เมื่อนึกถึงใบหน้าที่มีความสุขของเหมยชิงเกอ เฟิงเอ้อร์เหนียงก็ถอนหายใจเบาๆ “แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป”อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ไปสืบดูสถานที่ที่ผู้อาวุโสทั้งสองกล่าวถึงก่อนก็ได้ ดูว่าสามารถหาเบาะแสที่อยู่ของผู้อาวุโสได้หรือไม่ ถ้าไม่พบสิ่งใด เราก็ทำได้เพียงแค่กลับไปที่ตำหนักเทพเท่านั้น”ฉุยเฟิงพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นลุกขึ้นจ่ายเงิน และไปหาญาติของผู้อาวุโสสามสิบนาทีต่อมา ทั้งสามคนก็มาถึงหน้าเรือนเล็กๆ เมื่อมองดูเรือนที่ทรุดโทรม หญ้าเหี่ยวเฉาที่สูงพอๆ กับบ้าน ก็รู้สึกสะท้านใจขึ้นพร้อมกันฉุยอวี้กระโดดเข้าไปในลานบ้านอย่างไม่ยอมแพ้ ยังไม่ถึงสามอึดใจ ก็ต้องออกมา“ไม่มีใคร”อินชิงเสวียนก็สามารถเดาผลลัพธ์นี้ได้ ผู้อาวุโสหันนั้นโหดเหี้ยมเหลี่ยมจัด หากเขาลงมือ จะไม่ทิ้งภัยพิบัตินี้ไว้เบื้องหลังแน่“ดูท่าพวกเรามีแต่ต้องไปตรวจสอบเบาะแสบนเขาเท่านั้น”เฟิงเอ้อร์เหนียงพยักหน้า“ถ้าอย่างนั้น ก็กลับกันเถอะ”ทั้งสามกลับไปที่ตำหนักเทพหอทองคำอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอช้าอีกต่อไปฉุยอวี้เปิดค่ายกลแนวป้องกันเขา เมื่อไปถึงครึ่งทาง ลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามารับหน้า“แม่นางอิน ผู้อาวุโสหันเชิญเจ้า”อินชิ
สีหน้าของผู้อาวุโสหันสงบลงในทันที“ให้เขาเข้ามา”หลังจากนั้นไม่นาน ฮั่วเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาจากประตูพร้อมกับศิษย์น้องสองคนของเขา มีคุณชายรูปหล่อเดินตามหลังมาด้วย ซึ่งก็คือเย่จิ่งหลานที่โตแล้วดวงตาของอินชิงเสวียนสบกับเย่จิ่งหลานในอากาศ แต่เพียงครู่เดียวก็แยกจากกันอีกครั้งฮั่วเทียนเฉิงก็เหลือบมองอินชิงเสวียนเช่นกัน แล้วพูดด้วยความเคารพ “ศิษย์น้อมคำนับท่านอาจารย์ นี่คือคุณชายน้อยเย่ที่เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งกลไก”ผู้อาวุโสหันหันกลับมา ดวงตาเป็นประกายสว่างวาบคิ้วดาบดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดาว จมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากบาง ช่างเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่ง“วีรบุรุษถือกำเนิดตั้งแต่เยาว์วัยจริงๆ คุณชายน้อยหล่อเหลา ท่วงท่าลักษณะพิเศษ ถือเป็นโชคของข้าจริงๆ ที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนักเทพ”เย่จิ่งหลานประกบมือขึ้นคำนับ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหันยกย่องเกินไปแล้ว”ผู้อาวุโสหันหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “คนที่เทียนเฉิงแนะนำจะผิดได้อย่างไร ในเมื่อคุณชายน้อยเชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งกลไก เชื่อว่าอีกไม่นาน ก็จะมีที่ให้ได้แสดงความสามารถ”เขาเปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าคุณชายน้อยเย่ก็รู้จักแม
“ทุกสิ่งล้วนต้องเผื่อไว้ มิติอาจไม่สามารถช่วยชีวิตเราได้ตลอด”สีหน้าของอินชิงเสวียนดูเคร่งขรึม นางเคยเห็นวรยุทธ์ของผู้อาวุโสหัน แม้ว่านางจะดูดซับพลังภายในของคนมากมาย แต่ก็ยังไม่กล้าไม่ใจเกินไปเย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “เจ้ามองคนแซ่หันนั่นเป็นเทพเกินไปแล้วกระมัง ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อ เขาไม่ได้มีสองหัวมากกว่าคนอื่นเสียหน่อย”“ควรระวังไว้จะดีกว่า”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ จู่ๆ ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้“หวังซุ่นอล่ะ”“อยู่ตีนเขา เจ้าถามหาเขาทำไม่”เย่จิ่งหลานสงสัยอินชิงเสวียนยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “เช่นนี้แล้ว งั้นก็เจอเจ้าตำหนักอย่างแน่นอน”เมื่อมองดูดวงตาที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเหมือนแมวคู่นั้น เย่จิ่งหลานก็เข้าใจทันที“เจ้าคิดจะ...”อินชิงเสวียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง เพียงแต่มีรายละเอียดบางอย่าง ข้ายังต้องไปถามฉุยอวี้”เย่จิ่งหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สมแล้วที่เป็นเจ้า เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่”“งั้นก็เอาตามนี้”ทันทีที่อินชิงเสวียนพูดจบ ฮั่วเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาจากประตู“แม่นางอิน คุณชายน้อยเย่ อาหารพร้อมแล้ว เชิญทั้งสองท่านย้ายไปที่ห้องอาหาร”
ทันทีที่ฉางเฮิ่นเทียนจากไป อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานก็มาถึงผู้อาวุโสหันออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“บนเขาแร้นแค้น อาหารก็ค่อนข้างจืดชืด ไม่รู้ว่าจะถูกปากทั้งสองคนหรือไม่”เย่จิ่งหลานประกบมือขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหันคิดหนักแล้ว พวกเราไม่เลือกกินอาหาร แค่ของง่ายๆ ก็พอแล้ว”เมื่อมาถึงโต๊ะหิน เย่จิ่งหลานก็ตระหนักว่าคำพูดใจกว้างของตัวเองพูดเร็วไปสักหน่อยในจานเป็นผักใบเขียวทั้งหมด พอเอาเข้าปากก็รู้สึกเหมือนเคี้ยวหญ้า สุดที่จะกลืนกินได้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังอินชิงเสวียน เมื่อเห็นนางกินแค่พอเป็นพิธีไม่กี่คำเหมือนกัน ค่อยรู้สึกยุติธรรมขึ้นหน่อยผู้อาวุโสหันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินจากเทียนเฉิงว่า คุณชายน้อยเย่ถนัดในการสร้างกลไกเครื่องจักร ในเมืองหลวงมีผู้มีความสามารถมากมายจริงๆ”เย่จิ่งหลานกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “คุยกันง่ายเลย ไม่ทราบว่าทางสู่วิถีแห่งสวรรค์เป็นสถานที่เช่นไร หรือว่ามีกลไกซ่อนอยู่ในประตู?”ผู้อาวุโสหันพูดอย่างไม่อาจเข้าใจได้ “อาจจะใช่ บางทีอาจไม่ใช่ รออีกไม่กี่วัน คุณชายน้อยก็จะได้เห็นแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น จะรู้ทุกอย่างเอง”เย่จิ่งหลานเกลียดคำพูดที่คลุ
อินชิงเสวียนรู้สึกหงุดหงิด ยกเท้าเตะก้อนหินใส่ยอดหน้าของเย่จิ่งหลาน“หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ”เย่จิ่งหลานหัวเราะ เบี่ยงตัวหลบทันที“ข้าในวันนี้ไม่ใช่คุณชายน้อยที่ถูกเจ้าหิ้วไปไหนมาไหนคนนั้นแล้ว”อินชิงเสวียนเตะหินอีกก้อนหนึ่ง เย่จิ่งหลานยกสองนิ้วขึ้นมาจับไว้ได้ ปรายหางตามองอินชิงเสวียนด้วยท่าทางขิงๆ“เป็นอย่างไร”อินชิงเสวียนพูดอย่างล้อเลียน “มีความสามารถมากทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าเป็นหัวตะกั่วเลียนแบบเงิน ที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมหรือเปล่า”เย่จิ่งหลานอยากจะบอกว่า เจ้าก็ลองสิจะได้รู้ แต่คำพูดล้อเล่นแบบนี้ เขาไม่กล้าพูดมั่วซั่ว หากทำให้ยัยนี่ขุ่นเคือง แม้แต่เพื่อนก็อาจจะไม่ได้เป็นอีกต่อไปตอนนี้กำลังพอดี ไม่ใกล้ไม่ไกล ทั้งเป็นความสนิทที่ไม่ใกล้ชิดเกินไป ทั้งยังไม่ห่างเหินเกินไปด้วยแม้ว่าเย่จิ่งหลานจะยั้งใจไม่ให้มีความคิดอื่นไม่ได้ แต่ก็เข้าใจ เมื่อใดที่ล้ำเส้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอินชิงเสวียนก็จะจบลงอินชิงเสวียนไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย นางมีความสง่างามเหมือนดอกดารารัตน์ ทั้งยังสูงส่งดังลูกพลัมยามเหมันต์ นางไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง และไม่สนใจสถานะหรือตำแหน่ง หากชาตินี้เย่จิ่งอวี้จำนางไ
ฉุยอวี้ถามโดยเร็ว “หรือว่าเจ้ามีข่าวที่แน่ชัดแล้ว?”“เปล่า แต่ข้าค่อนข้างแน่ใจ ขอให้ผู้อาวุโสทั้งสองอธิบายลักษณะนิสัยและโทนเสียงของเจ้าตำหนักโดยละเอียดด้วย”เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของอินชิงเสวียน ฉุยอวี้ก็เริ่มสนใจ รีบเล่าถึงกิริยาวาจาทั้งหมดของเจ้าตำหนักทันที จากนั้นจึงหยิบพู่กันออกมาวาดภาพเหมือนเมื่อเปรียบเทียบกับภาพวาดลวกๆ ที่แสดงบนทีวี ศาสตร์การวาดภาพของฉุยอวี้นั้นเสมือนจริงมากกว่าแม้แต่เฟิงเอ้อร์เหนียงที่เมื่อเห็นมันก็อดไม่ได้ที่จะชมนาง“ผ่านมาหลายปี ทักษะการวาดภาพของศิษย์พี่ฉุยยังใช้ได้ดีทีเดียว”ฉุยอวี้ยิ้มเอียงอาย“เวลาว่าง ก็มักจะวาดภาพเขียนอักษรบรรเทาความเศร้าใจ ยังไม่ถึงขึ้นดีขนาดนั้น แค่พอเข้าตาก็ดีแล้ว”เฟิงเอ้อร์เหนียงหยิบภาพวาดขึ้นมาแล้วพูดว่า “ภาพวาดนี้เหมือนจริงมาก คล้ายมากจริงๆ”“เช่นนั้นก็ดี ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง ท่านสองคนพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปดูลูกหน่อย”อินชิงเสวียนเก็บภาพเหมือนนั้นไว้ แล้วเข้าไปในมิติเหมยชิงเกอกำลังเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงบนพื้นหญ้า ไม่ได้เจอกันหลายวัน ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะโตขึ้นมาก ดวงตาคิ้วคางปากเริ่มเห็นโครงชัดขึ้น ประพิมพ์
“ไม่ต้องสงสัยแล้ว รีบเข้าไปเถอะ ฝ่าบาทยังรออยู่!”หลี่เต๋อฝูเร่งเร้าแม้ว่าอารมณ์ของฝ่าบาทจะสงบ ทว่ายังมีอานุภาพน่าสะพรึงกลัว หลี่เต๋อฝูไม่อยากทนรับอีกแล้ว ดีไม่ดีอีกประเดี๋ยวคงได้อึดอัดอีก เขายังอยากมีชีวิตอยู่อีกหลายปี รอรับใช้องค์ชายน้อยอยู่นะอินจิงพยักหน้า พูดกับอินปู้อวี่ “ไปกันเถอะ”หากเป็นวาสนาก็ไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราวเคราะห์ก็หลบไม่พ้นในเมื่อถูกหาเจอแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดอีกสองพ่อลูกหิ้วชายเสื้อคลุมเดินเข้าไปในห้องหนังสือของฝ่าบาท โค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมอินจ้ง อินปู้อวี่ ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”เย่จิ่งอวี้ค่อยๆ หันกลับมา“ท่านขุนนางทั้งสองลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”สองพ่อลูกคำนับพร้อมกัน และยืนเคียงข้างกันด้วยความเคารพเย่จิ่งอวี้สะบัดเสื้อคลุมออกนั่งบนเก้าอี้มังกร เรียวตาหงส์คู่นั้นมองจับไปยังคนทั้งสอง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “ให้ท่านขุนนางทั้งสองออกไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน เป็นความประมาทเลินเล่อของข้าแล้ว บัดนี้ข้าในที่สุดก็จำเรื่องราวเหล่านั้นได้แล้ว หวังว่าจะไม่สายเกินไป”พวกเขาทั้งสองรู้สึกยินดีทันที รี
“ออกไปเถอะ จวนของพวกท่านยังว่างอยู่ หากขาดเหลืออะไร สามารถบอกหลี่เต๋อฝูได้ ตราบใดที่ข้ามี จะประทานให้แน่นอน”เย่จิ่งอวี้ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงทุ้มลึกนั้น ทำให้ไม่อาจสงสัยสิ่งใดได้อีกอินจ้งโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมไม่กล้าขออะไรมาก ได้กลับเมืองหลวงก็ซาบซึ่งมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อมองดูเส้นผมสีดอกเลาของอินจ้ง เย่จิ่งอวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ “เหตุการณ์เจียงวูในอดีต ข้ารู้สึกผิดต่อตระกูลอินมาก ข้าทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยให้ท่าน หากท่านต้องการอะไร อย่าได้เกรงใจ”อินจ้งกล่าวด้วยความเคารพ “ได้กลับเมืองหลวง อินจ้งก็รู้สึกซาบซึ้งมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเบาๆ “เช่นนั้นก็ออกไปเถิด”“กระหม่อม ทูลลา”สองพ่อลูกโค้งคำนับ ถอยกลับออกจากห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่หน้าหน้าต่างสักพักหนึ่ง แล้วไปที่ตำหนักชิงฮว๋าซึ่งเป็นที่พำนักของเย่ไห่ถังเย่ไห่ถังกำลังเล่นกับขวดน้ำหอมขนาดเท่าฝ่ามือด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายนางไม่รู้ว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร นางยังไม่กล้าคุยกับเสด็จพี่ น่าเบื่อจริงๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เย่ไห่ถังก็เงยหน้าขึ้นอย่างเกียจ