ในวันที่สอง จัดพิธีเคลื่อนศพของฮั่วเทียนเฉิงอินชิงเสวียนกับเย่จิ่งอวี้มาถึงตั้งแต่เช้า เพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงรู้สึกเบื่อที่อยู่คนเดียว จึงฝากเขาไว้ในมิติของเย่จิ่งหลานเหมยชิงเกอกับศิษย์น้องอีกสองคนสวมชุดสีขาวล้วน เฮ่อยวนก็เช่นเดียวกัน จากนั้นก็ตามมาด้วยต้วนจื่อฉู่และลูกศิษย์อีกหลายคนในรุ่นของพวกเขาเฟิงเอ้อร์เหนียงกำลังจับโลงศพ ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มเพื่อที่จะปฏิบัติตามกฎของตำหนักเทพ ยากยิ่งนักที่จะไม่แสดงความรักมานานกว่าสิบปี ตอนนี้ในที่สุดกฎเก่าก็ถูกทำลายลง เขากลับไม่อยู่ที่นี่แล้วเมื่อนึกถึงตอนที่อยู่เป่ยไห่ นางทำให้ฮั่วเทียนเฉิงลุ่มหลง จากนั้นก็ส่งเขากลับไปที่ตำหนักเทพ ดวงตาของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็พร่ามัวอีกครั้งฮั่วเทียนเฉิงมีวรยุทธ์สูง จะถูกสะกดด้วยยาสลบหยาบๆ เช่นนั้นได้อย่างไร เขาแค่ปล่อยไปตามน้ำ ทำตามความต้องการของนางเมื่อเห็นไหล่ของนางสั่นเทา อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ความรักครั้งหนึ่ง กลับทำให้ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต มันคุ้มค่าแล้วหรือเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้แล้วนางกับอาอวี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เมื่อมาถึงไหล่เขา เฮ่อยวนก็หยุดชั่วคราว“ทำไมไม่เห็นฉางเฟิงล่ะ หรือว่าเขายังไม่ตื่น?”เหมยชิงเกอหยิบจดหมายออกมา“ไม่ต้องไปหาแล้ว เขากลับไปแล้ว”เช้านี้นางปรุงอาหารด้วยตัวเอง แล้วส่งไปให้เฮ่อฉางเฟิง แต่เมื่อเข้าไปในประตูก็พบจดหมายฉบับนี้เมื่อครู่บรรยากาศเคร่งเครียดเกินไป การเสียชีวิตของฮั่วเทียนเฉิงเป็นความผิดพลาดของนาง เหมยชิงเกอจึงรู้สึกไม่สบายใจ และไม่ได้พูดอะไรเฮ่อยวนเปิดจดหมาย ก็เห็นข้อความที่เขียนมายาวเหยียด“ลูกอกตัญญู มีบางอย่างที่ปล่อยวางไม่ได้ ขออนุญาตท่านพ่อ ให้ลูกเดินทางลงเขาท่องป่าเขาลำเนาไพร ชมเขาสูงทะเลกว้าง พระจันทร์เต็มดวงสายลมสดชื่น......เมื่อลูกคิดได้ชัดเจนแล้ว จะกลับอิ๋นเฉิงมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับท่านพ่ออีกครั้ง หวังว่าท่านพ่อจะไม่ติดมาก และฝากท่านพ่อบอกป้าเหมยด้วย ว่าในใจลูกไม่มีความขุ่นเคือง......ลูกยังขอสาบานกับแสงอาทิตย์ยามเช้าและแสงจันทร์เต็มดวง ชาตินี้จะไม่มีวันแก้แค้น และหวังว่าท่านพ่อจะแต่งงานกับป้าเหมยโดยเร็วที่สุด ทำตามความปรารถนาในอดีต ไม่ต้องห่วง!”เหมยชิงเกอไม่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย เมื่อนางเหลือบดู ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร รู
ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ทุกคนมาถึงปากหุบเขาแล้วชาวยุทธ์หลายคนที่ติดตามพวกเขาได้กลิ่นของทางสู่วิถีแห่งสวรรค์แล้ว ต่างวิ่งไปดูที่ปากหุบเขา“หรือว่าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์อยู่ที่นี่?”“ที่นี่แค่มองก็รู้ว่ามีฮวงจุ้ยดี”“ทำไมเราไม่ปรึกษากันก่อน แล้วเพิ่มเงินอีกหน่อย แทนที่จะรอถึงสามวันหลังจากนั้น”ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะพบกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทุกลมหายใจแห่งการรอคอยนั้นทรมานจิตใจพวกเขามาก“ถูกต้อง ดังคำกล่าวที่ว่า เงินสามารถทำให้ผีมาปั่นหินได้ คนที่อาศัยอยู่ในตำหนักเทพไม่ใช่เทพเจ้าจริงๆ เสียหน่อย”หลังจากที่คนผู้นั้นพูดจบ เขาก็หันกลับมาพูดกับเหมยชิงเกออย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าตำหนักเหมย ข้าเห็นว่าท่านเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา พวกเราอย่าอ้อมค้อมกันอีกเลย เราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ถึงจะไปดูทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้ ท่านบอกราคามาได้เลย”คนข้างๆ พูดคล้อยตามทันที “ถูกต้อง แค่สามวันเท่านั้น จะเร็วขึ้นหนึ่งวันหรือช้ากว่านั้นหนึ่งวันก็ต่างกันไม่มากหรอก”“เจ้าตำหนักเหมยเสนอมาเถอะ ผู้ที่มีกำลังก็เข้าไปได้ แบบนี้ยุติธรรมมาก!”เมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความสับสนผลหม่าน เหมยชิงเกอก็ขมวดคิ
แผ่นหลังของเย่จิ่งหลานแข็งทื่อเล็กน้อยมีมือข้างหนึ่งวางอยู่บนไหล่ของเขา“จิ่งหลาน เจ้าเป็นอะไรไป”เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ข้างเขาเย่จิ่งหลานส่ายหัวอย่างแรง“ไม่มีอะไร”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามอีกครั้ง“พี่ใหญ่ท่านได้ยินอะไรไหม”เย่จิ่งอวี้ส่ายหัว“ไม่มี เจ้าได้ยินอะไรมางั้นหรือ”เย่จิ่งหลานมองดูบรรดาลูกศิษย์และอาคันตุกะอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแปลก คิดว่าไอ้ผีบ้าตนนี้คงตั้งใจมาหาตัวเองโดยเฉพาะกระมังเดาว่าเป็นผลจากการที่ถูกแต้มชาดแห่งบาปอะไรนั่นอีกแล้ว!โคตรแม่งเอ๊ย ดูเหมือนว่าถ้าไม่ไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง คงจัดการเรื่องนี้ไม่ได้แน่เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็หัวเราะแห้งๆ“ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงนกร้อง”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่มีป่ามากมาย จะได้ยินเสียงนกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็เรื่องปกติ”เย่จิ่งหลานเกาหัวและหัวเราะแห้งๆ“ใช่ พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว น้องชายไม่ค่อยพบเจอก็เลยรู้สึกแปลกใจ ข้าอยากขึ้นไปดูหน่อย พี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่”“ไม่ดีกว่า เจ้าไปดูเถอะ อย่าทำให้เสียเรื่องล่ะ ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ รอหกวันจากนี้ค่อยว่ากัน”ไม่กี่คำหลัง เย่จิ่งอวี้กดเสียงใ
เสียงนั้นดังขึ้นซ้ำๆ ราวกับเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหู เสียงดังกล่าวนี้ทำให้เย่จิ่งหลานตื่นตระหนก อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น“หุบปากซะ!”ซึ่งขณะนี้ทุกคนใช้วิธีต่างๆ เพื่อทดสอบทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ต่างก็หันกลับมาเย่จิ่งหลานรู้สึกเขินอาย รีบประกบมือขอโทษขอโพย “ขออภัย ขออภัย”จากนั้นเขาก็ลากหวังซุ่นไปนั่งอีกด้านหนึ่ง“นายท่าน ท่านเป็นอะไรงั้นรึ”หวังซุ่นถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเย่จิ่งหลานมองดูเขาแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลยหรือ”หวังซุ่นส่ายหัวด้วยความสับสน“ไม่มีนะ นายท่านได้ยินอะไรกันแน่”เย่จิ่งหลานโบกมืออย่างรำคาญ“ไม่มีอะไร”ทันทีที่เขาพูดจบ รองเท้าผ้าพื้นสีดำสลับเทาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา ในเวลาเดียวกันเสียงของเฮ่อยวนก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะ“จอมยุทธ์น้อยเย่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”เฮ่อยวนรู้ว่าเขาคือน้องชายแท้ๆ ของลูกเขย จึงต้องต้องดูแลเป็นพิเศษ เมื่อมองไปรอบๆ ฝูงชนก็ไม่เห็นลูกสาวกับลูกเขย จึงถามอีกครั้ง “แล้วชิงเสวียนกับจิ่งอวี้ล่ะ?”เดิมทีเย่จิ่งหลานต้องการจะหยิบบุหรี่ออกมาสูบเพื่อสงบจิตใจ แต่แล้วก็รีบยัดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว“พ
สามวันผ่านไปในพริบตาเดียว ชาวยุทธ์ที่อยู่ด้านนอกทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ก็หมดความอดทนกับการรอคอย เริ่มตะโกนเข้าไปที่ทางเข้าหุบเขาตั้งแต่เช้าตรู่“มีใครรับผิดชอบอยู่ข้างในหรือเปล่า ตกลงกันแล้ว ห้ามกลับคำนะ”“ถูกต้อง คนเราพูดแล้วต้องทำด้วย”“เราทุกคนจ่ายเงินจริง ฉะนั้นรีบเปิดค่ายกล ให้เราเข้าไปได้แล้ว”“เข้าไป เข้าไป!”ทุกคนตะโกนพร้อมกัน คนที่อยู่ข้างในก็ตกใจเมื่อรู้ว่าผ่านไปสามวันแล้วในช่วงสามวันนี้ ทุกคนลืมกินลืมนอน โดยเอาความคิดทั้งหมดมาไว้ที่หินก้อนนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร หินก็ยังคงไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนทุกคนไม่หลับไม่นอน แม้แต่อาหารหรือน้ำก็ไม่ได้แตะต้องเลย ตอนนี้เมื่อรู้ตัว ถึงได้รู้สึกง่วงและเหนื่อยทว่าได้กลิ่นหอมของเนื้อที่มาจากข้างหลัง อวัยวะภายในทั้งห้าก็เริ่มส่งเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อมองย้อนกลับไป ก็เห็นเย่จิ่งหลานกำลังรับประทานอาหารบนตะแกรงบาร์บีคิว ถือไม้เสียบและดื่มสุราอย่างสบายอุรา โดยมีสิ่งที่คาบอยู่ในปาก ท่าทางสบายยิ่งนัก!อาคันตุกะคนหนึ่งทนไม่ไหว จึงเข้ามาพูดว่า “คุณชายน้อยท่านนี้ ช่วยแบ่งเนื้อเสียบไม้ให้ข้าหน่อยได้ไหม”เย่จิ่งหลานยิ้มแล้วพ
เย่จิ่งอวี้กำลังจะถามคำถาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาแต่ไกล สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์ไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปดูหน่อย”ทันทีที่พูดจบ ร่างนั้นก็หายไปแล้วหวังซุ่นก็กำลังจะออกไปเช่นกัน แต่ถูกอินชิงเสวียนหยุดไว้“เกิดอะไรขึ้น”หวังซุ่นเกาหัว“บ่าวก็ไม่รู้แน่ชัด ตอนแรกกำลังกินข้าวกับนายท่าอยู่ดีๆ ถือโอกาสฟังเหล่าชาวยุทธ์อาวุโสบางคนคุยโวไปด้วย แต่พอมืดลง ชาวยุทธ์เหล่านั้นก็เหมือนคนบ้าคลั่ง แล้วเริ่มทะเลาะกันเลย”อินชิงเสวียนตกใจ“หรือมีใครยื่นมาเข้ามาแทรก ทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้น?”“ข้าก็ไม่รู้ สรุปก็คือสถานการณ์ยุ่งวุ่นวายกันยกใหญ่”หลังจากที่หวังซุ่นพูดจบ เขาก็พูดเพิ่มประโยคอีกประโยคหนึ่ง“ตั้งแต่ที่เห็นกำแพงหินครั้งที่แล้ว นายท่านก็ถามข้าหลายครั้งว่าข้าได้ยินอะไรไหม ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องอะไรหรือไม่”อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ตอนนั้นเย่จิ่งหลานก็ถามอาอวี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ หรือจะเป็นชาดแห่งบาปของเขา?เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหนานเฟิงหลับไปแล้ว อินชิงเสวียนจึงส่งเขาเข้าไปอยู่ในมิติ“ข้าก็จะไปดูด้วย”หลังจากออกจากเต็นท์ ก็เจอเฮ่อยวนกับเหมยชิงเกอที่อยู่ห
อย่างไรก็ตามความบ้าคลั่งประเภทนี้ก็เหมือนกับการติดเชื้อ เดิมทีก็มีคนจิตใจชัดเจนหลายคนพยายามโน้มน้าวทุกคนไม่ให้หุนหันพลันแล่น แต่พริบตาเดียวต่อสู้กันขึ้น แม้แต่อาคันตุกะจากตำหนักเทพหลายคนก็เข้าร่วมด้วย เป็นการต่อสู้โดยไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรูเย่จิ่งอวี้กับอินชิงเสวียนมาถึงกันแล้ว เมื่อเห็นคนเกือบพันคนต่อสู้กันเหมือนกลุ่มอันธพาล พวกเขาก็ต้องตกใจ“นี่ เกิดอะไรขึ้น”หวังซุ่นกำลังมองหาเย่จิ่งหลาน พูดด้วยใบหน้าเศร้า “บ่าวก็ไม่รู้ แต่เพียงครู่เดียวกลับกลายเป็นแบบนี้เสียได้ นายท่าน นายท่านของข้าอยู่ที่นั่น”เขาชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ รีบวิ่งเข้าไปในฝูงชนทันที เพื่อปกป้องเย่จิ่งหลาน“นายท่าน ฮ่องเต้กับฮองเฮามากแล้ว นายท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ พวกเขาบ้าไปแล้วหรือ”ในที่สุดหวังซุ่นก็วิ่งไปถึงตัวเย่จิ่งหลาน ต้นขาถูกฟันด้วยดาบ เลือดสดๆ หยดลงบนกางเกงของเขาเย่จิ่งหลานเหลือบมอง อดไม่ได้ที่จะดุด่า “หุบปาก เจ้างั่งอย่างเจ้าไม่อยู่กับพวกเขาดีๆ มาหาข้าทำไม”หวังซุ่นอดทนต่อความเจ็บปวด หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “นายท่านเป็นเจ้านายของบ่าว บ่าวต้องอยู่ข้างกายท่าน ร่วมเป็นร่วมตายอยู่แล้ว”เย่จิ่งห