“ออกไปเถอะ จวนของพวกท่านยังว่างอยู่ หากขาดเหลืออะไร สามารถบอกหลี่เต๋อฝูได้ ตราบใดที่ข้ามี จะประทานให้แน่นอน”เย่จิ่งอวี้ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงทุ้มลึกนั้น ทำให้ไม่อาจสงสัยสิ่งใดได้อีกอินจ้งโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมไม่กล้าขออะไรมาก ได้กลับเมืองหลวงก็ซาบซึ่งมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อมองดูเส้นผมสีดอกเลาของอินจ้ง เย่จิ่งอวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ “เหตุการณ์เจียงวูในอดีต ข้ารู้สึกผิดต่อตระกูลอินมาก ข้าทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยให้ท่าน หากท่านต้องการอะไร อย่าได้เกรงใจ”อินจ้งกล่าวด้วยความเคารพ “ได้กลับเมืองหลวง อินจ้งก็รู้สึกซาบซึ้งมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเบาๆ “เช่นนั้นก็ออกไปเถิด”“กระหม่อม ทูลลา”สองพ่อลูกโค้งคำนับ ถอยกลับออกจากห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่หน้าหน้าต่างสักพักหนึ่ง แล้วไปที่ตำหนักชิงฮว๋าซึ่งเป็นที่พำนักของเย่ไห่ถังเย่ไห่ถังกำลังเล่นกับขวดน้ำหอมขนาดเท่าฝ่ามือด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายนางไม่รู้ว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร นางยังไม่กล้าคุยกับเสด็จพี่ น่าเบื่อจริงๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เย่ไห่ถังก็เงยหน้าขึ้นอย่างเกียจ
ประตูไม้บานใหญ่เปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดกลิ่นอับชื้นพุ่งออกมาจากตำหนัก ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เปียกชื้นทันทีเขากะพริบตาถี่ๆ สะกดก้อนสะอื้นฝาดๆ ในลำคอ“ตำหนักเย็น สามารถยกเลิกได้!”เย่ไห่ถังเดินไปหาเย่จิ่งอวี้อย่างระมัดระวัง แอบสำรวจสีหน้าของเขา“เสด็จพี่ ท่าน...ทำไมจู่ๆ ท่านถึงพูดเรื่องนี้ออกมาล่ะ?”เย่จิ่งอวี้เอามือปิดปาก ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องให้มีอยู่อีกต่อไป”เย่ไห่ถังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “ถูกต้องเพคะ ถูกส่งไปตำหนักเย็น ก็ไม่ต่างจากการรอคอยความตาย อดีตพระชายาได้จากไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้มีอีก หากเสด็จพี่เลือกสนมในอนาคต จะต้องปฏิบัติต่อพวกนางอย่างดี ไม่จำเป็นต้องเนรเทศพวกนางมาที่นี่”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น “ข้าจะไม่เลือกสนมอีกแล้ว ไม่ว่าสตรีตระกูลอินจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ตาม นางจะเป็นฮองเฮาของข้าตลอดไป”“ฮะ!”เย่ไห่ถังอุทาน หรือว่าเสด็จพี่จำได้แล้ว?“เสด็จพี่ ท่าน...”เย่จิ่งอวี้เบือนหน้าหนี ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ “ทำไมรึ”เย่ไห่ถังส่ายศีรษะโดยเร็ว“ไม่มีอะไร”เย่จิ่งอวี้งอมือ หมายจะดีดหน้
ณ ตำหนักเทพหอทองคำอินชิงเสวียนยืนเหม่อลอยอยู่ในมิตินั้น เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะสัมผัสถึงแม่ได้ เงยหน้าขึ้นทันที“เด็จแม่”เขากางแขนเล็กๆ ทันที และวิ่งไปหาอินชิงเสวียน“เด็กดี”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา แล้วจูบแก้มจ้ำม่ำของเขา“คิดถึงแม่หรือไม่”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างแรง“คิดถึง”“เด็กดีเก่งมาก”อินชิงเสวียนถูไถใบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนของเขาไปมา หัวใจพลันอ่อนยวบลงทันทีเหมยชิงเกอก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ริ้วรอยบนใบหน้าดูเรียบเนียนขึ้น คนทั้งคนเหมือนจะเยาว์วัยขึ้นหลายปีเมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าแช่มชื่น อินชิงเสวียนก็โล่งใจ“สองวันที่ผ่านมาสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าที่อยู่ข้างนอกตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า”เหมยชิงเกอถามด้วยความเป็นห่วงอินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล เห็นผู้อาวุโสมีสีหน้าไม่เลว คงดีขึ้นมากแล้ว”เหมยชิงเกอพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “น้ำพุวิญญาณสุดยอดมากจริงๆ ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจกำลังวังชาก็เกือบจะฟื้นตัวเช่นกัน”ในตอนแรกนางไม่กล้าใช้น้ำพุวิญญาณมากเกินไป แต่เมื่อเห็นว
หลังรับประทานอาหาร อินชิงเสวียนพูดคุยกับแม่อยู่พักหนึ่ง แล้วจึงออกจากมิติข้างนอกมืดแล้ว เป็นเวลาประมาณสามทุ่มเมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกหน่อยกว่าจะถึงเที่ยงคืน อินชิงเสวียนจึงเดินกลับไปที่เตียงหิน นั่งขัดสมาธิ และค่อยๆ ย่อยพลังงานที่ปล้นมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ใช้มันให้กลายเป็นของตัวเองเพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ในระดับใดแล้ว เพื่อความปลอดภัย นางยังไม่ต้องการต่อสู้กับผู้อาวุโสหันเมื่อใดที่นางตาย มิตินั้นจะตายพร้อมกับนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมยชิงเกอและเสี่ยวหนานเฟิงอาจถูกส่งออกจากมิติ หรืออาจหายไปพร้อมกับมิตินั้นแม้จะเป็นอย่างหน้า แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมด้วยพลังของเหมยชิงเกอ ไม่มีทางที่นางจะสามารถปกป้องเสี่ยวหนานเฟิงได้แค่ตัวเองเข้มแข็งพอเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์พูดได้มากพอเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็สงบจิตใจอย่างสมบูรณ์ ในไม่ช้าก็เข้าสู่สภาวะผสานกายใจเป็นหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ได้ยินเสียงจิ้งหรีดส่งเสียงร้องข้างนอกอินชิงเสวียนลืมตาขึ้นทันที ลูกตาสีดำตัดกับตาขาวชัดเจนคู่นั้น เปล่งประกายระยิบระยับนางดีดปลายเท้าขึ้นไป ร่างนั้นก็เล็ดลอดออกจากป
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้จักวรยุทธ์ของตำหนักเทพ”ผู้อาวุโสหันตะโกนเสียงดัง ใช้นิ้วทั้งห้าเป็นกรงเล็บ หมายขย้ำลำคอของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร เคลื่อนไหวเร็วขึ้นๆ จนต่อสู้กับผู้อาวุโสหันได้อย่างทัดเทียมผู้อาวุโสหันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ตำหนักเทพมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ทางด้านของเย่จิ่งหลานก็ต่อสู้อย่างทัดเทียมกับอาคันตุกะสามคนเช่นกันผู้อาวุโสหันตะโกนด้วยโทสะ “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ มีเจตนาใดถึงมาบุกในตำหนักเทพ?”เย่จิ่งหลานพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “ทำไม จะมาตำหนักเทพของพวกเจ้าไม่ได้งั้นรึ”“กล้าบุกเข้ามาในตำหนักเทพ ฆ่าไม่เว้น!”อาคันตุกะเซี่ยเฉียนคุนอยู่ในตำหนักเทพมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่เคยประลองยุทธ์ ตอนนี้เมื่อเห็นคนนอก ก็รวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่ออวดกำลังของตนทันทีวันนี้ได้รู้ว่ามีของวิเศษที่ขัดกฎธรรมชาติเช่นน้ำพุวิญญาณ ซึ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น การฝึกวรยุทธ์ต้องการแสวงหาเพียงอย่างเดียว นั่นคือการไปถึงจุดสูงสุดของวรยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ สามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่เลือกวิธีการเย่จิ่งหลานจิ๊ปากพูดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเล่าจื๊อฮ่องเ
ผู้อาวุโสหันรู้สึกหวาดกลัวคนผู้นี้มีพลังพอๆ กับเขา หรือจะเป็นเจ้าตำหนัก จินตงไหล?“เจ้าคือใคร”อินชิงเสวียนยังไม่ตอบ แสงสีม่วงที่แผ่ออกมาจากตัวเหมือนกับผู้อาวุโสหันไม่ผิดเพี้ยนนางใช้นิ้วเป็นดัชนีกระบี่ แสงระหว่างนิ้วพุ่งขึ้นหลายนิ้ว พุ่งแทงคอของผู้อาวุโสหันรวดเร็วราวกับสายฟ้า“ดี วันนี้ข้าจะดูซิว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหน”ผู้อาวุโสหันพลิกฝ่ามือเป็นมีด ฟาดไปที่ข้อมือขวาของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ก็ไม่ใช่ไก่กาที่ไม่รู้เชิงยุทธ์นานแล้ว ขณะที่เปลี่ยนท่าเคลื่อนไหว ก็มีพลังเหลือเฟือ กำหมัดชกไปที่ข้อมือของผู้อาวุโสหันด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาดเมื่อเห็นว่านางเปลี่ยนท่าได้เร็วแค่ไหน ผู้อาวุโสหันก็ตกใจอีกครั้งคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ และมีประสบการณ์การต่อสู้มากมายเฟิงเอ้อร์เหนียงและฉุยอวี้ยังไม่มีความสามารถนี้ แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีทักษะบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จักวรยุทธ์ของตำหนักเทพ แม้ว่านางเคยไปที่หอสะสมตำรา แต่ก็ไปถึงแค่ขั้นล่าง ยังมีพลังภายในอยู่ในระดับเริ่มต้นที่ต่ำกว่าระดับล่าง แม้ว่านางจะเป็นเทพเซียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนวิชาสุดยอดเช่นนี้ภายในไม่กี่ชั่ว
“คุณชายน้อยเย่อยู่หรือไม่”ผู้อาวุโสหันถามขึ้น แทบรอไม่ไหวที่จะผลักประตูหินให้เปิดออกเย่จิ่งหลานกำลังหลับสนิท เมื่อเสียงฝีเท้าของผู้อาวุโสหันมาถึงข้างเตียง เขาค่อยเปิดผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน“มีอะไรหรือ”เย่จิ่งหลานลุกขึ้นนั่งกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง มองผู้อาวุโสหันและเหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างง่วงนอนเมื่อเห็นว่าร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า กางเกงถูกดึงขึ้นเหนือเข่า กางเกงเต็มไปด้วยรอยย่น ดูไม่เหมือนคนเพิ่งนอน ผู้อาวุโสหันรู้สึกโล่งใจเขาหัวเราะหึๆ และพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นในตำหนักเทพ ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณชายน้อยเย่ จึงแวะมาดูหน่อย”เย่จิ่งหลานขยี้ตา“ข้าสบายดี ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ”ผู้อาวุโสหันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีคนบุกเข้าไปในหอตำราสะสม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะไปดูที่อื่นเดี๋ยวนี้”“อ้อ ผู้อาวุโสหันกลับดีๆ”หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบก็มุดเข้าไปในผ้าห่ม หันหลังนอนหลับไปอีกผู้อาวุโสหันมองย้อนกลับไปที่เขา ปิดประตูหินแล้วออกไปหลังจากเดินฉับๆ ร่างนั้นก็มาถึงที่พักของอินชิงเสวียนเมื่อเปิดประตูหิน ทั้งสามคนกำลังหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงต่า
“คนล่ะ?”อินชิงเสวียนหยุดยืนอยู่ในป่าไผ่เย่จิ่งหลานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ“มีมิติอยู่ เจ้ากลัวอะไร”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา“เจ้าไม่ให้คนเข้าไม่ใช่หรือ”“นั่นเป็นเมื่อวาน”เย่จิ่งหลานหัวเราะแห้งๆ “เมื่อวานยุ่งนิดหน่อย ข้าทำความสะอาดแล้ว เข้าไปกันเถอะ”แสงแวบปรากฏยังเบื้องหน้าของอินชิงเสวียน นางก็ได้เข้ามาในโรงพยาบาลเล็กๆ ของเย่จิ่งหลาน แล้วข้างในไม่มีอะไรพิเศษ ยังเป็นเหมือนเดิมอินชิงเสวียนเดินผ่านทางเดินยาว ทันใดนั้นก็พบคนสองคนถูกห่อด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวนอนอยู่ในห้องผู้ป่วย“นี่ใครน่ะ”“ข้าทำแบบจำลองมนุษย์ไว้สองร่าง สิ่งของทางการแพทย์ไม่น่าดูหรอก เจ้าดูแล้วก็มีแต่จะคลื่นไส้ ไปดูธิดาเทพดีกว่า”เย่จิ่งหลานดึงอินชิงเสวียนไปข้างหน้า สีหน้าของอินชิงเสวียนเต็มไปด้วยความสงสัย“จริงรึ”“ข้าจะโกหกเจ้าทำไม เพื่อนจากยุคเดียวกันไม่โกหกกันแน่นอน ธิดาเทพอยู่ในห้องรับแขก”เย่จิ่งหลานเปิดประตู ก็เห็นธิดาเทพในชุดขาวยืนทื่อๆ ตรงกลางพื้นเมื่อเห็นคนสองคนเข้ามาในห้อง ธิดาเทพก็ไม่แปลกใจหรือหวาดกลัวเลย ถึงขนาดที่ว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ นางยังคงประสานมือ วางมือทั้งสองข้างขนานกับอก ยืนตัวตรง