อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว คิดในใจว่า ไอ้บ้าตัณหาที่ไหนกัน ในที่สาธารณะแบบนี้ ยังกล้ามาพูดจากะลิ้มกะเหลี่ยในใจคิดอยากจะสั่งสอนเขาสักสองสามคำ แต่ร้อนใจอยากตามหาฉุยอวี้และเฟิงเอ้อร์เหนียงเร็วๆ เพราะไม่อยากสร้างปัญหาแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็นจริงๆจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เตรียมจะหลีกเลี่ยงคนผู้นี้ไป๋เสวี่ยเดินตามอยู่ข้างหลังอินชิงเสวียน ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องมองไปที่ชายตรงหน้าตลอดเวลา จมูกฟุดฟิดตลอดเวลา ดมกลิ่นบนเสื้อคลุมของเขาขึ้นๆ ลงๆดวงตาแจ่มใสของเจ้าสุนัขค่อยๆ ฉายแววประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ และเห่าขึ้นอย่างอดไม่ได้เจ้าสุนัขมีรูปร่างใหญ่โตท่าทางดุดัน เมื่อเดินบนถนนก็ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ อินชิงเสวียนไม่อยากให้มันทำให้คนอื่นตกใจกลัว จึงดุมันทันที“อย่าทำให้คนเขากลัว ไปกันเถอะ”คนผู้นั้นก้าวไปข้างหน้า ขวางหน้าอินชิงเสวียนไว้เขาพูดด้วยรอยยิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม “ผู้คนมักบอกว่าการพบกันคือโชคชะตา ข้าได้พบกับแม่นางท่ามกลางผู้คนมากล้น ย่อมมีวาสนาต่อกันไม่เบา ไยไม่หยุดมาดื่มชาพูดคุยเรื่องราวชีวิตของเรากันเล่า”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดมนลง“ข้าเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว ขืนคุณชายยังกล่าววาจาเช่นนี้ อย
ขณะที่ลงมือ อินชิงเสวียนยังใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภกับคนผู้นั้นในหัวพลันปรากฏหลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อเห็นท่าวรยุทธ์เหล่านั้น อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจวรยุทธ์ของคนตงหลิว หรือว่าเขาเป็นคนตงหลิว?คิดไม่ถึงว่าในเทือกเขาเชื่อมเมฆา จะยังหลงเหลือชาวตงหลิว ในเมื่อถูกนางพบเข้าแล้ว งั้นก็ถือว่าเป็นโชคร้ายของเขาแล้ว“สามารถพูดภาษาต้าโจวได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ เจ้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากสินะ น่าเสียดายที่มาเจอกับข้า วันนี้ในปีหน้า จะเป็นวันเซ่นไหว้เจ้า”ดวงตาของอินชิงเสวียนคมกริบราวกับมีด การขับเคลื่อนของชี่รอบตัวเปลี่ยนไป เจตนาฆ่าอันรุนแรงพุ่งออกมาจากร่างผอมเพรียวนั้น ชุดกระโปรงสั่นพลิ้วเองโดยไม่ได้เกิดจากลม ส่งเป็นเสียงพึ่บพั่บรุนแรง คนผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไป“อย่า เราอย่าจริงจังกันนักเลย”“เลิกพล่ามซะ”อินชิงเสวียนตวาด มือทั้งสองข้างซัดใส่โจมตีไปยังคนผู้นั้น“โธ่เอ๊ย เป็นข้าเอง!”คนผู้นั้นเหาะถอยหลังอย่างรวดเร็ว พลางโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร”การเคลื่อนไหวของอินชิงเสวียนรวดเร็วราวกับสายฟ้า นางก็มาถึงหน้าคนผู้นั้นแล้วคนผู้นั้นทำท่าฝ่ามือแบบ
อินชิงเสวียนปฏิเสธทันควัน“เสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในมิติ ข้าก็สามารถออกจากตำหนักเทพได้ตลอดเวลา น้ำโคลนนี้เจ้าอย่าเข้ามาแปดเปื้อนดีกว่า หากไม่มีธุระอะไรแล้ว เจ้ารีบกลับเมืองหลวงไปดีกว่า”เย่จิ่งหลานสั่นศีรษะราวกับสั่นกลองป๋องแป๋ง“ทำแบบนั้นได้อย่างไร อุตส่าห์ได้ออกมาทั้งที มีแต่คนโง่เท่านั้นถึงจะกลับไป”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและพูดว่า “ตำหนักเทพหอทองคำนั้นไม่เรียบง่ายอย่างที่คิด อย่าไปเลย”“ทำแบบนั้นไม่ได้ ข้าจะให้เจ้าต่อสู้คนเดียวได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นอันตกลงตามนี้แหละ ที่จริงถึงแม้ไม่มีเจ้า ข้าก็ยังต้องไปที่ตำหนักเทพหอทองคำดูหน่อย ถึงอย่างไรก็ต้องให้ฮั่วเทียนเฉิงมีคำตอบไปรายงาน”เย่จิ่งหลานถือถ้วยชาในมือ สีหน้าท่าทางไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อยอินชิงเสวียนพูดอย่างจนปัญญา “ในเมื่อเจ้าได้ดูดซับกำลังภายในทั้งหมดของโมริตะคาวาสึบาเมะแล้ว แม้แต่ฮั่วเทียนเฉิงก็ไม่สามารถหยุดเจ้าไว้ได้ แล้วทำไมต้องทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย”“ข้ายังมีเรื่องส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องทำให้กระจ่าง สรุปแล้วก็คือ ข้าจำเป็นต้องไปตำหนักเทพ”เย่จิ่งหลานเหยียดนิ้วออกวาด น้ำเสียงหนักแน่นยิ่งนักได้รู้จักเขามาเป็นนานขนาด
อินชิงเสวียนออกจากโรงน้ำชาอย่างอารมณ์ดีตงหลิวถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ราษฎรชาวเป่ยไห่ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาจากการถูกศัตรูรุกรานอีกต่อไปเย่จิ่งหลานก็กลับมาแล้ว กลายเป็นแบบที่ตัวเขาต้องการ ในที่สุดก็สามารถเริ่มต้นชีวิตที่แสนวิเศษของเขาได้อาศัยแค่รูปลักษณ์ที่หล่อเหลานี้เพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้แม่นางน้อยใหญ่วัยออกเรือนและยังไม่ออกเรือนหลงเสน่ห์ได้เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อ ถ้าไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดเผยตัวตนก่อน ให้ตายอินชิงเสวียนก็คงไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มรูปงามในตอนนี้ คือเด็กน้อยที่เล่นขลุ่ยดินเผาในวังหลวงวันนั้นอย่างไรก็ตาม อินชิงเสวียนชอบเย่จิ่งหลานรูปลักษณ์ที่เป็นเด็กมากกว่า นึกอยากจะบีบแก้มก็ทำได้ ตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนั้นนางหัวเราะเบาๆ เจ้าสุนัขก็หยุดที่ประตูโรงเตี๊ยมชื่อฝูไหล กระดิกหางปุกปุยใหญ่โตไปมา และเห่าบอกอินชิงเสวียน“อยู่ที่นี่งั้นหรือ”อินชิงเสวียนหยุดเดิน ลูบหัวมันเบาๆไป๋เสวี่ยเห่าอีกครั้ง ราวกับเป็นการยืนยัน“รอข้าข้างนอกนะ”อินชิงเสวียนกำชับ แล้วเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมทันทีที่เข้าไปในประตูก็เห็นฉุย
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่มีความสุขของเหมยชิงเกอ เฟิงเอ้อร์เหนียงก็ถอนหายใจเบาๆ “แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป”อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ไปสืบดูสถานที่ที่ผู้อาวุโสทั้งสองกล่าวถึงก่อนก็ได้ ดูว่าสามารถหาเบาะแสที่อยู่ของผู้อาวุโสได้หรือไม่ ถ้าไม่พบสิ่งใด เราก็ทำได้เพียงแค่กลับไปที่ตำหนักเทพเท่านั้น”ฉุยเฟิงพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นลุกขึ้นจ่ายเงิน และไปหาญาติของผู้อาวุโสสามสิบนาทีต่อมา ทั้งสามคนก็มาถึงหน้าเรือนเล็กๆ เมื่อมองดูเรือนที่ทรุดโทรม หญ้าเหี่ยวเฉาที่สูงพอๆ กับบ้าน ก็รู้สึกสะท้านใจขึ้นพร้อมกันฉุยอวี้กระโดดเข้าไปในลานบ้านอย่างไม่ยอมแพ้ ยังไม่ถึงสามอึดใจ ก็ต้องออกมา“ไม่มีใคร”อินชิงเสวียนก็สามารถเดาผลลัพธ์นี้ได้ ผู้อาวุโสหันนั้นโหดเหี้ยมเหลี่ยมจัด หากเขาลงมือ จะไม่ทิ้งภัยพิบัตินี้ไว้เบื้องหลังแน่“ดูท่าพวกเรามีแต่ต้องไปตรวจสอบเบาะแสบนเขาเท่านั้น”เฟิงเอ้อร์เหนียงพยักหน้า“ถ้าอย่างนั้น ก็กลับกันเถอะ”ทั้งสามกลับไปที่ตำหนักเทพหอทองคำอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอช้าอีกต่อไปฉุยอวี้เปิดค่ายกลแนวป้องกันเขา เมื่อไปถึงครึ่งทาง ลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามารับหน้า“แม่นางอิน ผู้อาวุโสหันเชิญเจ้า”อินชิ
สีหน้าของผู้อาวุโสหันสงบลงในทันที“ให้เขาเข้ามา”หลังจากนั้นไม่นาน ฮั่วเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาจากประตูพร้อมกับศิษย์น้องสองคนของเขา มีคุณชายรูปหล่อเดินตามหลังมาด้วย ซึ่งก็คือเย่จิ่งหลานที่โตแล้วดวงตาของอินชิงเสวียนสบกับเย่จิ่งหลานในอากาศ แต่เพียงครู่เดียวก็แยกจากกันอีกครั้งฮั่วเทียนเฉิงก็เหลือบมองอินชิงเสวียนเช่นกัน แล้วพูดด้วยความเคารพ “ศิษย์น้อมคำนับท่านอาจารย์ นี่คือคุณชายน้อยเย่ที่เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งกลไก”ผู้อาวุโสหันหันกลับมา ดวงตาเป็นประกายสว่างวาบคิ้วดาบดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดาว จมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากบาง ช่างเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่ง“วีรบุรุษถือกำเนิดตั้งแต่เยาว์วัยจริงๆ คุณชายน้อยหล่อเหลา ท่วงท่าลักษณะพิเศษ ถือเป็นโชคของข้าจริงๆ ที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนักเทพ”เย่จิ่งหลานประกบมือขึ้นคำนับ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหันยกย่องเกินไปแล้ว”ผู้อาวุโสหันหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “คนที่เทียนเฉิงแนะนำจะผิดได้อย่างไร ในเมื่อคุณชายน้อยเชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งกลไก เชื่อว่าอีกไม่นาน ก็จะมีที่ให้ได้แสดงความสามารถ”เขาเปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าคุณชายน้อยเย่ก็รู้จักแม
“ทุกสิ่งล้วนต้องเผื่อไว้ มิติอาจไม่สามารถช่วยชีวิตเราได้ตลอด”สีหน้าของอินชิงเสวียนดูเคร่งขรึม นางเคยเห็นวรยุทธ์ของผู้อาวุโสหัน แม้ว่านางจะดูดซับพลังภายในของคนมากมาย แต่ก็ยังไม่กล้าไม่ใจเกินไปเย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “เจ้ามองคนแซ่หันนั่นเป็นเทพเกินไปแล้วกระมัง ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อ เขาไม่ได้มีสองหัวมากกว่าคนอื่นเสียหน่อย”“ควรระวังไว้จะดีกว่า”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ จู่ๆ ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้“หวังซุ่นอล่ะ”“อยู่ตีนเขา เจ้าถามหาเขาทำไม่”เย่จิ่งหลานสงสัยอินชิงเสวียนยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “เช่นนี้แล้ว งั้นก็เจอเจ้าตำหนักอย่างแน่นอน”เมื่อมองดูดวงตาที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเหมือนแมวคู่นั้น เย่จิ่งหลานก็เข้าใจทันที“เจ้าคิดจะ...”อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง เพียงแต่มีรายละเอียดบางอย่าง ข้ายังต้องไปถามฉุยอวี้”เย่จิ่งหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สมแล้วที่เป็นเจ้า เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่”“งั้นก็เอาตามนี้”ทันทีที่อินชิงเสวียนพูดจบ ฮั่วเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาจากประตู“แม่นางอิน คุณชายน้อยเย่ อาหารพร้อมแล้ว เชิญทั้งสองท่านย้ายไปที่ห้องอาหาร”
ทันทีที่ฉางเฮิ่นเทียนจากไป อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานก็มาถึงผู้อาวุโสหันออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“บนเขาแร้นแค้น อาหารก็ค่อนข้างจืดชืด ไม่รู้ว่าจะถูกปากทั้งสองคนหรือไม่”เย่จิ่งหลานประกบมือขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหันคิดหนักแล้ว พวกเราไม่เลือกกินอาหาร แค่ของง่ายๆ ก็พอแล้ว”เมื่อมาถึงโต๊ะหิน เย่จิ่งหลานก็ตระหนักว่าคำพูดใจกว้างของตัวเองพูดเร็วไปสักหน่อยในจานเป็นผักใบเขียวทั้งหมด พอเอาเข้าปากก็รู้สึกเหมือนเคี้ยวหญ้า สุดที่จะกลืนกินได้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังอินชิงเสวียน เมื่อเห็นนางกินแค่พอเป็นพิธีไม่กี่คำเหมือนกัน ค่อยรู้สึกยุติธรรมขึ้นหน่อยผู้อาวุโสหันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินจากเทียนเฉิงว่า คุณชายน้อยเย่ถนัดในการสร้างกลไกเครื่องจักร ในเมืองหลวงมีผู้มีความสามารถมากมายจริงๆ”เย่จิ่งหลานกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “คุยกันง่ายเลย ไม่ทราบว่าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์เป็นสถานที่เช่นไร หรือว่ามีกลไกซ่อนอยู่ในประตู?”ผู้อาวุโสหันพูดอย่างไม่อาจเข้าใจได้ “อาจจะใช่ บางทีอาจไม่ใช่ รออีกไม่กี่วัน คุณชายน้อยก็จะได้เห็นแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น จะรู้ทุกอย่างเอง”เย่จิ่งหลานเกลียดคำพูดที่คลุ