่พูดถึงเรื่องไร้เหตุผลนอกจากนี้ยังมีนายน้อยอีก เขาเป็นห่วงยิ่งนัก“ไป๋เสวี่ย เรา...ออกไปดูไหม”เฉิงเฟิ่งโหลวไม่รู้ว่าสุนัขจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ในใจเขากลัวมาก แม่ของเขาบอกว่าสัตว์เดรัจฉานเลี้ยงไม่เชื่องที่สุด แม้แต่สุนัขในบ้าน ก็ยังชักสีหน้าไม่ยอมรับเจ้าของไป๋เสวี่ยจ้องมองที่เฉิงเฟิ่งโหลว แล้วส่ายหัวอันใหญ่โตของมัน ก่อนที่อินชิงเสวียนจะจากไปได้กำชับไว้เป็นพิเศษ บอกให้มันปกป้องเฉิงเฟิ่งโหลวกับเจ้าขาวโดยเฉพาะเฉิงเฟิ่งโหล